ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นประเด็นที่น่าจับตาการกลับมาของ “ไกด์เถื่อน” หรือ “มัคคุเทศก์ผิดกฎหมาย” ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ในห้วงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศจีนที่นิยมมาในรูปแบบของกรุ๊ปทัวร์ผ่านบริษัทนำเที่ยวต่างๆ หวั่นเกิดประเด็นปัญหาเก่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างที่ควรจะเป็น
และที่ต้องจับตาไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ การปฏิบัติหน้าที่ของ “เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย” ทั้งๆ ที่ควรคอยอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่กลับเกิดขบวนการแสวงหาผลประโยชน์นำรายได้เข้าพกเข้าห่อของตัวเอง ซ้ำร้ายยังเกิดกรณี “ตั้งด่านรีดไถ” นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นข่าวครึกโครมสะเทือนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่กรณี รถตำรวจนำทางแบบ VIP แพกเกจ Thailand Fast Pass ทัวร์จีนเที่ยวไทยแบบ VIP บริการสุดพิเศษที่ไม่บันทึกไว้ในสารบบไทย หลังเรื่องราวถูกแชร์โดยนักท่องเที่ยวชาวจีน เผยแพร่คลิปท่องเที่ยวไทยแบบ VIP จ่ายเงินซื้อบริการพิเศษตำรวจไทย อำนวยความสะดวกให้มารับที่สนามบินสนามบินสุวรรณภูมิ และขับรถนำขบวนไปส่งถึงที่พักในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี นำสู่การตรวจสอบเอาผิดทางวินัยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ตกเป็นประเด็นสะท้านสะเทือนวงการสีกากี
มาถึงกรณี ดาราสาวชาวไต้หวัน อันอี๋ว์ชิง หรือ Charlene An ที่เดินมาท่องเที่ยวฉลองข้ามปีในประเทศไทย แต่จู่ ๆ เธอก็โดนตำรวจ สน.ห้วยขวางรีดไถเงินจำนวน 27,000 บาทแลกกับการถูกปล่อยตัวหลังถูกตรวจและพบว่า มีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครองและไม่พกพาพาสปอร์ต ซึ่งต่อมาเธอได้เขียนแบ่งปันประสบการณ์นี้ในโลกโซเชียล เมื่อข่าวถูกแพร่กลับมาที่ไทยก็กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวใหญ่โต
“การมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครองและไม่พกพาสปอร์ตเป็นสิ่งผิดกฎหมายนั้นถูกต้อง แต่ที่ฉันต้องการย้ำคือถ้าทำผิดกฎหมายก็ควรออกใบสั่งปรับ แต่คำสั่งที่ฉันได้รับแจ้งมาก็คือเรียกร้องให้พวกเราจ่ายเงินและหลบกล้องวงจรปิด ส่วนเรื่องราวประเด็นอื่นๆ นั้นก็ขอทุกคนพิจารณาและใช้วิจารณญาณตัดสินกันเอาเอง เพราะในใจของทุกคนก็มีคำตอบอยู่แล้ว” เมื่ออันอี๋ว์ชิง ให้สัมภาษณ์กลุ่มสื่อในไต้หวันวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา
นอจากนี้ ยังมีการให้ข้อมูลถึงไกด์ท้องถิ่นในไทยที่แนะว่าให้ยัดเงินใต้โต๊ะไปสัก 5,000 บาท หรือไม่ก็ขอคุยตกลงราคากันไปเลย แม้ล่าสุดยังไม่ได้รับการยืนยันว่าไกด์ท้องถิ่นที่ถูกพาดพิงเป็นไกด์ไทยที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่กรณีที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของไกด์ไทยโดยรวม
สำหรับความคืบหน้าเรื่องอันอี๊ว์ชิงนั้น พล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เซ็นหนังสือสั่งย้าย 7 นายตำรวจ สน.ห้วยขวาง หลังตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้วพบว่า “มีมูล” ขณะที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็ได้ลงนามในคำสั่งย้าย พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ไปเป็น ผกก.สน.หนองจอก แทน ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต้อไปว่าสุดท้ายแล้ว “บทสรุป” จะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะหลังจากที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” ออกมาแฉถึง “ขบวนการตั้งด่านรีดไถ” ทั้งด่านของนครบาลที่มียอดเงินส่งส่วยถึงเดือนละ 264 ล้านบาท และด่านของตำรวจจราจรกลางที่มียอดสูงเดือนละ 60 ล้านบาท
