ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือปัจจุบันคือ ผู้นำอายุแค่ 40 ปี และเข้ารับตำแหน่งหลังบิดาถึงแก่อสัญกรรมเมื่อธันวาคม 2011
เขาเข้ารับตำแหน่งขณะที่มีอายุได้เพียง 29 ปีเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ละอ่อนในด้านการทหารและการเมือง เพราะได้รับการอบรมบ่มเพาะขับเคี่ยวจากบิดา เพื่อสืบทอดตำแหน่งได้ทันที ซึ่งบิดาก็ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน แต่ลูกชายก็สามารถเข้ารับตำแหน่งได้อย่างเข้มแข็ง
แม้เขาจะเป็นลูกชายคนเล็ก แต่พ่อก็มองเห็นแววว่าจะเป็นผู้นำของประเทศที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และมีคู่อาฆาตเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ก็คือ เกาหลีใต้ รวมทั้งมีประเทศที่เป็นศัตรูกันมาในประวัติศาสตร์คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ผู้นำเกาหลีเหนือตระหนักอยู่เสมอถึงภัยคุกคามประเทศที่จ้องจะทำลายประเทศของเขา
หลังรับตำแหน่งโดยอัตโนมัติเมื่อบิดาจากไปอย่างกะทันหัน เขาต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองท่ามกลางเหล่าผู้นำอาวุโสรุ่นพ่อ ที่อาจมีหลายคนที่มองเห็นประโยชน์ที่จะได้จากตัวเขา
4 เดือนหลังบิดาจากไป เขาก็สามารถได้รับความไว้วางใจให้เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นองค์กรนำสูงสุดของประเทศสังคมนิยมแห่งนี้ พร้อมตำแหน่งสูงสุดทางทหารเช่นกัน
หลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำได้เพียง 1 ปี เขาได้ประกาศความสำเร็จในการทดลองระเบิดปรมาณูใต้ดินในเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ซึ่งทำให้ทั้งโลกตะลึงกับสิ่งที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น เพราะเป็นประเทศที่ยากจนมาก โดยมีภัยธรรมชาติในเรื่องความแห้งแล้ง ซึ่งมักส่งผลต่อพืชผลทางเกษตร จนทำให้เกิดความอดอยากแร้นแค้นอย่างยิ่งในชนบท
เคยมีช่วงสมัยปธน.คลินตัน ที่เกาหลีเหนือประสบกับความแห้งแล้งแสนสาหัส ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และทำให้มีคนตายเพราะอดอาหาร หรืออาหารไม่เพียงพอ และป่วยไข้ตายจำนวนมาก รวมทั้งเด็กเล็กที่อดอยากจนไม่มีชีวิตรอดต่อไป
ขณะนั้น เริ่มมีการเจรจา 6 ฝ่ายเพื่อหาทางให้เกาหลีเหนือได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสหประชาชาติ และจากประเทศตะวันตก รวมทั้งจากเกาหลีใต้ โดยพยายามกดดันเพื่อแลกกับการที่เกาหลีเหนือจะไม่เดินหน้าที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ก็คล้ายๆ กับที่ฝ่ายยูเอ็นและตะวันตกพยายามทำกับอิหร่านในเรื่องการหยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ช่วงปลายสมัยคลินตัน มีความคืบหน้าขนาดรมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกคือ นางแมดเดอลีน ออลไบรต์ ได้ถึงกับเดินทางไปกรุงเปียงยางไปชนแก้วแชมเปญกับปธน.คิม จอง อิล (บิดาของคิม จอง อึน) และเตรียมส่งความช่วยเหลือด้านอาหาร พืชพันธุ์เกษตร รวมทั้งยารักษาโรค และยังจะมีน้ำมันที่จะใช้ในการคมนาคมด้วย (เกาหลีเหนือไม่มีน้ำมัน-มีแต่ถ่านหิน)
ผู้นำเกาหลีใต้ขณะนั้นคือ ปธน.คิม เดจุง ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะพยายามร่วมชาติ 2 เกาหลี หรืออย่างน้อยก็พยายามชักนำเกาหลีเหนือให้เป็นมิตรกับเกาหลีใต้ ถึงกับมีแผนจะเชื่อม 2 เกาหลี-ด้วยการเปิดทางเดินรถไฟ
