xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่าขบวนการ “หมูเถื่อน” ใต้เงา “มาเฟีย-ทุนสีเทา” เชื้อชั่วไม่ยอมตาย เกษตรกรฉิบหาย ผู้บริโภคเสี่ยงภัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  สงครามปราบหมูเถื่อนที่หน่วยงานรัฐเล่นเอาล่อเอาเถิดกับขบวนการลักลอบนำเข้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังและกองทัพมดตามแนวชายแดนมาเป็นเวลาแรมปียังอยู่ในสภาพวิ่งวนเป็นแมวไล่จับหนูเหมือนการ์ตูนดีสนีย์ Tom & Jerry เพราะจนบัดนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วไทยยังร่ำร้องให้รัฐจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เนื่องจากทนรับสภาพการขาดทุนไม่ไหวอาจต้องเลิกเลี้ยง ล้มระเนระนาดกันอีกระลอก 

ล่าสุด  นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์  ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา เพิ่งออกมาบอกว่าสถานการณ์ราคาหมูหน้าฟาร์มกำลังร่วงไม่เป็นท่าติดต่อกันมาหลายสัปดาห์มาอยู่ที่ 84-88 บาท/กก. แต่ราคาขายจริงนั้นถูกกดราคาต่ำสุดราว 70 กว่าบาท/กก.แล้ว ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 100 บาท/กก. เรียกว่าขาดทุนกันยับเยินจาก “กองทัพหมูเถื่อน”  ที่ยังเกลื่อนเมืองส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกระทั่งต้องอาจเลิกเลี้ยงกันอีกระลอก

“ราคาขายหมูหน้าฟาร์มที่ตกต่ำอย่างหนักในขณะนี้ สะท้อนชัดเจนถึงปริมาณหมูเถื่อนที่ระบาด … แม้ปีที่แล้วจะจับหมูเถื่อนได้ราว 1 ล้านกิโลกรัม แต่เป็นเพียง 5% ของที่ระบาดอยู่ในตลาดเท่านั้น เราร้องขอเพียงช่วยป้องกันไม่ให้มันเข้ามา .... หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คนเลี้ยงหมูของไทยต้องสูญพันธุ์แน่” ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา สะท้อนปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่

เขาชี้แนะว่าการป้องกันที่ดีที่สุดที่ไม่ให้หมูเถื่อนเข้าสู่ประเทศไทย คือดักตั้งแต่ทางเข้า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งล่าสุดมีการดำเนินโครงการ  “ท่าเรือสีขาว”  โดยทางกรมศุลกากร จะเปิดตู้คอนเทนเนอร์ที่ตกค้างอยู่ในท่าเรือกว่า 1,000 ตู้ เพื่อตรวจดูสิ่งของผิดกฎหมาย โดยวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นวันเริ่มต้นเปิดตู้ตกค้างจึงขอให้กรมศุลฯ เร่งเปิด  ตู้เก็บความเย็น ซึ่งเป็นแหล่งเก็บซ่อนหมูเถื่อนได้นานนับปี โดยชมรมผู้เลี้ยงหมูฯ พร้อมจะเข้าร่วมตรวจสอบ

ทั้งนี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ รายงานราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม ประจำวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 เปรียบเทียบกับราคาก่อนหน้าคือ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พบว่ามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญเกิดจากปัญหาหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ต้องประกาศปรับลดราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มลงในทุกภาค ดังนี้ ภาคตะวันออก ปรับราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 84-86 บาท/กก. ลดลง 6 บาท/กก. ภาคอีสาน ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 86-88 บาท/กก. ลดลง 8-10 บาท/กก. ภาคเหนือ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 88 บาท/กก.ลดลง 6 บาท/กก. และภาคใต้ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ 86 บาท/กก. ลดลง 4 บาท/กก.

