ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “อย่าไปพูดถึงคน ๆ นั้น ผมไม่ชอบ” ก่อนเดินออกจากโพเดียมไปทันทีทั้งที่ยังไม่ทันจบคำถาม
รีแอ็กชันของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ
หลังถูกสื่อมวลชนถามถึงการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองเกี่ยวกับสาเหตุที่ “บิ๊กตู่” ยังไม่ตัดสินใจยุบสภาของ “เฮียโทนี่ วู้ดซั่ม” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย
เชื่อว่าอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินชื่อ “ทักษิณ” ของ “นายกฯ ตู่” ไม่ได้เป็นเพราะคำถามที่ว่าไปเท่านั้น เพราะการออกรายการ CareTalk x Care ClubHouse เมื่อวันอังคารที่ 24 ม.ค.66 ที่ผ่านมา เนื้อหารายการเน้นไปที่เรื่องการเมืองแบบเต็มคาราเบล ด้วยเป็นจังหวะนับถอยหลังเข้าสู่สมรภูมิเลือกตั้ง 2566 ที่อาจจะเป็นเดิมพันครั้งสุดท้ายกับโอกาสกลับบ้านของ “ทักษิณ”
งานนี้ “เฮียโทนี่” ก็เลยสวมบท “เกจิ” วิเคราะห์ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าตั้งแต่ยังไม่ตั้งคูหา โดยฟันธงเปรี้ยงว่า ฝั่งประชาธิปไตยได้ ส.ส.รวมกันเกิน 300 เสียง มีพรรคเพื่อไทย เข้าป้ายอันดับ 1 และ พรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 2 โดยในพื้นที่ กทม. แบ่งกันคนละครึ่ง แบบพรรคอื่นแทบไม่ได้เกิด
แต่ก็ยังไว้ฟอร์มออกตัวว่า “โพล” ที่อ้างอิงอาจ “เอียงนิดๆ” จากกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ได้สะท้อนภาพทั้งประเทศ
“วันนี้ฝั่งประชาธิปไตยคือคำตอบ และสิ่งที่น่าสนใจคือ กทม. แทบจะแบ่งคนละครึ่ง ระหว่าง เพื่อไทย กับ ก้าวไกล ดังนั้น ถ้ารวมกันก็เกิน 350 เสียง ขณะนี้ประชาชนเริ่มเบื่อ และต้องการคนที่จะเข้ามาแก้ปัญหาให้ประเทศ” ทักษิณว่าไว้
น่าสังเกตว่า ตลอดเวลาที่พูดถึงการวิเคราะห์ผลเลือกตั้ง “นายห้างดูไบ” ย้ำคีย์เวิร์ด “แลนด์สไลด์” แทบจะตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมจงใจที่จะเชียร์กิจการในเครือชินวัตรอย่าง “ค่ายเพื่อไทย” ที่ปักมอตโต้ “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ลุยศึกเลือกตั้งครั้งนี้
โดยเฉพาะการชู “ลูกอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก เป็นว่าที่หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยด้วย
นอกเหนือจาก “ยกหาง” ฝ่ายตัวเองแล้ว “เฮียโทนี่” ยังถือโอกาส “ข่ม” คู่ต่อสู้ ทั้ง “บิ๊กตู่” รวมไปถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่เป็นหัวหน้าและว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐในคราวเดียว
โดยไล่ชำแหละว่า “พล.อ.ประวิตร” อยากเป็นนายกฯ ถึงขนาดใส่กางเกงยีนส์ลุยพื้นที่หาเสียง ส่วนจะได้เป็นหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า ใครตั้ง ถ้าให้ประชาชนตั้งก็ไม่ได้เป็นแน่ เพราะกระแส “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทยแรงมาก ประชาชนต้องการคนมาแก้ปัญหา ไม่ได้ต้องการคนมาเป็นนายเขา และคนที่มาแก้ปัญหาให้ก็ไม่มีใคร นอกจากพรรคเพื่อไทย
