สมการการเมือง
ซัดกันแรง ล่อกันกลางอากาศ สำหรับค่ายสีส้มขวัญใจวัยรุ่นอย่างพรรคก้าวไกล หลัง “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับ “อ.ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ด่ากันไปกันมา ถึงขั้นด่าอีกฝ่ายว่า มือไม่พายอย่าเอาเท้าราน้ำกันเลย
สงครามครั้งนี้เกิดจากที่ “ปิยบุตร โพสต์วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของพรรคก้าวไกลในสนามเลือกตั้งหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะหนล่าสุดก่อนปะทะเดือด ที่พูดทำนองที่ตีความได้ว่า พรรคก้าวไกลยุคนี้เหมือนอยากจะเป็นแค่ไม้ประดับของพรรคเพื่อไทย เอาโควตารัฐมนตรีสัก 2-3 ตำแหน่งเท่านั้น
แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ “พิธา” สักครั้งในโพสต์ แต่ทุกคนอ่านแล้วตีความได้ว่า “ปิยบุตร” กำลังทำสงครามกับ “พิธา” หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนปัจจุบัน
ขณะที่ “พิธา” เอง รู้มาตลอด พยายามอดทนอดกลั้น ไม่ไปทำสงครามผ่านสื่อ แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ต้องออกมาตอกกลับแบบแรงๆ น่าจะเป็นวันรำลึกยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่ตอกย้ำให้เห็นความขัดแย้งที่ร้าวหนักระหว่างแก๊งอนาคตใหม่
โดย “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ “เสี่ยต๋อม” ชัยธวัช เลขาธิการพรรคก้าวไกล และ “ปิยบุตร” ไปนั่งดื่มรำลึกความหวัง พร้อมกับถ่ายรูปบนหน้าเฟซบุ๊ก โดยไม่ได้มีการเชื้อเชิญหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันอย่าง “พิธา” แต่อย่างใด
เหมือนแบ่งแยกกันชัดเจน ว่าใครยืนฝั่งไหน ใครอยู่กับใคร
จริงๆ แล้วเรื่องความขัดแย้งภายในพรรคก้าวไกลมีมาสักระยะหนึ่ง ระหว่างขั้วอำนาจปัจจุบันที่นำโดย “พิธา” กับขั้วอำนาจเก่าที่นำโดย “ปิยะบุตร” แต่ทุกอย่างมันเดินมาถึงขั้นแตกหักในช่วงจัดทัพเลือกตั้ง
ว่ากันว่า ขั้วอำนาจปัจจุบัน ที่นำโดย “พิธา” รวมถึง “พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ “อ.ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้องการดันเด็กตัวเองลงสมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในลำดับต้นๆ ซึ่งเป็นลำดับปลอดภัยที่การันตีเก้าอี้ส.ส.ในสมัยหน้าได้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มีการประเมินกันว่า ด้วยกติกาเลือกตั้งแบบใหม่ บัตร 2 ใบ เลือกคน เลือกพรรค ทำให้โอกาสได้ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล เท่าจำนวนเมื่อปี 2562 เป็นไปได้ยาก
ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เป็นความหวังของพรรคก้าวไกล ถูกบัตรเลือกตั้งสองใบจำกัดพื้นที่ส.ส. เพราะครั้งนี้ไม่มีการเก็บคะแนนตกน้ำ แล้วนำมารวมกันทั้งหมดเหมือนระบบจัดสรรปันส่วนผสมเหมือนครั้งก่อน
ในขณะที่จำนวน ส.ส.ในรูปแบบนี้เหลือเพียง 100 ที่นั่งเท่านั้น ที่สำคัญการจะได้เก้าอี้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 ตัว จะต้องได้คะแนนถึง 3 แสนกว่า การจะเหมาเกือบร้อยที่นั่งเหมือนครั้งก่อนแทบเลิกฝันไปได้เลย