สถานการณ์ราคาหน้าหมูฟาร์มที่ว่ามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แต่ในทางความเป็นจริงกลับเลวร้ายยิ่งกว่า โดยนายสัตวแพทย์วรวุฒิ บอกว่า เกษตรกรขายหมูไม่ได้ราคาตามที่สมาคมฯ ประกาศเพราะตลาดมีหมูเถื่อนมากดราคา เป็นการบังคับทางอ้อมให้เกษตรกรจำใจต้องขายขาดทุนเพราะหากเลี้ยงต่อไปก็สู้ค่าวัตถุอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงขึ้นมากไม่ไหว ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มขึ้นต้องตัดใจขายออกไป

ทางด้านเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยในภาคใต้ ก็มีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน นายภักดี ชูขาว  กรรมการสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เจ้าของภักดีฟาร์ม อ.เมือง จ.พัทลุง สะท้อนว่า ขณะนี้ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยทั่วภาคใต้นับพันรายกำลังประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนักทำให้มีหมูค้างฟาร์มอยู่ในสต็อกจำนวนมาก เนื่องจากมีหมูเถื่อนราคาถูกมาตีตลาด ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อเพราะราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และไทยยังไม่สามารถส่งออกสุกรได้ ทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยขาดทุนตัวละประมาณ 500-1,000 บาท และมีแนวโน้มจะขาดทุนเพิ่มถึงตัวละ 1,500 บาท จากต้นทุนค่าเลี้ยงทั้งค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าบริหารจัดการ ซึ่งต้นทุนตกอยู่ที่ประมาณ 90 บาท/กก. ส่วนผู้เลี้ยงรายใหญ่ต้นทุนการเลี้ยงอาจต่ำกว่าได้รับผลกระทบน้อยกว่า

นายภักดี ยังบอกว่า หมูเถื่อนที่ลักลอบเข้ามาขายราคาถูก ชำแหละเป็นซากแล้วเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 40-50 บาท/กก. ทำให้หมูที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ ไม่มีคนมาซื้อต้องแบกรับภาระต้นทุนการเลี้ยงต่อไป เฉพาะฟาร์มของตนตอนนี้ขายไม่ได้ประมาณ 40 % และแต่ละรายจะอยู่ใกล้เคียงกัน

สำหรับภาพรวมการเลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด มีผู้เกษตรกร รวมประมาณ 20,000 ราย มีแม่พันธุ์ประมาณ 120,00 ตัว มีผลผลิตกว่า 2,800,000 ตัว/ปี โดยพัทลุงเป็นจังหวัดอันดับ 1 ในการเลี้ยงสุกรในพื้นที่ภาคใต้ และเป็นอันดับ 4 ของประเทศ มีแม่พันธุ์ 20,000 แม่พันธุ์ มีผลผลิตประมาณกว่า 480,000 ตัว/ปี มีผู้เลี้ยงทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก รวมกว่า 4,000 ราย

นั่นเป็นสภาพแบกรับปัญหาการขาดทุนของผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยไม่เพียงแต่ภาคใต้แต่คงเป็นกันถ้วนหน้าทั่วไทยในเวลานี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาหมูเถื่อนที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ จนน่าเป็นห่วงว่าผู้เลี้ยงรายย่อยจะล้มระเนระนาดกันอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งฟื้นจากการแพร่ระบาดของโรค AFS เมื่อต้นปี 2565 ที่ทำเอาผู้เลี้ยงรายย่อยเจ๊งกันระนาว

 ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ รัตนวนิชย์โรจน์ รองคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ฉายภาพว่า หมูเถื่อนส่งผลกระทบใน 2 มิติหลักๆ คือผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูไทย และความเสี่ยงต่อสารปนเปื้อนกระทบต่อผู้บริโภค