ทั้งนี้ นอกจากกรณีดาราสาวไต้หวันและเพื่อนแล้วยังเกิดเหตุในทำนองเดียวกันนี้ที่ “พัทยา” อีก จากกรณีที่สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไท ออกมาแฉพฤติกรรม ดาบตำรวจนายหนึ่งสังกัด สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รีดเงินนักท่องเที่ยวชาวจีน 60,000 บาท กรณีพกพาบุหรี่ไฟฟ้า ก่อนต่อรองเหลือ 30,000 บาท โดยมีคลิปภาพถ่ายยืนยัน
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดชลบุรี มีหนังสือสั่งการด่วนที่สุดให้ผู้กํากับการสถานีตํารวจภูธรเมืองพัทยา ตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่าบุคคลที่ปรากฏตามภาพข่าว คือ ดาบตํารวจนพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ ผู้บังคับหมู่งานจราจร สภ.เมืองพัทยา โดย ผกก.สภ.เมืองพัทยา ได้รายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นน่าเชื่อว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงตามที่ปรากฏในข่าว เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ทางตํารวจภูธรจังหวัดชลบุรีจึงมีคําสั่งที่ 34/2566 ลงวันที่ 31 ม.ค.66 ให้ ดาบตํารวจนพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ ไปปฏิบัติราชการ ณ ศูนย์ปฏิบัติการตํารวจภูธรจังหวัดชลบุรี โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ตําแหน่งเดิม และมีคําสั่งที่ 35/2566 ลงวันที่ 31 ม.ค. 66 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด เพื่อรายงานให้ทราบในคราวต่อไป
กล่าวสำหรับกรณี “ไกค์เถื่อน” นั้น สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย โดยมี นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ นายกสมาคมมัคคุเทศก์ฯ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชากาติ (ผบ.ตร.) ดำเนินการปราบปรามชาวต่างชาติที่ลักลอบประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ในประเทศไทย โดยมี พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าวแทน
กรณีดังกล่าว หากตรวจพบว่าเป็นไกด์ต่างชาติ ต้องดำเนินการตามกฎหมาย และหากเป็นไกด์ไทย ต้องนำเสนอต่อกรมการท่องเที่ยวเพื่อให้มีการเพิกถอนใบอนุญาต เพราะถือว่าทำผิดจรรยาบรรณของมัคคุเทศก์ และทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทย
นอกจากนี้ สมาคมมัคคุเทศก์ฯ ยังแสดงความกังวลต่อพฤติการณ์ของไกด์เถื่อน ย้อนกลับไปช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 เกิดการแพร่ระบาดของ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่มักใช้ “ไกด์เถื่อนชาวต่างชาติ” เพราะไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายใดๆ และค่าใช้จ่ายถูกกว่า กระทั่งสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้การท่องเที่ยวชะงักจนไกด์เถื่อนกลุ่มนี้หายไป ซึ่งตอนนี้การท่องเที่ยวที่กำลังกลับมา โดยเฉพาะการเปิดการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ของจีน ตั้งแต่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นที่น่าจับว่าปัญหาไกด์เถื่อนจะกลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง
เป็นที่ทราบกันว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” คือกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าเมืองไทย โดยซื้อทัวร์นำเที่ยวจากบริษัททัวร์ในประเทศตัวเองซึ่งมีราคาที่ต่ำกว่าทุน จากนั้นบริษัทนำเที่ยวจะส่งต่อนักท่องเที่ยวมายังให้บริษัทนำในไทยเที่ยว โดยไม่จ่ายค่าธรรมเนียมการนำเที่ยว นอกจากนี้ จะพานักท่องเที่ยวไปซื้อสินค้าต่างๆ ในเครือข่ายในราคาที่สูงเกินจริง
แน่นอน หลังจากทางการจีนได้เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ฝ่ายเป็นห่วงของทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่มักจะมาคู่กับนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นยุคเฟื่องฟูของการท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามามากอันดับหนึ่งของประเทศ และมีบริษัททัวร์ที่เป็นของคนจีน โดยใช้คนไทยเป็นนอมินี เข้ามาขายทัวร์ในลักษณะทัวร์ศูนย์เหรียญเกิดขึ้นจำนวนมาก