ปธน.คิม เด จุง ได้เดินทางไปเปียงยาง บรรยากาศความร่วมมือ 2 เกาหลีเดินหน้าไปด้วยดี
จนกระทั่งเปลี่ยนรัฐบาลที่สหรัฐฯ เมื่อปธน.บุช (ผู้ลูก) ได้ชนะการเลือกตั้ง (จากแอลกอร์) และตามมาด้วยการก่อวินาศกรรมตึกระฟ้าที่นิวยอร์ก ทำให้บุชประกาศให้เกาหลีเหนือเป็นประเทศหนึ่งในแกนนำปิศาจ (Axis of Evil) โดยตัดความช่วยเหลือทั้งหมดแก่เกาหลีเหนือ
คุณพ่อคิม จอง อิล ได้แอบพยายามทดลองระเบิดปรมาณูมาบ้าง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ...จนมาถึงคิม จอง อึน ผู้นำหนุ่มคนนี้ ซึ่งได้เพียรทดลองส่งจรวดขนาดต่างๆ ทั้งพิสัยใกล้, กลาง, ไกล จนได้สำเร็จและจนได้รับฉายาจากปธน.ทรัมป์ว่าเป็น “ไอ้หนูจรวด” หรือ Rocketman ทีเดียว
เขาทำให้ประเทศเกาหลีเหนือกลายเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นที่เกรงขามมาก โดยเฉพาะขณะนี้กำลังพยายามพัฒนาเพื่อนำเอาระเบิดนิวเคลียร์ ย่อส่วนเพื่อสามารถบรรจุไว้ที่หัวรบของจรวดให้ได้
การทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปสู่การพัฒนาอาวุธ ก็ทำให้ปัญหาอื่นๆ ถูกมองข้ามไปพอควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่ไม่พอเพียงแก่ประชากร 25 ล้านคน รวมทั้งที่อยู่อาศัย
มีพวกที่หนีความอดอยากในเกาหลีเหนือเพื่อไปมีชีวิตที่ไม่อดมื้อกินมื้อ โดยฝ่ากระสุนเพื่อมามีชีวิตในเกาหลีใต้ก็เกิดขึ้น
สำหรับปีที่แล้วติดต่อกับปีนี้จากตัวเลขของเกาหลีใต้คาดว่า เป็นปีที่จะแห้งแล้งสุดๆ อีกปีหนึ่ง ซึ่งจะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารผลิตไม่พอกับประชากร และทำให้ผู้นำหนุ่มได้เรียกประชุมพรรคด่วน เพราะตระหนักดีว่า การปิดพรมแดนป้องกันโควิดระบาดถึง 3 ปี ทำให้การช่วยเหลือจากทั้งประเทศจีนและรัสเซีย ได้ถูกปิดตายจนทำให้การผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารยิ่งหดหายไป
เขาได้เร่งรัดเพื่อทุ่มเทสรรพกำลังในการเพาะปลูกพืชเกษตร และจะเร่งทำการชลประทานในชนบทอย่างเต็มกำลัง โดยจะใช้ทั้งเครื่องมือ เครื่องจักรทันสมัยมาช่วยอย่างเต็มที่
ก็คงถึงเวลาจะมาทุ่มเทให้กับเรื่องอาหารให้มีกินอิ่ม นอนอุ่นแบบที่ได้เกิดขึ้นแล้วที่จีน
เดิมทั้งจีนและรัสเซียเป็นผู้นำเข้าสุทธิพืชผลเกษตร เพราะผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอเรียกว่า กินไม่อิ่มนั่นเอง...ยิ่งรัสเซียก็ได้แต่ทุ่มเทพัฒนาอาวุธสารพัดชนิด เพื่อป้องกันประเทศจากศัตรู
แต่ในที่สุด รัสเซียก็ประสบผลสำเร็จในการผลิตอาหารหลัก ทั้งอาหารคน, อาหารสัตว์, อาหารพืช (ปุ๋ย) จนสามารถส่งออกสุทธิด้านพืชพันธุ์ธัญญาหาร...เช่นเดียวกับจีน
และแม้แต่ประเทศกลางทะเลทรายอย่างอิสราเอล ก็ยังใช้เทคโนโลยีน้ำหยด รวมทั้งความอดทนยืนหยัดจนสามารถเป็นแหล่งผลิตพืชผลสำคัญส่งออกไปยังยุโรปได้ ไม่เพียงแต่ผัก ผลไม้ แม้แต่ดอกไม้ก็เป็นผู้ส่งออกไปยุโรปเจ้าใหญ่ทีเดียว
คิม จอง อึน ยังได้ระดม Shock Brigade หรือกองพลฉุกเฉิน เป็นคนหนุ่มสาวอาสาสมัครจำนวนถึง 1 แสนคน มาช่วยก่อสร้างบ้านพักอาศัยถึง 5 หมื่นหลังในกรุงเปียงยาง และวางแผนเพิ่มห้องพักถึง 1 แสนห้องในปีนี้
ซึ่งก็เป็นการหันมาทะนุบำรุงให้พลเมืองกินอิ่มนอนอุ่น หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ไว้ป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอกนั่นเอง