xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ห้วงคำนึงถึงพุทธพยากรณ์ (1)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พระเจ้าปะเสนทิเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 ความเป็นมา 


สำหรับผู้ที่ศึกษาพุทธประวัติอย่างจริงจังแล้วจักรู้ดีว่า ในช่วงพุทธกาลนั้นชมพูทวีปหรืออินเดียที่เรารู้จักกันในปัจจุบันจะประกอบไปด้วยรัฐต่างๆ รัฐเหล่านี้บ้างก็เป็นรัฐมหาอำนาจ บ้างก็เป็นรัฐใหญ่น้อยคละกันไป โดยรัฐที่มิได้เป็นรัฐมหาอำนาจมักขึ้นต่อรัฐมหาอำนาจเสมอ

เช่น รัฐกบิลพัสดุ์อันเป็นรัฐที่พุทธโคดมทรงประสูตินั้นเป็นรัฐที่ขึ้นต่อรัฐโกศล เป็นต้น

ในบรรดารัฐใหญ่น้อยเหล่านี้มีเรื่องราวเป็นของตนเองที่ถูกบอกเล่าอย่างพิสดารแตกต่างกันไป และเรื่องราวที่จะได้นำมาบอกเล่าอีกโสดหนึ่งในที่นี้เป็นเรื่องที่เกิดแก่รัฐโกศล ซึ่งในเวลานั้นมีพระเจ้าปเสนทิทรงเป็นกษัตริย์

 เรื่องที่ว่าเกิดขึ้นในคืนวันหนึ่งเมื่อพระเจ้าปเสนทิทรงสุบินประหลาด ครั้นทรงตื่นบรรทมแล้วก็เล่าสุบินนิมิตให้แก่เหล่าพราหมณ์ในราชสำนักฟัง เพื่อให้เหล่าพราหมณ์แก้สุบินนิมิตให้แก่พระองค์ 

ข้างเหล่าพราหมณ์เมื่อได้ฟังสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิแล้วก็ปรึกษาหารือกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะแก้สุบินนิมิตนั้นได้ จึงได้แต่กราบทูลพระเจ้าปเสนทิไปตามสูตรสำเร็จของตนว่า สุบินนิมิตนั้นจะนำภัยมาให้แก่พระองค์

ทางเดียวที่จะแก้ภัยนั้นได้ก็คือ พระเจ้าปเสนทิจักต้องทำพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าสัตว์สองเท้าและสัตว์สี่เท้าอย่างละ 500 ตัวเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า แล้วภัยนั้นก็จะหายไปได้

ทีแรกพระเจ้าปเสนทิทรงเชื่อเหล่าพราหมณ์ และมีดำริที่จะทำตามคำแนะนำ แต่ก็ถูกทัดทานจากมเหสีของพระองค์คือ พระนางมัลลิกา โดยพระนางมัลลิกาตรัสตำหนิว่า การแก้สุบินนิมิตด้วยวิธีการเช่นนั้นเป็นการเอาชีวิตสัตว์โลกมาสะเคราะห์แก่ตน

หากฆ่าสัตว์เหล่านั้นไปแล้วก็จะมีการจองเวรจองกรรมกันไม่จบไม่สิ้น

พระนางมัลลิกาทรงเห็นว่าพระเจ้าปเสนทิไม่ควรเชื่อเหล่าพราหมณ์ หากแต่ควรนำสุบินนิมิตนี้ไปให้พุทธโคดมพยากรณ์ให้จึงจะเป็นการดี ซึ่งเวลานั้นพุทธโคดมทรงประทับอยู่ที่วัดเชตวันมหาวิหาร

เมื่อทรงสดับฟังเช่นนั้น พระเจ้าปเสนทิก็ทรงเห็นด้วย ดังนั้น วันรุ่งขึ้นพระองค์จึงเสด็จไปเฝ้าพุทธโคดมพร้อมกับพระนางมัลลิกา เมื่อไปถึงก็ถวายบังคมพุทธโคดมแล้วประทับนั่งในที่อันสมควร จากนั้นจึงบอกกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของพระองค์

ครั้นพุทธโคดมทรงได้ฟังความทั้งหมดแล้ว พระองค์จึงทรงแก้หรือพยากรณ์สุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิไปทีละข้อ เนื้อหาจากเรื่องราวนี้ต่อมาได้กลายเป็นพุทธพยากรณ์ที่ปรากฏอยู่ใน  คัมภีร์มหาสุบินชาดกเอกนิบาต 

เรื่องราวจากพุทธพยากรณ์นี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน

แต่ด้วยเหตุที่พุทธพยากรณ์นี้มีรายละเอียดอยู่มาก ในที่นี้จะได้ถ่ายทอดพุทธพยากรณ์นี้เป็นลำดับแห่งสุบินนิมิตนั้น โดยจะแทรกเหตุการณ์ปัจจุบันพอให้ได้เห็นภาพและจัดย่อหน้าใหม่ตามสมควร เพื่อชี้ให้เห็นว่า พุทธพยากรณ์ที่มีต่อสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิที่เกิดขึ้นเมื่อกว่า 2,500 ปีก่อนนั้นตรงหรือไม่ตรงกับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างไรบ้าง

