"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ประชานิยมเป็นอุดมการณ์และการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นได้แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก ประชานิยมดึงดูดใจชาวบ้านสามัญชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่รู้สึกว่าถูกทิ้งไว้เบื้องหลังโดยการเมืองแบบจารีตและชนชั้นนำ นักการเมืองประชานิยมมักตีกรอบการเมืองในแง่ของ “พวกเรากับพวกเขา” โดย “พวกเรา” เป็นประชาชน และ “พวกเขา” เป็นชนชั้นนำ
การกำเนิดของประชานิยมสามารถสืบย้อนไปถึงทศวรรษที่ 1880 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมและการขยายตัวของเมือง เกษตรกรในตะวันตกตอนกลางและใต้ของสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างหนักจากราคาพืชผลที่ตกต่ำและหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น และพวกเขาเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงและบรรเทาความทุกข์ยาก กลุ่มเหล่านี้เป็นที่รู้จักในชื่อกลุ่มพันธมิตรเกษตรกรและพรรคประชาชน (หรือที่เรียกว่าพรรคประชานิยม)
พรรคประชานิยมสหรัฐอเมริกาก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2434 และได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกร สหภาพแรงงาน และกลุ่มชนชั้นแรงงานอย่างรวดเร็ว เวทีของพรรคเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหลายด้าน รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยตรง การทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน ภาษีเงินได้ และเรียกร้องให้การรถไฟและโทรเลขเป็นของรัฐ พรรคยังเรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมธนาคารและบริษัทต่างๆ มากขึ้น และวิพากษ์วิจารณ์การกระจุกตัวของความมั่งคั่งและอำนาจที่อยู่ในมือของคนไม่กี่กลุ่ม
พรรคประชานิยมประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2435 ชนะหลายรัฐและช่วยกำหนดรูปแบบการสนทนาทางการเมืองระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ในที่สุด พรรคก็แตกสลายเนื่องจากความแตกแยกภายในและแรงกดดันจากภายนอก และพรรคก็ถูกดูดกลืนเข้าสู่พรรคเดโมแครตในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ
ในทศวรรษที่ 20 ประชานิยมยังคงมีอิทธิพลต่อการเมืองอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตัวอย่างเช่น ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ 1930 ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ยอมรับแนวคิดประชานิยมหลายประการ และดำเนินนโยบายที่มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ชาวอเมริกันทั่วไป ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองและต่อต้านสงครามในทศวรรษ 1960 และ 1970 ก็มีองค์ประกอบประชานิยมเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาพยายามสร้างอำนาจให้กับกลุ่มคนชายขอบ และท้าทายชนชั้นนำและสถาบันสังคม
ในละตินอเมริกา ประชานิยมมักจะเชื่อมโยงกับผู้นำการเมือง ซึ่งปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านชนชั้นสูงทางเศรษฐกิจและการเมือง ในยุโรป ขบวนการประชานิยมเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อกระแสโลกาภิวัตน์ การอพยพเข้าเมือง และสหภาพยุโรป และมักผลิตวาทกรรมชาตินิยมและต่อต้านสถาบันสังคมการเมือง ประชานิยมยังคงเป็นพลังที่มีอิทธิพลในหลายประเทศทั่วโลก ด้านหนึ่งแสดงบทบาทในแง่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและการปฏิรูปประชาธิปไตย แต่อีกด้านหนึ่งก็สามารถสร้างความแตกแยกและแบ่งขั้วการเมืองในสังคม รวมทั้งอาจนำไปสู่อำนาจนิยม และทำลายบรรทัดฐานและสถาบันในระบอบประชาธิปไตยได้
ประชานิยมมักตีกรอบการเมืองในแง่ของการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำ โดยชนชั้นนำถูกมองว่าเป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน เอารัดเอาเปรียบประชาชน ไม่สนใจความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชน ประชานิยมมักแสดงตนว่า เป็นตัวแทนของประชาชน ยืนหยัดพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน และวิพากษ์สถาบันที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังทำร้ายประโยชน์ส่วนรวม
