ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับ “ยุทธการกระชากหน้ากากคนดี” หัวข้อที่ฝ่ายค้านใช้ในการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ซึ่งถือเป็น “ศึกซักฟอก” ครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ที่จะครบวาระอีกราว 1 เดือนเศษในวันที่ 23 มีนาคม 2566
ตลอด 2 วัน 15-16 กุมภาพันธ์ 2566 ของศึกซักฟอกมาตรา 152 แม้จะไม่มีผลต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาล ก็เป็นการชำแหละการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในหลายเรื่อง ประเด็นหลักเรื่องหนึ่งที่ถูก ส.ส.ฝ่ายค้านรุมถล่มอภิปรายก็ไม่พ้นความล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาล
โดยเฉพาะตัว “นายกฯ ประยุทธ์” ที่ประกาศตัวว่า เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยมีเรื่องทุจริตแม้แต่บาทเดียว
“เรื่องการทำทุจริตผิดกฎหมาย ก็ให้กระบวนการยุติธรรมไปว่ามา การที่ท่านเอาผมไปโยงคนนั้น โยงคนนี้ ญาติคนโน้น ญาติคนนี้ ตัวผมคือตัวผม ไม่เคยเอื้อประโยชน์ให้กับใคร ก็ไปตรวจสอบมา เวลาสมัยก่อนไม่เคยเห็นพูดเก่งอย่างนี้เลย สมัยท่านเป็นรัฐบาลกัน เรื่องทุจริตไม่เห็นมีพูดกันสักคำ ผมก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ เพราะเพิ่งผ่านห้วงเวลาวาเลนไทน์มา ไม่อยากทำให้เสียอารมณ์” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบโต้ฝ่ายค้านในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
อย่างก็ดีแม้ “บิ๊กตู่” จะปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมคุยเขื่องยกตัวเองว่า ไม่เคยโกง มาตลอด แต่ข้อมูลการทุจริตคอรร์รัปชัน และขบวนการแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายค้านเรียงคิวขึ้นมาโจมตีรัฐบาลในหลายวาระ หรือที่ปรากฎตามหน้าสื่อ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของ “ผู้นำรัฐบาล”
เพราะต้องยอมรับว่า ตั้งแต่สมัยรัฐบาล คสช. มาจนถึงรัฐบาลพลังประชารัฐ ถือเป็น “ยุคทอง” ของ “ทุนเทา-จีนเทา” ไปจนกระทั่ง “ไทยเทา” ใช่หรือไม่?
ภายใต้การนำของ “นายกฯ ตู่” เกิดเรื่องครหาขมุกขมัว “สีเทา” ไม่ว่าจะเป็นความไม่โปร่งใสตรวจสอบไม่ได้ กระทั่งการทุจริตคอร์รัปชัน หรือธุรกิจผิดกฎหมาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “คนในรัฐบาล” หลายต่อหลายเรื่องที่ถูกเมินเฉย ไร้มาตรการจัดการให้เกิดความโปร่งใสแม้แต่น้อย
ขณะที่อีกหลายต่อหลายเรื่องยังสะท้อนความเป็น “รัฐราชการ” ที่กลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลที่ได้ “นายทหารอาชีพ” มาเป็นผู้นำ เพราะในการทำงานและการแก้ปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ที่เติบโตมาจากระบบราชการก็ให้ความสำคัญกับความเป็นรัฐราชการเป็นลำดับต้นๆ โดยใช้เป็น “กลไกหลัก” ในการบริหารราชการแผ่นดิน และ “ลุงตู่” ก็กลายเป็น “พี่ใหญ่ระบบราชการไทย” ไปโดยปริยาย
ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ “เงาของรัฐ” ที่ฝังรากลึกในระบบรัฐราชการจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการ “อำนวยความสะดวก” ให้ “เครือข่ายสีเทา” แสวงหาความร่ำรวยชนิดที่ประเทศชาติและประชาชนไม่ได้รับประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงจำนวนมากก็เข้าไปอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะ “ตำรวจ” ที่ฉาวโฉ่ในขณะนี้
ไล่มาตั้งแต่ “เรื่องดาดๆ” อย่าง “การตั้งด่านรีดไถ” ไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับชาติอย่างกรณี “ทุนจีนสีเทา” ที่ปรากฏชัดว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องแทบจะทุกขั้นตอน รวมถึงเรื่อง “สุดร้อน” คือการที่มีตำรวจไปเกี่ยวข้องกับ “เว็บพนันออนไลน์” แถมมีตำรวจระดับ “นายพล” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่างหาก