ต่อไปนี้คือ เรื่องราวของพุทธพยากรณ์อันเนื่องมาจากสุบินนิมิตนั้น

 สุบินนิมิตเรื่องที่ 1 : โคอุสภะ 
ความเดิมมีว่า หนึ่งฝันว่าโคทั้ง 4 มีกำลังแล่นมาโดยทิศนิมิตเห็น จะชนกันแล้วต่างก็หันห่างกระเด็น ต่างหลีกลี้หนีเร้นหายตัวไป

ความเดิมนี้มีความหมายว่า ได้ฝันเห็นโคอุสภะ (วัวตัวผู้) สีเหมือนดอกอัญชัน 4 ตัววิ่งมาจากทิศทั้งสี่ตัวละทิศ ทำท่าเหมือนจะเข้าชนกัน โคทั้ง 4 ตัวนั้นเมื่อเผชิญหน้ากันยังคงทำท่าจะชนกันอยู่ ส่งเสียงคำรามน่ากลัว แต่แล้วก็ไม่ชนกัน ต่างก็เดินหลีกกันไป

ฝันนี้พุทธโคดมทรงพยากรณ์ว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตรพระราชสมภารเจ้า สุบินนิมิตนี้จะไม่มีอะไรในสมัยของมหาบพิตรนี้

แต่ในกาลข้างหน้าในสมัยที่พระราชาทรงดำรงอยู่ในธรรม แต่เสนาบดี ข้าราชบริพาร และพวกราษฎรไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงไป ความดีงามลดน้อยลง ความเลวทรามเพิ่มมากขึ้น เป็นคราวเสื่อมของโลก

ฝนจักไม่ตกต้องตามฤดูกาล กลุ่มเมฆหายไป ข้าวกล้าเหี่ยวแห้ง จักเกิดทุพภิกขภัยขึ้นทั่วไป เมฆฝนจะตั้งเค้าจากทิศทั้ง 4 เหมือนกับจะเกิดฝนตก

ครั้นพวกแม่บ้านพากันเก็บข้าวเปลือกที่ตากไว้เพราะกลัวเปียก พวกพ่อบ้านเตรียมจอบ กระบุง ตะกร้า จะออกไปเตรียมการไถนาไร่ เมฆฝนก็ยังคงตั้งเค้าทำท่าเหมือนฝนจะตก มีฟ้าแลบฟ้าร้องติดตามมาหลายครั้ง

แต่แล้วท้องฟ้าก็กลับสว่างไสว เมฆฝนกลับมลายหายไป ความร้อนของอากาศกลับมาแทนที่ เหมือนโคอุสภะไม่ชนกัน

นี่คือผลของพระสุบินนิมิตของมหาบพิตร จะไม่มีภัยอันตรายแก่มหาบพิตร เพราะสุบินนิมิตนี้เลย

 พุทธพยากรณ์จากสุบินนิมิตเรื่องที่ 1 จะเห็นได้ว่า ปมสำคัญจะอยู่ที่การดำรงอยู่ในธรรมของพระราชา กล่าวคือ หากพระราชาดำรงอยู่ในธรรมแล้ว ต่อให้เหล่าเสนามาตย์ (คำนี้หมายถึงเหล่าขุนนางและขุนศึก) และราษฎรไม่ตั้งอยู่ในธรรม หรือไม่ว่าโลกและฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็มิอาจเป็นภัยแก่พระราชาทั้งสิ้น 

เพราะฉะนั้นแล้ว การตั้งอยู่ในธรรมของพระราชาจึงมีความสำคัญยิ่ง

แต่ในโลกปัจจุบันที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คงเหลือน้อยเต็มที รัฐที่ยังมีกษัตริย์ก็มีเพียงไม่กี่รัฐ และอำนาจโดยรวมก็มิได้อยู่ในมือกษัตริย์ดังในอดีตอีกต่อไป การตั้งอยู่ในธรรมจึงตกอยู่กับผู้ใช้อำนาจที่มิใช่กษัตริย์เป็นหลัก บ้านเมืองจะดีหรือไม่ดีจึงขึ้นอยู่กับผู้ใช้อำนาจผู้นั้น

ภัยที่จะมีก็มีแก่ผู้ใช้อำนาจผู้นั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้อำนาจผู้นั้นดำรงอยู่ในธรรมหรือไม่อย่างไร ไม่เกี่ยวอะไรกับกษัตริย์ แต่ถ้าหากกษัตริย์ซึ่งแม้มิได้มีอำนาจดังแต่ก่อนดำรงอยู่ในธรรมด้วยแล้ว ก็ย่อมดีต่อสถานะของกษัตริย์เอง คือจักไม่มีภัยใดมาแผ้วพาลได้

 โดยเฉพาะภัยที่ตั้งอยู่บนความโกหกมดเท็จหรืออาสัตย์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งห่างไกลที่จะแผ้วพาลได้ หรือหากแผ้วพาลได้บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ ด้วยอาสัตย์ครองเมือง 


กำลังโหลดความคิดเห็น