ประชานิยมเป็นการต่อต้านสถาบันอภิสิทธิ์ชน ท้าทายสถานะที่เป็นอยู่และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพยายามที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่ เพื่อนำมาซึ่งสังคมที่เสมอภาคและยุติธรรมมากขึ้น ประชานิยมมักมีลักษณะชาตินิยม เน้นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจของชาติ และอาจเชื่อมโยงกับทัศนคติแบบเกลียดชังชาวต่างชาติ ผู้นำประชานิยมมักจะเรียกร้องความเป็นเอกภาพของชาติและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ และพวกเขาอาจใช้วาทกรรมเชิงแบ่งขั้วการเมืองระหว่าง “พวกเรา” (ประชาชน) กับ “พวกเขา” (ชาวต่างชาติหรือชนชั้นสูง)
นักประชานิยมอาจเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองมากขึ้น หรืออาจวิจารณ์บทบาทของพรรคการเมือง กลุ่ม และบุคคล ที่พวกเขาเห็นว่า “มีจุดยืนเป็นกลางระหว่างประชาชนกับรัฐบาล” กล่าวคือ นักประชานิยมมักต้องการให้ผู้คนเลือกข้างอย่างชัดเจน ถ้าไม่เป็น “พวกเรา” ก็ต้อง “เป็นพวกเขา” ไม่มีที่ยืนสำหรับคนที่เป็นกลางในสายตาของนักประชานิยม
นักประชานิยมบางกลุ่มมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและความอยุติธรรมในสังคม และอาจเรียกร้องให้มีนโยบายกระจายความมั่งคั่งหรืออำนาจ ขบวนการประชานิยมอาจเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีที่สูงขึ้นจากคนร่ำรวย การคุ้มครองแรงงานที่แข็งแกร่งขึ้น หรือมาตรการอื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจได้รับการแบ่งปันอย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าขบวนการประชานิยมหรือผู้นำประชานิยมทุกคนจะมีลักษณะเหล่านี้ และประชานิยมสามารถมีรูปแบบที่แตกต่างกันหลากหลายขึ้นอยู่กับบริบททางการเมืองและสังคม เป็นผลให้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างขบวนการประชานิยมฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย
ประชานิยมฝ่ายขวามีแนวโน้มที่จะเน้นย้ำถึงความเป็นชาตินิยมและสำนึกในเอกลักษณ์ของชาติ บ่อยครั้งมีลักษณะที่เป็นการกีดกันหรือเกลียดชังชาวต่างชาติ ในทางกลับกัน ประชานิยมฝ่ายซ้ายอาจโอบรับรูปแบบชาตินิยมที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งเน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทางสังคมและเศรษฐกิจในหมู่ประชาชน โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังของพวกเขา
ทั้งประชานิยมขวาและซ้ายมีความกังวลเรื่องความไม่เท่าเทียมและความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ แต่อาจเสนอแนวทางแก้ไขแตกต่างกัน ประชานิยมฝ่ายขวาเสนอให้ใช้นโยบายการกีดกันทางการค้า หรือมาตรการอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของนักธุรกิจภายในประเทศ ในขณะที่ประชานิยมฝ่ายซ้ายเสนอให้เก็บภาษีแบบก้าวหน้า การคุ้มครองแรงงานอย่างจริงจัง หรือมาตรการอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อกระจายมั่งคั่งและอำนาจ
ประชานิยมฝ่ายขวามีทัศนคติแบบอนุรักษ์นิยมในประเด็นทางสังคม เช่น การย้ายถิ่นฐาน สิทธิของ LGBTQ หรือสิทธิในการเจริญพันธุ์ ในทางกลับกัน ประชานิยมฝ่ายซ้ายอาจเกี่ยวข้องกับทัศนคติที่ก้าวหน้ามากขึ้นต่อประเด็นเหล่านี้ สนับสนุนการแก้ปัญหาความยุติธรรมทางสังคม และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
แม้ว่าประชานิยมทั้งขวาและซ้ายวิพากษ์วิจารณ์สถาบันทางการเมืองและชนชั้นนำที่ดำรงอยู่ แต่พวกเขาอาจมีทัศนคติที่แตกต่างกันต่อประชาธิปไตย ประชานิยมฝ่ายขวามีแนวโน้มเป็นอำนาจนิยมหรือต่อต้านประชาธิปไตย ในขณะที่ประชานิยมฝ่ายซ้ายอาจให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมหรือประชาธิปไตยทางตรงมากกว่า
ประชานิยมในฐานะอุดมการณ์ทางการเมืองมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน
จุดแข็งประกอบด้วย 1) การเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มคนชายขอบ เพราะขบวนการประชานิยมมักเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความกังวลของกลุ่มที่รู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกกีดกันจากการเมืองกระแสหลัก ประชานิยมสามารถช่วยดึงความสนใจไปยังประเด็นที่อาจถูกเพิกเฉยหรือมองข้ามไป 2) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ประชานิยมมักจะเน้นความสำคัญของประชาธิปไตยทางตรงและการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมือง ขบวนการประชานิยมยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ให้แก่การเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคมอีกด้วย 3) สามารถท้าทายและปรับสมดุลของโครงสร้างอำนาจ ขบวนการประชานิยมสามารถสร้างแรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปการเมืองและสังคม และท้าทายสถานะที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสมอภาคทางสังคมและการเมืองมากขึ้นในที่สุด และ4) สามารถสร้างความรู้สึกเป็นปึกแผ่นและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การเน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับชาติหรือสังคมทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกมีอัตลักษณ์และเป็นส่วนหนึ่งของสังคม สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับกลุ่มคนชายขอบที่อาจรู้สึกถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกกีดกันในบริบทอื่น ๆ
จุดอ่อนที่สำคัญของประชานิยมคือ 1) การสร้างความแตกแยกและการกีดกันทางสังคม: ขบวนการประชานิยมอาจอาศัยวาทศิลป์ที่สร้างความแตกแยกระหว่างกลุ่ม “ประชาชน” กับ “ชนชั้นนำ” หรือ “อีกฝ่ายหนึ่ง” สิ่งนี้จะสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่แบ่งขั้วและการกีดกัน และอาจนำไปสู่ความแตกแยกและความตึงเครียดทางสังคมได้ 2) การต่อต้านประชาธิปไตย: ขบวนการประชานิยมอาจไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน และอาจเรียกร้องประชาธิปไตยทางตรงหรือการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น หรือที่ร้ายกว่านั้นคือ การมอบอำนาจให้แก่ผู้นำในการตัดสินใจในนามประชาชน สิ่งนี้นำไปสู่การละเลยการตรวจสอบและถ่วงดุลที่จำเป็นต่อระบบประชาธิปไตยที่ดี 3) การลดความซับซ้อนของประเด็น ทั้งนี้เพราะวาทศิลป์ของประชานิยมมักอาศัยข้อความที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยอารมณ์ ซึ่งอาจลดความซับซ้อนของประเด็นทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจซึ่งมีธรรมชาติที่ซับซ้อน ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ทำได้โดยวิธีง่าย ๆ และเมื่อนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางที่มีความซับซ้อน แต่แก้ปัญหาได้จริงก็ไม่เชื่อและไม่ไว้วางใจ 5) ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ระยะสั้นมากกว่าการแก้ปัญหาระยะยาว ขบวนการประชานิยมมักมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เร่งด่วน โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาในระยะยาว ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่ยั่งยืนได้ และ 6) การพึ่งพาผู้นำที่มีเสน่ห์และมีความดึงดูดใจมากเกินไป ขบวนการประชานิยมมักเน้นที่ผู้นำที่มีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดความสนใจและความภักดีของผู้ติดตาม สิ่งนี้จะสร้างลัทธิบูชาตัวผู้นำให้อยู่เหนือหลักการและอุดมการณ์ และยังทำให้เสี่ยงต่อการทุจริตหรือการใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้นำ
โดยรวมแล้ว แม้ว่าประชานิยมสามารถเป็นสิ่งทรงพลังสำหรับการเปลี่ยนแปลงและสามารถเป็นเวทีของกลุ่มคนจนและกลุ่มชายขอบสังคม แต่ก็มีจุดอ่อนเช่นเดียวกับอุดมการณ์ทางการเมืองอื่นๆ สิ่งสำคัญคือ ต้องใช้ประชานิยมอย่างมีวิจารณญาณและรอบคอบเพื่อลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการทุจริตคอรัปชั่นและลัทธิบูชาผู้นำ สำหรับพรรคการเมืองไทยที่มีส่วนผสมของอุดมการณ์ประชานิยมที่โดดเด่นคือพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคการเมืองอื่น ๆ ไม่ว่าพรรคฝ่ายเสรีนิยม หรือพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่างก็มีส่วนผสมของอุดมการณ์ประชานิยมอยู่เกือบทุกพรรค มากบ้าง น้อยบ้าง ลดหลั่นกันไป