ส่วน “พล.อ.ประยุทธ์” ก็โดนถล่มในประเด็นการที่ยังไม่ตัดสินใจใช้อำนาจยุบสภา แต่ก็ไม่เชื่อว่า คงไม่เลือกยุบสภาเพื่อหนีการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 แห่งรัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านที่จะมีขึ้นในวันที่ 15-16 ก.พ.นี้ เพราะต้อง “ลากยาว” ไปจนเกือบครบเทอม เนื่องจาก “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังแต่งตัวไม่เสร็จ ยังตั้งตัวแทนประจำจังหวัดไม่ครบตามกฎหมายกำหนด จึงต้อง “ดึงเกม” เอาไว้ก่อน
ก่อนขมวดปมสรุปแขวะว่า “รวมไทยสร้างชาติ” ลุ้นให้ได้ 25 เสียง เพื่อให้มีสิทธิ์เสนอชื่อนายกฯไป โหวตในที่ประชุมรัฐสภา ก็เก่งแล้ว
“พล.อ.ประยุทธ์ควรกลับไปเลี้ยงหลานเถอะ แม้ท่านไม่มีหลาน ก็ควรไปเลี้ยงลูก รอตอนผมกลับบ้าน แล้วไปเที่ยวกัน เอาประสบการณ์มาแชร์กัน จากซีกของท่านที่ใช้อำนาจสุดๆ ส่วนของผมที่แคร์ประชาชนสุด แล้วมาแชร์กัน เขียนหนังสือด้วยกันสักเล่ม” ทักษิณพูดไว้วันนั้น
พอยิ่งออกอาการก็ยิ่งเข้าทาง พลันที่มีการนำเสนอข่าวอาการไม่สบอารมณ์ของ “นายกฯ ตู่” ก็เข้าทาง “อดีตนายกฯ แม้ว” ที่ได้แชร์ข่าวนี้ทางทวิตเตอร์ พร้อมแนบจิกกัดไปอีกดอกว่า ..."นักปราชญ์พูดไว้ว่า คนที่มีอำนาจมากเท่าไหร่ ก็เริ่มหันหลังให้กับความจริงมากเท่านั้น ผมเพียงสะท้อนความจริงที่คนใกล้ตัวไม่กล้าพูด เพื่อให้ท่านได้รับรู้”
เชื่อว่าการออกรายการของกลุ่มแคร์แต่ละครั้งของ “ทักษิณ” คงไม่ถึงขนาดที่ “พล.อ.ประยุทธ์” จะติดตามดูด้วยตัวเอง แต่ก็คงมี “ฝ่าย เสธ.” ทำรายงานสรุปให้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวในทางแจ้ง-ทางลับของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ที่ก็อยู่ในหูในตาของ “บิ๊กตู่” ที่เป็นใหญ่บนตึกไทยคู่ฟ้าวันนี้อย่างแน่นอน
อาการฉุนเฉียวของ “พล.อ.ประยุทธ์” ยามที่มีชื่อ “ทักษิณ” ลอยเข้าหู ก็คงมาจากทั้งคำพูดที่มักพาดพิงถึงตัวเองแทบทุกครั้งที่ออกรายการ ผสมกับความเคลื่อนไหว “ซูเปอร์ดีล” ที่ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลดีกับเส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯ สมัย 3 ของ “บิ๊กตู่” เอง
โดยเฉพาะ “ซูเปอร์ดีลข้ามขั้ว” ที่ว่ากันไปถึงการจับมือตั้งรัฐบาลกันระหว่าง “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐกับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ย่อมไม่มี “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติอยู่ในสมการ อีกทั้งยังอาจกลายเป็นเหตุแห่งความหมางเมินของความสัมพันธ์ “พี่น้อง 2 ป.” ที่นับวันใกล้เคียงกับคำว่า “คู่แข่ง” มากกว่า “พี่น้อง” ไปทุกขณะ
แม้ว่าท่าทีของ “นายใหญ่เพื่อไทย” จะไม่ได้เวลคัมต้อนรับ “ลุงป้อม” ในฐานะพันธมิตร อีกทั้งหลายคำพูดก็ไม่ได้ให้ราคาค่างวดกับ “พล.อ.ประวิตร” เท่าที่ควร อย่างรายการ CareTalk หนก่อน ก็เพิ่งทำท่าขับไสไม่ยอมรับว่ามีดีล “บ้านป่ารอยต่อฯ-บ้านจันทร์ส่งหล้า” อย่างที่สังคมโจษจัน