นี่ไม่นับรวมถึง “กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)” อีกหนึ่งองค์กรสำคัญในกระบวนการยุติธรรม ก็ไปพัวพันกับทุนจีนสีเทา จากการบุกจับกุมบ้านพักหรูหลังหนึ่งในเขตพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ เพราะชุดบุกจับ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจ 191 ทหาร และล่ามแปลภาษา เรียกรับผลประโยชน์รวมเกือบ 10 ล้านบาท พร้อมปล่อยตัวชาวจีนทั้งหมด จนหลบหนีออกนอกประเทศไปได้
จริงอยู่แม้งานนี้จะมี “กระทรวงยุติธรรม” ซึ่งมี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” นั่งเป็นเจ้ากระทรวง แต่สังคมก็ไม่แคล้วต้องตำหนิ “นายกฯ ลุง” ซึ่งนั่งเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ โดยตำแหน่ง ไปพร้อมๆ กัน
กระนั้นก็ดี ถ้าจะลากยาวถึง “ความเทาๆ” ก็คงต้องเริ่มตั้งแต่ตัว “นายกฯประยุทธ์” รวมกับรัฐมนตรีที่มาจากรัฐบาล คสช.ด้วยกันหลายราย อาทิ กรณีการไม่เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตัวเอง ภายหลังเข้ามาเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 โดยอ้างว่า ในกรณีดำรงตำแหน่งต่อเนื่องนั้น กฎหมายให้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่ ป.ป.ช.จะเปิดเผยหรือไม่ก็ได้
ตามต่อด้วยกรณี “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่มีเรื่อง “ดรามานาฬิกายืมเพื่อน” จนนำไปสู่การสืบค้นแล้วพบว่า ในช่วงรัฐบาล คสช. “บิ๊กป้อม” สลับใช้นาฬิกายี่ห้อดังราคาแพงมากถึงกว่า 20 เรือน ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ปรากฎในบัญชีทรัพย์สินของเจ้าตัวแต่อย่างใด และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยข้ออ้างว่าเป็น “นาฬิกายืมเพื่อน” จึงไม่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเมื่อตามต่อไปถึงเพื่อนที่ให้ยืมก็ปรากฎว่า เสียชีวิตไปแล้ว
หรือแม้แต่รัฐมนตรีก็ปรากฏความเป็น “สีเทา” ให้เห็นจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม แต่ก็ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาจาก “พล.อ.ประยุทธ์” กระทั่งถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2564 จากความขัดแย้งการเมืองภายในรัฐบาล
มาจนถึงกรณีของ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี สืบเนื่องจากมีคลิปหลุดพูดคุยเรียกรับผลประโยชน์จากโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่นานก็กลับได้รับการแต่งตั้งกลับมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังจากที่ “แรมโบ้” กลับมาเข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะ “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศเข้าร่วมงานทางการเมือง
คล้ายกับกรณี “เสี่ย อ.” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น ส.ว.โดยกระบวนการคัดเลือกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2562 ก็ถูกระบุว่ามีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ นักธุรกิจชาวเมียนมา ที่ถูกตำรวจไทยจับเรื่องในเรื่องเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด-ฟอกเงิน และสามารถอายัด-ยึดทรัพย์สินเป็นมูลค่ารวม 1,858 ล้านบาท และล่าสุดก็ “พรรคก้าวไกล” นำมาอภิปรายจนซี้ดปากกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า เป็นเจ้าของที่ดินที่ตั้งของที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติที่ “นายกฯ ตู่” เป็นสมาชิกพรรค
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เกิดคำถามตามมาว่า “นายก ฯตู่” มิได้สนใจกับภาพลักษณ์หรือข้อครหาใดๆ การจะแต่งตั้งหรือปลดออกจากตำแหน่ง ล้วนแล้วแต่ใช้เหตุผลเรื่องการเมืองเป็นหลัก ใช่หรือไม่?