ประกอบกับแคมเปญ “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทย ที่ครั้งนี้ส่งผลกระทบกับพรรคก้าวไกลโดยตรง เพราะทำให้คนเข้าใจว่า ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยให้ขาดถึงจะล้ม “วงศ์วาร 3 ป.” ลงได้ ซึ่งมันเป็นการลดความสำคัญของพรรคก้าวไกล ให้เหลือเพียงพรรคไม้ประดับของพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
โดยมีการประเมินกันในพรรคก้าวไกลว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพียง 15-18 ที่นั่ง ซึ่งข่าวว่า ในจำนวนนี้ “พิธาและเดอะแก๊ง” เลือกเด็กตัวเองลงในลำดับปลอดภัยร่วมสิบคน และเกลี่ยเศษให้สายฮาร์ดคอร์ของ “ปิยบุตร” เหลือไม่กี่คน
เช่นเดียวกับส.ส.แบบแบ่งเขต ที่แม้จะมีแกนนำม็อบ 3 นิ้ว สาวกของ “ปิยบุตร” ได้ลงสนามเลือกตั้ง แต่หากดูสัดส่วนแล้วยังเทียบกับสายของขั้วอำนาจในปัจจุบันไม่ได้
และนั่นทำให้ “ปิยะบุตร” มองว่า “พิธาและเดอะแก๊ง” หวังแค่จะได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ไม่ได้เดินไปในแนวทางสุดโต่งแบบของตัวเอง ซึ่งผิดคอนเซปต์ที่ทำมาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน ยังมองว่า “พิธา” เป็นเพียงแค่คนที่จับเสือมือเปล่า หากพรรคอนาคตใหม่ไม่ถูกยุบ ไม่มีทางที่จะมายืนถือธงนำอยู่ตรงนี้
ซึ่งมันไปกระตุกต่อมใจดำของ “พิธา” เข้าเต็มๆ เลยออกมาแฉกลับว่า ที่ต้องมาอยู่ตรงนี้เพราะเสียสละต่างหาก
เรียกว่า งานนี้ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกันแล้ว
สถานการณ์ของพรรคก้าวไกลตอนนี้ใกล้เคียงกับคำว่าแตก แต่คงไม่ถึงขั้นแตก เพราะอย่างน้อยต้องดำรงพรรคไว้เพื่อใช้ต่อสู้ในทางการเมือง
ในขณะที่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จากสายสุดโต่งในอดีต วันนี้ลดโทนลงเยอะ ต้องกลายมาเป็นตัวกลางคอยประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย เพราะต่างก็แรงกันทั้งคู่
ส่วนหนึ่งที่ไม่กล้าถือหางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชัดเจน เพราะ “ปิยะบุตร” ก็เป็นผู้นำจิตวิญญาณและสัญลักษณ์ของแก๊งสามนิ้ว และพวกหัวก้าวหน้า ในขณะที่ “พิธา” เป็นผู้บริหารปัจจุบัน กุมอำนาจในพรรค ที่สำคัญคอนเนกชันหลากหลาย ตัวเองที่ยังต้องรักษาสถานะความเป็นหัวหน้าแก๊ง จึงยังต้องใช้ทั้งสองคนอยู่
โดยเฉพาะ“พิธา” ที่ตัดเลยไม่ได้ เพราะวันนี้ “เสี่ยเอก”เข้าใจแล้วว่า การเมืองจะเล่นแบบสุดโต่ง ผลสุดท้ายต้องลงเอยอย่างไร อนาคตใหม่ต้องถูกยุบพรรค ตัวเองโดนคดีเป็นหางว่าว ตั้งแต่เบาไปยันหนัก ลามไปถึงครอบครัว และธุรกิจที่ถูกตามล่าไม่หยุดหย่อน จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองคอยหนุนหลังเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้
“พิธา” เป็นสายประนีประนอมย่อมพาพรรคไปแบบปลอดภัยได้
แต่ขณะเดียวกันก็ตัด “ปิยะบุตร” ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเด็กรุ่นใหม่ ที่ท้าชนกับอำนาจเก่า
สุดท้ายเลยเป็นอย่างที่เห็น กลับมากอดคอแฮปปี้ ยุติบาดหมาง ร่วมกันสร้างพรรคต่อไปอย่างใจเย็น
ขัดแย้งกันไปแม้สะใจ ก็มีแต่เจ๊ง เล่นเอาคอการเมืองขาโหด สายบู๊ บูลลี่หนัก ปาหี่มวยล้มต้มคนดู
หนักข้อหน่อยก็บอกดรามา สร้างละครดูดเรตติ้ง ในวันที่ทำใจไว้แล้วล่วงหน้าโอกาสเป็นฝ่ายค้าน โดนเพื่อไทยเฉดหัวทิ้ง สูงกว่าจับมือกันเป็นรัฐบาล