สำหรับผลกระทบกับอุตสาหกรรม หมูเถื่อนทำให้มีหมูราคาถูกจำนวนมากทะลักเข้าไทย บิดเบือนกลไกราคา ผู้เลี้ยงหมูไทยไม่สามารถขายสุกรได้ตามต้นทุนการเลี้ยงที่แท้จริง ได้รับความเสียหายและมองไม่เห็นอนาคตและโอกาสในการทำกำไรจากการเลี้ยงได้ ไม่มีหลักประกันความมั่นคงในอาชีพที่จะเลี้ยงหมูอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น หมูเถื่อนมีความเสี่ยงที่จะมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร (ASF) และเป็นพาหะของโรค ซึ่งคุมได้ยากมากและมีโอกาสกลับมาระบาดในไทยและสร้างปัญหาให้กับประเทศได้ โดยการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน แม้จะมาในลักษณะแช่แข็งแล้ว ก็ยังเป็นพาหะของโรคที่สำคัญมาก หากประเทศต้นทางยังมีการแพร่ระบาดของโรค ASF จะส่งกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทั้งผู้เลี้ยงหมู โรงงานอาหารสัตว์ ผู้บริโภค และยังกระทบกับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะการระบาดของโรค ASF มีโอกาสทำให้หมูตาย 95-100% แม้ว่าโรคนี้ไม่ติดคนและเนื้อสุกรยังมีความปลอดภัย แต่เมื่อคนกินเข้าไปจะเป็นพาหะติดตามเนื้อตัวหรือทางอุจจาระ








เช่นเดียวกัน  ศ.น.สพ.ดร.รุ่งโรจน์ ธนาวงษ์นุเวช  อดีตคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า การปล่อยให้เกิดการนำเข้าหมูเถื่อนซึ่งเป็นหมูไม่มีคุณภาพ ปนเปื้อนทั้งสารเร่งเนื้อแดง เชื้อดื้อยา และที่สำคัญคือเชื้อ ASF เป็นไวรัสซึ่งมีการกลายพันธุ์ได้ การนำหมูเถื่อนเข้ามาย่อมทำให้ควบคุมโรคยากขึ้น และเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมหมูของไทย เพราะส่งผลกระทบไปทั้งประเทศ หากหมูเถื่อนไม่หมด เกษตรกรจะอยู่ไม่ได้เพราะต้นทุนสูงกว่า อุตสาหกรรมนี้รายย่อยอยู่ยาก คงมีเพียงรายกลาง-รายใหญ่เท่านั้นที่สามารถลงทุนระบบไบโอซีเคียวริตี้เพื่อป้องกัน ASF ได้ ทำระบบโซนนิ่ง และคอมพาร์ตเมนต์ได้ ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนทั้งสิ้น

ผลพวงจากโรคระบาด ASF เมื่อปีที่แล้ว ทำให้แม่พันธุ์หมูและหมูขุนหายไปจากระบบกว่าครึ่งของระบบผลิต ดึงราคาหมูในตลาดให้สูงขึ้น กระทั่งรัฐบาลและผู้เลี้ยงร่วมมือภาครัฐช่วยตรึงราคาและงดเว้นการส่งออก ซึ่งการปรับขึ้นราคาของหมูเนื้อแดงทำให้เกิดขบวนการลักลอบนำเข้าหมูในรูปของชิ้นส่วนแช่แข็งจากต่างประเทศเข้ามาขายทำกำไร เพราะเมื่อบวกค่าขนส่งแล้วยังขายได้ในราคากก.ละ 135-145 บาท ขณะที่หมูเนื้อแดงในตลาดยืนอยู่ที่ประมาณกก.ละ 200 บาท ซึ่งการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ไม่เพียงแต่กระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยแต่ผู้บริโภคยังเสี่ยงอันตรายดังกล่าวข้างต้นอีกด้วย

แล้วเหตุไฉนการทำสงครามปราบหมูเถื่อนที่ผ่านมาร่วมปีแล้วยังไม่ได้ผล เพราะผลงานที่กรมปศุสัตว์และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอวดโอ่ว่ากวาดล้างได้กว่า 1 ล้านกิโลกรัมเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมานั้น ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยมองว่าเป็นเพียง 5% ของที่ระบาดอยู่ในตลาดเท่านั้น และจนบัดนี้ปัญหาหมูเถื่อนก็ยังคงอยู่ไม่ได้ทุเลาเบาบางลงแต่อย่างใดเมื่อดูจากราคาหมูหน้าฟาร์มที่มีแต่ทรงกับทรุด