เช่นเดียวกับ “วงราชการ” ภายใต้หลักคิด “รัฐราชการ” ก็ปล่อยปละละเลยให้เกิดประเด็นกล่าวหาทุจริตคอร์รัปชันแทบทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น “กองทัพ” ที่ถูกตั้งแง่เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์บ่อยครั้ง อย่างที่ถูกเหน็บแนมบ่อยๆ ก็คือเรื่อง “เรือดำน้ำ” ที่จนป่านนี้ยังไม่ได้เข้าประจำการในราชนาวีไทยเพราะติดปัญหาเรื่องเครื่องยนต์
หรือกรณีทุจริตในหน่วยงานที่นำมาซึ่ง “โศกนาฏกรรม” อาทิ เหตุกราดยิงโคราช ที่นำไปสู่การเปิดโปงระบบการทุจริตโครงการเงินกู้สวัสดิการเพื่อการเคหะสงเคราะห์ ในกองทัพบก หรือการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงที่ไม่ได้ประสิทธิภาพจนนำมาซึ่งความสูญเสียกรณีเรือหลวงสุโขทัย
ปรากฎว่า ความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่กลับไม่มีการไล่เบี้ยหาผู้รับผิดชอบแต่อย่างใด
มาถึงกรณีการจับกุม “นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช คากรมอุทยานฯ กรณีเรียกรับสินบนเกือบ 5 ล้านบาท ที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อช่วงปลายปี 2565 พร้อมถูกตั้งข้อหา เรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริต ซึ่งวงในรู้กันดีว่า “อธิบดีรัชฎา” เป็น “สายตรงใคร”
ที่สำคัญคือ หลังเกิดเรื่อง “นายกฯ ตู่” ยังใช้อำนาจสั่งย้าย “อธิบดีรัชฎา” มาพักไว้ที่สำนักนายกฯ ในระหว่างสอบสวนด้วย ทั้งที่ความจริงต้องปล่อยให้ “นายวราวุธ ศิลปอาชา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นคนสั่งย้ายเข้ามาที่สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จนเสียงวิจารณ์ดังขรมทั้งแผ่นดินว่าทำไมถึงเป็นเยี่ยงนั้น ก่อนที่จะมีคำสั่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ให้ “อธิบดีรัชฎา” ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะดูท่าจะ “เอาไม่อยู่” ส่วนสุดท้ายผลของของคดีจะลงเอยอย่างไรก็คงต้องรอให้กระบวนการยุติธรรมตัดสินให้จบสิ้นกระบวนความเสียก่อน
แต่ที่โด่งดังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในระยะหลัง คงไม่พ้น “วงการสีกากี” ในท้องเรื่อง “ทุนเทา-จีนเทา-ไทยเทา” ตั้งแต่กรณี “ตู้ห่าว” ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ นักธุรกิจชาวจีน สัญชาติไทย ที่ลุกลามบานปลายจากกรณีจับกุม “จินหลิงผับ” ไปถึงการปราบปรามและยึดทรัพย์ขนานใหญ่ ซึ่ง “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตเจ้าพ่ออ่าง คนที่ออกมาแฉเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง ก็พยายามเรียกร้องให้ “นายกฯ ตู่” โยกย้าย “บิ๊กจ้าว” พล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกจากตำแหน่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ
ต่อเนื่องมาถึงกรณี “พนันออนไลน์” ที่ระบาดกลาดเกลื่อนประเทศไทย ซึ่งกลับต้องรอข้อมูลจาก “ดิว” อริสรา ทองบริสุทธิ์ ดาราสาว ที่ออกมาปูดเรื่องราวของ “พี่น้อง 4 บ.” นำโดย “เบนซ์ เดม่อน” ชัยวัฒน์ ขจรบุญถาวร กับเว็บพนันออนไลน์ “มาเก๊า 888” จนนำไปสู่การตั้งข้อหา และจับกุมดำเนินคดีในขณะนี้ กระทั่งสังคมโจษจันกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ถ้า “ดิว-อริสรา” ไม่ออกมาแฉ ตำรวจจะจัดการไหม เพราะสังคมเชื่อว่า ไม่มีเรื่องไหนในแผ่นดินนี้ที่ตำรวจไทยรู้ เพียงแต่จะทำหรือไม่ก็เท่านั้น
ลามไปถึง “สารวัตรซัว” ที่ถูก “ชูวิทย์” ออกมาแฉถึงขนาดที่ว่า “มาเก๊า 888 แค่ไซส์ S เพราะไซส์ L คือสารวัตรซัว แห่งเป็นต่อกรุ๊ป ”โดยมี “นายพล จ.” ตำรวจใหญ่ในราชการ ที่ยังไม่มีการเปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลยทีเดียว
“สารซัว” จะผิดหรือไม่ ยังไม่รู้
“นายพล จ.” จะเกี่ยวข้องหรือไม่ ก็ยังไม่รู้