“...คิดว่าคงจับยากแล้ว ใครจะขอจับมือใคร มาคิกแอส (KickAss : เตะก้น) ผมดีกว่า ผมมองว่าพรรค พปชร.ได้เกิน 25 เสียง อยู่ที่ประมาณ 35 เสียง เพราะมีคนจะไหลออกอีก วันนี้พยายามดึง พยายามจูงใจอยู่ พยายามจูงใจรายเดือนเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ไปไหน” ทักษิณพูดถึงกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ
ประมาณท้าทายว่าหากดีลเพื่อไทย-พลังประชารัฐ มีจริง มาเตะก้นตัวเองได้เลย ซึ่งใครก็รู้ว่า คำพูดนักการเมือง ก่อน-หลังเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน สูตรจัดตั้งรัฐบาลที่โพนทะนาวันนี้ ก็ย่อมไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะแม้ถูกมองเป็น “เจ้าของพรรค” แต่ “ทักษิณ” ก็อยู่ในฐานะ “คนนอก” ที่สุดแล้วถึงยามตั้งรัฐบาล ก็ย่อมออกตัวว่า ไม่สามารถก้าวก่ายพรรคเพื่อไทยได้
ขณะที่ “คนใน” อย่าง “ลูกอิ๊ง” ที่วันนี้ได้ชื่อเป็น “นายหญิงเพื่อไทย” กลับ “แทงกั๊ก” ถึงโอกาสการร่วมทำงานกับพรรคพลังประชารัฐทุกครั้งที่ถูกจี้ถาม โดยโยนไปว่า ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบ จากผลการเลือกตั้ง
คำพูดของ “ทักษิณ” ที่ทิ่มแทง “พล.อ.ประวิตร” เนือง ๆ นั้นก็เพื่อย้ำจุดยืน “ฝ่ายซ้าย” ที่ต้องไม่ร่วมมือกับ “เผด็จการ” เพื่อไม่ให้เสียแนวร่วม-คะแนน ไปให้ “ฝ่ายซ้าย (กว่า)” อย่าง “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่ประกาศชชัดเจนว่า ไม่เอาทั้ง “ลุงตู่-ลุงป้อม” เท่านั้น
แต่ก็ไม่สามารถกลบ “เกมหลังฉาก” ที่มี “เบาะแส” ถึงความเอื้ออาอรทรต่อกันระหว่าง “ค่ายดูไบ” กับ “ค่ายลุงป้อม” ที่วันนี้ไม่มี “ลุงตู่” อยู่ ออกมาเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะ “ตัวละครลับ” ในระดับแนบแน่นกับทั้ง “ทักษิณ-ประวิตร” ไม่ว่าจะเป็น “กบฏผู้กอง” ที่เดินเกม “ล้มตู่ ชูป้อม” จนเกือบสำเร็จเมื่อครั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 2564 หรือล่าสุดการหลุดพันธนาการ “จีทูเจ๊ ภาค 2” ของ “พี่น้องชินวัตร” ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีชื่อ “ป.ที่ 4” อยู่เบื้องหลัง
อันเป็นเหตุให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ย่อมรู้สึกว่าถูก “ทักษิณ” คุกคามทั้งหน้าฉาก-หลังฉาก
อย่างไรก็ดีฉากการปะทะระหว่าง “ประยุทธ์-ทักษิณ” งวดนี้ดูจะถูกขโมยซีนไปพอสมควร เมื่อมีการเปิดฉาก “คู่กัด” คู่ใหม่ระหว่าง “นายใหญ่เพื่อไทย” กับอดีตคนคุ้นเคยอย่าง “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ยังรั้งตำแหน่งประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จกหารแห่งชาติ (นปช.) หรือ “คนเสื้อแดง” อยู่ แต่ความเคลื่อนไหวส่วนตัวของ “จตุพร” ไปในทางตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยโดยสิ้นเชิงนานแล้ว