คำถามนี้นักวิชาการอิสระผู้ใช้นามปากกาว่า “อาบอรุณ ธรรมทาน” สะท้อนว่าขบวนการหมูเถื่อนมีกลุ่มทุนสีเทาและมาเฟียอยู่เบื้องหลัง ทำงานประสานเชื่อมโยงกันเป็นขบวนการแบบวิ่งผลัด 4x100 จากท่าเรือแหลมฉบังถึงมือผู้บริโภค โดยไม้ผลัดที่หนึ่งจุดตั้งต้นของขวนการเริ่มที่ท่าเรือแหลมฉบัง ผู้เกี่ยวข้องอาจเป็นเจ้าหน้าที่นอกรีดร่วมวงด้วย ทำให้ตรวจไม่พบหมูเถื่อนที่มาเป็นตู้คอนเทนเนอร์?

ในไม้ผลัดแรกนี้ ที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงหมูประสานเสียงชี้เป้าจุดเริ่มต้นว่า แหลมฉบังคือศูนย์กลางพักสินค้าหมูลักลอบก่อนจะกระจายไปจำหน่ายทั่วประเทศ  โดยหมูเถื่อนมีต้นทางมาจาก  บราซิล สหรัฐฯ เดนมาร์ก เม็กซิโก สเปน เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ที่ผ่านมากรมศุลกากร แก้เกี้ยวว่ามีการสำแดงเท็จเป็นอาหารทะเล หรือวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ หรือซุกซ่อนมาในตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ตรวจไม่พบแม้จะติดตั้งเทคโนโลยีสแกนขั้นสูง ในปีที่ผ่านมามีการจับกุมโดยกรมศุลกากร 5 ครั้ง เป็นการจับกุมสินค้านอกท่าเรือทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้ นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม  นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี เผยว่า ขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมากันเป็น 1,000 ตู้คอนเทนเนอร์ ขนาด 40 ฟุต บรรจุหมูได้ประมาณ 27 ตัน/ตู้ ซึ่งเชื่อกันว่าจะมีเงินผลประโยชน์สะพัดไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 ล้านบาท ถ้ายังปล่อยให้มีการลักลอบนำหมูเถื่อนราคาถูกเข้ามาขายต่อไป นอกจากจะทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทยแล้ว ยังเป็นการนำโรคระบาดร้ายแรง ASF กลับเข้ามาในระบบการเลี้ยงหมูไทยอีกด้วย

ไม้ผลัดที่สองคือ กลุ่มชิปปิ้งมาเฟีย  กินหัวคิว เป็นนายหน้าออกของผิดกฎหมายให้นายทุนสีเทาชาวจีนจ่ายใต้โต๊ะให้ผู้เกี่ยวข้องที่ท่าเรือเพื่อให้ทางสะดวก ตรวจอย่างไรก็เป็นอาหารทะเลทั้งหมดไม่มีหมูเถื่อนแม้แต่กล่องเดียว ว่ากันว่าค่าออกของใต้โต๊ะส่วนนี้สูงถึง 550,000 บาทต่อตู้ เพื่อนำไปจ่ายต่อกับผู้ควบคุมเส้นทางออกของตลอดสาย

ต่อมา   บริษัทขนส่งโลจิสติกส์  รับไม้ที่สาม ทำงานเชื่อมโยงกับชิปปิ้งมาเฟียและนายทุนจีนสีเทา ลากตู้คอนเทนเนอร์หมูเถื่อนผิดกฎหมายที่มาแบบแช่แข็งไปฝากไว้ในห้องเย็นเครือข่าย เพื่อพักรอการกระจายตามออเดอร์ลูกค้า โดยพบว่าห้องเย็นในหลายจังหวัดทั้งสมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม และเชียงใหม่ เป็นแหล่งพักเพื่อรอการกระจายสินค้าตามคำสั่งซื้อ จนถึงขณะนี้ภาครัฐยังจำเป็นต้องตรวจสอบห้องเย็นเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ปูพรมตรวจทุกจังหวัดเพื่อกวาดล้างให้สิ้นซาก