แต่แน่ๆ คือ “พล.ต.ต.ธงชัย” เสรีวัฒนา ผู้บังคับการกองโยธาธิการ มีคำสั่งให้ “พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล” สารวัตรฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สังกัดกองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง จนต้องมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ภายหลังถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน ตามคำสั่งกองโยธาธิการ ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ในเรื่องละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ทางราชการโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันในคราวเดียวกัน เป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
เช่นเดียวกับกรณี “แทนไท” ที่เคยถูกแจ้งข้อหาเปิดเว็บพนันฟุตบอลที่มีเงินหมุนเวียนเป็นหมื่นล้านบาทในปี 2563 แต่กลับหลุดคดีไปได้ โดยทุกวันนี้ก็ยังร่ำรวยชนิดที่สามารถนำเงินไปหว่านประมูลซื้อทะเบียนรถเลขสวยได้ในราคากว่า 45 ล้านบาท รวมทั้งไม่ถึงปี คือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2565 หรือ เพียง 7-8 เดือน สามารถเพิ่มทุนบริษัทที่ตัวเองเป็นเจ้าของจาก 5 ล้านเป็น 900 ล้านบาท มาได้แบบน่าอัศจรรย์
มิพักต้องพูดถึงขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชน ทั้ง “แก๊งคอลเซนเตอร์” หรือ “แก๊งหลอกลงทุน” ที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเห็นจะไม่พ้น ขบวนการหลอกลงทุนแชร์ FOREX 3D ของ “อภิรักษ์ โกฎธิ” ที่มีผู้เสียหายเบื้องต้นเกือบ 1 หมื่นราย พบเงินหมุนเวียนกว่า 4 หมื่นล้านบาท และยังเชื่อมโยงคนบันเทิงหลายราย โดยเฉพาะสามีภรรยา ดีเจแมน-พัฒนพล มินทะขิน และ ใบเตย-สุธีวัน กุญชร ที่เพิ่งถูกส่งฟ้องเป้นรายล่าสุด
เรื่องเหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ล้วนแล้วแต่มี “เงาของรัฐ” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่คอยอำนวยความสะดวกไปถึงขั้นนั่งบงการใหญ่อยู่เบื้องหลัและขยายเครือข่ายใหญ่จนเฟื่องฟูถึงขีดสุด สะท้อนความพิกลพิการของกระบวนการยุติธรรมใน “ยุคสีเทา” ได้เป็นอย่างดี และเป็นปัญหาใหญ่ที่จำต้องแก้ไขเป็นการเร่งด่วน ซึ่งความจริงควรจะเร่งด่วนเพราะมีเสียงเรียกร้องให้ “ปฏิรูป” มายาวนาน แต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่ “การปฏิลูบ” โดยเฉพาะ “ตำรวจ” ที่สังคมนึกไม่ออกว่า เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 8 ปีก่อนหน้านี้อย่างไร
เพราะต้องไม่ลืมว่า “นายกฯ ลุง” นั้นเข้ามากำกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ด้วยตัวเองหลังริบเก้าอี้นี้มาจาก “พี่ป้อม” แม้ที่ผ่านมาจะพอมีผลงานให้เห็น แต่ก็เต็มไปด้วยปัญหาไม่แพ้กัน
ที่สำคัญแต่ละขบวนการ หรือแต่ละแก๊ง ไม่ได้เพิ่งเริ่มกิจการ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ระยะเวลาในการทำ “ธุรกิจสีเทา” มาพอสมควร จนมีมูลค่าเป็นพันล้าน หมื่นล้านบาท
ซึ่ง “นายกฯตู่” ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะเป็นทั้ง “หัวหน้ารัฐราชการ” ที่ต้องกำกับดูแลทุกหน่วยงาน เป็น “รมว.กลาโหม” ที่กำกับดูแลกองทัพ รวมทั้งยังเป็น “ประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)” กำกับดูแล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรม
สำคัญที่สุดในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ที่ต้องป้องกัน “ภัยสีเทา” ที่เป็นภัยคุกคามที่มีต่อประชาชน
ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องเทาๆ ดำๆ จะสามารถเติบใหญ่ฟูเฟื่องมาตลอด 8 ปี ในยุคของ “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งเป็นนายกฯ ที่มีอำนาจเต็ม และต่อเนื่องที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย
หาก “ลุงตู่” อยากจะไปต่อสานฝันการเป็นนายกฯ สมัยที่ 3 ก็ควรใช้เวลาที่เหลืออยู่จัดการขบวนการ “ประเทศเทา” เหล่านี้ให้เด็ดขาด เพื่อแสดงให้เห็นว่า “นายกฯ ลุงรักประเทศไทยและรักประชาชน” อย่างที่ประกาศไว้และใช้เป็นจุดขายในการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้.