โดย “จตุพร” ที่วันนี้สวมหมวกแกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กในชื่อรายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” มาอย่างต่อเนื่อง โดยเนื้อหาที่ผ่านมามุ่งถล่มไปที่ตัว “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นหลัก ก่อนจะหวัดมาจัดหนักใส่ “ระบอบทักษิณ” ในการจัดรายการ 2 วันติดกัน เมื่อวันที่ 23-24 ม.ค.66
เปิดหัวด้วยตอน “คนพูดเท็จ ไม่ทำบาป ย่อมไม่มี” เมื่อ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ระบุถึงคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว ในรัฐบาล “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ว่า เป็นความอำมหิตของฝ่ายเดียวกัน โดยสั่งให้ “เสี่ยฮุก”บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไปฟังคำตัดสินของศาล จนต้องรับโทษจองจำหลายสิบปี ขณะที่จำเลยร่วมที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลอย่าง “ยิ่งลักษณ์” กลับหลบหนีทางช่องทางธรรมชาติไปเสวยสุขในต่างประเทศกับ “พี่ทักษิณ” มาถึงปัจจุบัน
“ทั้ง 2 คน (บุญทรง-ภูมิ) เตรียมคอนโดไว้ที่กรุงพนมเปญ (กัมพูชา) และบางคนซื้อบ้านที่อังกฤษไว้แล้ว เตรียมหนีเต็มที่ แต่มีคนไปนัดหมายให้เขา เขาจึงไม่หนี เขาก็มาเล่าให้ผมฟัง ผมเข้าไปเจอบุญทรง (ที่เรือนจำ) ซึ่งพฤติกรรมอำมหิตจากฝ่ายเดียวกันได้หลอกให้ไปถูกจับขังคุก”
ความอำมหิตที่ “จตุพร” กล่าวถึง ก็คือเหตุการณ์เมื่อวันนัดฟังคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เมื่อ 25 ส.ค.2560 ที่ “อดีตนายกฯ ปู” ซึ่งถูกศาลฯ พิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่ไปฟังคำพิพากษา ขณะที่ “บุญทรง” ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้จำคุก 42 ปี ต่อมาภายหลังศาลฯ เพิ่มโทษอีก 6 ปี ส่วน “ภูมิ” ถูกพิพากษาจำคุก 36 ปี ในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
“เรื่องจำนำข้าว คุณมาการันตีได้อย่างไรว่าไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น แค่ลำพังเลขานุการ รมต.ของบุญทรง และคนอื่นๆ ในกระทรวงพาณิชย์ ก็เป็นลูกเขยเสี่ยเปี๋ยง (อภิชาติ จันทร์สกุลพร ผู้ต้องขังคดีทุจริตจำนำข้าวจีทูจีเก๊) ที่หนีคดี แล้วบ้านเอื้ออาทรก็เสี่ยเปี๋ยงนะ แล้วคดีจำนำข้าว ผู้ค้าส่งออก 5 เจ้า แล้วมาเอาเจ้าเดียว ไอ้ 4 เจ้านี้มันก็ (แจ้งข้อมูล) จับสิ” จตุพรรื้อฟื้น ปมการทุจริตขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ระยะหลังพรรคเพื่อไทยพยายามยืนกรานว่าไม่มีการทุจริต และทำให้เรื่องนี้เป็นเพียงการประโลมโลกของ “ฝ่ายสลิ่ม”
“จตุพร” ยังขยายไปต่อถึงความอำมหิตของ “ระบอบทักษิณ” ที่หลอกใช้ “คนเสื้อแดง” เป็นเครื่องมือและพร้อมจะร่วมมือกับทุกฝ่ายหากได้ประโยชน์ แม้แต่ “ประยุทธ์-ประวิตร” ด้วยว่า “ที่เราตั้งคำถามว่า เพื่อไทยก่อนเลือกตั้งไม่จับมือกับใคร ถ้าหลังเลือกตั้งจะจับมือกับ พล.อ.ประวิตร หรือเปล่า เพราะเราเข้าใจธรรมชาติของนักการเมือง ที่เป็นเช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ชัยชนะด้วยเสียงเสื้อแดง แล้วไปใช้บริการคุ้มกันภัยจาก พล.อ.ประยุทธ์ จนถูกตลบหลังยึดอำนาจ จนแพ้ราบคาบ”