ไม้ผลัดสุดท้าย คือ  พ่อค้า-แม่ค้าคนกลางเครือข่าย ซึ่งเป็นไม้สำคัญในการกระจายสินค้าให้ถึงเขียงหมู ร้านหมูกระทะ ร้านอาหารตามสั่ง และผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว เข้าเส้นชัยแบบจับมือใครดมไม่ได้ ฟันกำไรกันเป็นทอดๆ

อย่างไรก็ดี หลังจากการไล่หวดตรวจเข้มข้นขึ้น กระทั่งท่าเรือแหลมฉบังผุดไอเดีย  “ท่าเรือสีขาว”  ตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างนับพันตู้ ขบวนการลักลอบก็เบนเข็มพยายามลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนลัดเลาะเข้าไทยตามตะเข็บชายแดนด้วยกองทัพมด ผ่านทางมุกดาหาร อุบลราชธานี สระแก้ว สงขลา เชียงราย ที่จับกุมได้บ่อยคือ ด่านจังหวัดสระแก้ว และมุกดาหาร

ขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย สะท้อนว่าปัญหาหมูเถื่อนยังคงระบาดหนัก ทว่า นายสมชวน รัตนมังคลา อธิบดีกรมปศุสัตว์ กลับให้ความเชื่อมั่นว่า การลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในลักษณะเป็นตู้สินค้าข้ามแดนตอนนี้ถือว่าเป็นศูนย์ เหลือแต่กองทัพมด ซึ่งกรมปศุสัตว์ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าจับกุมแล้วทำลายสินค้าทิ้งตามเป้าหมาย  “จับให้เจ๊ง”  เป็นการตัดวงจร และทำหนังสือหารือกับสถานเอกอัครราชทูตบราซิลประจำประเทศไทย เพื่อให้ช่วยดูแลการส่งออกเนื้อสุกร เนื่องจากเนื้อสุกรลักลอบกว่า 90 % มาจากบราซิล รวมทั้งปี 2566 จะปรับปรุงระบบติดตามอิเลกทรอนิกส์เพื่อติดตามการขนซากสัตว์สุกรตั้งแต่ฟาร์ม โรงชำแหละจนถึงห้องเย็น

อนึ่ง ผลงานในปี 2565 ที่กรมปศุสัตว์ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และกรมศุลกากร ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย กรณีหมูเถื่อน มีจำนวนรวม 42 คดี ปริมาณน้ำหนักรวม 1,089,514 กก. คิดเป็นมูลค่ากว่า 219 ล้านบาท โดยได้ดำเนินการกับซากสุกรของกลางเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.เป็นส่วนที่ทำลายไปแล้ว จำนวน 179,612 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 71 ล้านบาท 2.อยู่ในระหว่างดําเนินคดี จำนวน 186,116 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 25 ล้านบาท เมื่อคดีสิ้นสุดจะได้ดำเนินการทำลายต่อไป และ 3.เป็นหมูเถื่อนที่เพิ่งทำลายไปเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2566 จำนวน 723,786 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 123 ล้านบาท

 ผลงานการปรามปรามอย่างหนักดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ คาดว่านั่นเป็นเพียง 5% ของหมูทั้งหมดที่มีการลักลอบเท่านั้น และราคาหมูหน้าฟาร์มยังคงไหลรูดเพราะหมูเถื่อนราคาถูกตีตลาด ดังนั้นจนบัดนี้ “ตัวการใหญ่” ที่เป็นหัวโจกของขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนยังคงลอยนวล ใช่หรือไม่? เป็นคำถามที่สังคมกำลังรอฟังคำตอบจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  


กำลังโหลดความคิดเห็น