ในประเด็นนี้ บิ๊กโจ๊ก - พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าการกลับมาของตลาดท่องเที่ยวชาวจีน คาดว่าจะไม่มีปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญกลับมาเกิดขึ้น เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่ม FIT เป็นการเดินทางมาท่องเที่ยวแบบส่วนตัว หรือส่วนบุคคลที่เดินทางกันมาแบบครอบครัว คนหนุ่มสาว หรือกลุ่มไมซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางแบบเจาะจง รวมทั้งการเดินทางในเชิงธุรกิจ การประชุมสัมมนา ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์น้อยลง
“เชื่อว่ารูปแบบการท่องเที่ยวแบบทัวร์ศูนย์เหรียญไม่กลับมาแน่นอน เพราะรูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตลาดนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป คนทำบริษัททัวร์เองก็ต้องเปลี่ยนแนวคิด”
บิ๊กโจ๊ก พูดถึงประเด็นสำคัญคือทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่น ในการตัดสินใจเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย โดยเฉพาะเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องของความปลอดภัยนั้นตำรวจจะเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวในการตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวจุดต่างๆ เพราะถ้าที่ไหนมีความปลอดภัย นักท่องเที่ยวจะตัดสินใจเดินทางไปท่องเที่ยวที่นั่น
ทว่า ข่าวใหญ่สะเทือนวงการท่องเที่ยว “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” กลับกลายมาเป็นอุปสรรคใหญ่ของการท่องเที่ยวเสียเอง
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาคท่องเที่ยวมีความพยายามปราบไกด์เถื่อน หรือไกด์ต่างชาติที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบอาชีพในไทย ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากที่ผันตัวมาเป็นมัคคุเทศก์ผิดกฎหมาย ทว่า คุณสมบัติแรกของการเป็นมัคคุเทศก์ตามกฎหมายไทย “ต้องมีสัญชาติไทย”
เช่น พื้นที่ภูเก็ตเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง ในช่วงก่อนโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาจำนวนมาก เคยจับกุมไกด์เถื่อนได้มากกว่า 20 คนต่อวัน หลังโควิดคลี่คลายตั้งแต่เปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ไกด์เถื่อนก็กลับมาอีกครั้ง พบเห็นไกด์เถื่อนชาวต่างชาติ ทำโฆษณาขายทัวร์เอง จัดรถไปรับนักท่องเที่ยวเอง เป็นกรุ๊ปเล็กๆ ไม่เกิน 10 คน พอมีเจ้าหน้าที่แสดงตัวสอบถาม มักจะอ้างว่าพาเพื่อนเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ อาชีพมัคคุเทศก์หรืองานจัดนำเที่ยวเป็นงานที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น และเป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาด ซึ่งระบุไว้ในบัญชีท้ายประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ส่วนใหญ่เดินทางมาในรูปแบบของกรุ๊ปทัวร์หรือผ่านบริษัทนำเที่ยว ซึ่งมีผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจำนวนหนึ่งใช้บริการไกด์ หรือมัคคุเทศก์ชาวต่างชาติที่ลักลอบประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ในไทยซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย
“การที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเลือกจ้างไกด์ต่างชาติแทนคนไทย นอกจากมีความผิดตามกฎหมายแล้วยังทำให้เกิดการแย่งอาชีพคนไทย ซึ่งกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะรายได้หลักทางหนึ่งของไทยมาจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงและธุรกิจที่เกี่ยวข้องทางอ้อม”
พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมว่า สำหรับประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีทั้งสิ้น 40 งาน เป็นงานห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด 27 งาน ตามบัญชีที่ 1 ได้แก่ 1. งานแกะสลักไม้ 2. งานขับขี่ยานยนต์ ยกเว้นงานขับรถยก (Forklift) 3. งานขายทอดตลาด 4. งานเจียระไนเพชร/พลอย 5. งานตัดผม/เสริมสวย 6. งานทอผ้าด้วยมือ 7. งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ฟาง ไม้ไผ่ ขนไก่ เส้นใย ฯลฯ 8. งานทำกระดาษสาด้วยมือ 9. งานทำเครื่องเขิน 10. งานทำเครื่องดนตรีไทย 11. งานทำเครื่องถม 12. งานทำเครื่องทอง/เงิน/นาก 13. งานทำเครื่องลงหิน 14. งานทำตุ๊กตาไทย 15. งานทำบาตร 16. งานทำผ้าไหมด้วยมือ 17. งานทำพระพุทธรูป 18. ทำร่มกระดาษ/ผ้า19. งานนายหน้า/ตัวแทน 20. งานนวดไทย 21. งานมวนบุหรี่ 22. งานมัคคุเทศก์ 23. งานเร่ขายสินค้า 24. งานเรียงอักษร 25. งานสาวบิดเกลียวไหม 26. งานเลขานุการ และ27. งานบริการทางกฎหมาย
และงานที่ให้คนต่างด้าวทำได้ โดยมีเงื่อนไข 13 งาน ตามบัญชีที่ 2 ได้แก่ วิชาชีพบัญชี วิชาชีพวิศวกรรม วิชาชีพสถาปัตยกรรม โดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งต้องเป็นคนต่างด้าวของประเทศที่มีข้อตกลงกับประเทศไทยเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้ ตามบัญชี 3 ได้แก่ 1.งานกสิกรรม 2.งานช่างก่ออิฐ/ช่างไม้/ช่างก่อสร้างอาคาร 3.งานทำที่นอน 4.งานทำมีด 5.งานทำรองเท้า 6.งานทำหมวก 7.งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย 8.งานปั้นเครื่องดินเผาโดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานฝีมือหรือกึ่งฝีมือนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้าง
และตามบัญชีที่ 4 ได้แก่ งานกรรมกร และงานขายของหน้าร้าน โดยมีเงื่อนไขให้คนต่างด้าวทำงานนั้นได้ก็แต่เฉพาะงานที่มีนายจ้างและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU)
ขณะที่กรมการจัดหางานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าว นายจ้าง สถานประกอบการ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาแย่งอาชีพของคนไทย เพื่อเป็นการควบคุม ตรวจสอบและดำเนินคดีคนต่างด้าวที่ลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย
นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่างานที่ห้ามคนต่างด้าวทำมีทั้งสิ้น 40 งาน โดยงานมัคคุเทศก์หรืองานจัดนำเที่ยว เป็นงานที่กฎหมายกำหนดไว้ในบัญชีที่ 1 ห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาดในจำนวน 27 งาน เพราะเป็นอาชีพสงวนของไทย คนต่างด้าวจึงไม่สามารถขอใบอนุญาตทำงานต่อนายทะเบียนเพื่อทำงานดังกล่าวได้ รวมทั้ง หากได้รับใบอนุญาตทำงานแล้วแต่ภายหลังลักลอบทำงานมัคคุเทศก์ จะมีความผิดตาม พรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศ
ในส่วนนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวทำงานโดยที่คนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ จะมีความผิดเช่นเดียวกัน ปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 –200,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นระยะเวลา 3 ปี
โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีการตรวจสอบนายจ้าง/สถานประกอบการแล้ว จำนวน 10,174 แห่ง ดำเนินคดี 360 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 156,471 คน ดำเนินคดี 808 คน ในจำนวนนี้เป็นคนต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย จำนวน 435 คน
สารพันปัญหาที่กลับมาพร้อมการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรรมท่องเที่ยว ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะสถานการณ์ “ไกด์เถื่อน – ทัวร์ศูนย์เหรียญ” และ “ตำรวจกังฉิน” ที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ต้องเกิดการปฏิรูปตำรวจอย่างเป็นรูปธรรม เหล่านี้เป็นโจทย์ข้อใหญ่ของภาครัฐที่ต้องจัดการโดยเร่งด่วน