แน่นอนว่าเมื่อดีตคนในระบอบทักษิณออกมาลากไส้เช่นนี้ แถมดีกรียังเป็นถึงระดับ “ตู่-จตุพร” ประธาน นปช. เสียด้วย ย่อมกระทบต่อคะแนนของพรรคเพื่อไทยไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงที่แตกเป็นเสี่ยง และเอาใจออกห่าง “ค่ายดูไบ” มาระยะหนึ่งแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นยัง “จี้ใจดำ” ไปถึงความปรารถนาสูงสุดของ “นายใหญ่เพื่อไทย” ที่ต้องการกลับบ้าน ด้วยว่า ไม่ได้ขัดขวาง “ทักษิณ” กลับบ้าน และรู้ว่า ต้องการกลับมาโดยไม่ต้องติดคุก หากไม่อยากติดคุก เมื่อเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ต้องประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) นิรโทษกรรม แล้วจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“คุณฟังผมดีๆ เพื่อไทยชนะอยู่แล้ว แต่ถ้าชนะแบบเดิม แล้วเป็นแบบเดิมก็จะได้แค่ 3 ปีแล้วเสีย 9 ปี ไม่ใช่เพื่อไทยเสีย แต่ประเทศ ประชาชนเสีย เหมือนกับเดินไปสะดุดก้อนหินก้อนเดิม ล้มหัวคะมำทุกครั้ง ผมจึงทักอย่าเดินไปสะดุดก้อนหินก้อนเดิมได้ไหม"
เป็นลูกต่อเนื่องหลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า “มาดามอุ๊งอิ๊ง” ที่สวมหมวก หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไปประกาศกร้าวขณะปราศรัยที่ จ.อุดรธานี ว่า “พรรคเพื่อไทยมาแล้ว มาให้พี่น้องทุกคนมีความหวัง มีความฝัน มีโอกาส ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ความฝันเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ฝันอย่างเดียว มันต้องเป็นจริง ฝากบอกคนที่ไม่มา เอาลุงกลับบ้านไป เพื่อไทยมาแล้ว เอาลุงกลับไปเลี้ยงหลาน ลุงโทนี่ก็น่าจะกลับมาเลี้ยงหลานบ้าง”
เปิดทางให้ “จตุพร” ต้องออกมากระตุกแรงๆ ว่า หากชนะเลือกตั้ง แต่ทำตัวเหมือนเดิมก็จะจบแบบเดิมอีก ถ้าไม่เปิดประตูเริ่มต้นร่างพระราขบัญญัติ (พ.ร.บ.) การนิรโทษกรรม “สุดซอย” แล้ว อีกทั้งโครงการจำนำข้าว ถ้าทำกันอย่างตรงไปตรงมา การยึดอำนาจก็ไม่คงเกิดขึ้น
กลายเป็นเสียงเตือนของอดีตคนกันเองที่แสลงหู “นายใหญ่ดูไบ” เป็นเหตุให้ใช้เวที CareTalk เปิดศึกอีกด้านกับ “จตุพร” ที่แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่ก็รู้กันดีว่า “ทักษิณ” หมายถึงใคร และเรื่องอะไร
“ผมโดนประจำ 16 ปีแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา ผมเฉยๆ ผมโดนมาเยอะ โดนอีกสักตัวสองตัว ก็ไม่เป็นไร ผมปลง ผมเฉย โดนมาเยอะแล้ว … ส่วนเรื่อง จตุพร นั้นก็อย่าไปฟังเลย ฟังไปก็เปลืองน้ำยาล้างหู”
ต่อเนื่องจากที่ “ทักษิณ” ระบุแบบทีเล่นทีจริงว่า นอกจากชื่อ “แม้ว-โทนี่” ตอนนี้ยังมีอีกชื่อคือ “ถูกเห่า” เพราะใครนึกอะไรได้ก็เห่าตัวเองไว้ก่อน
ซึ่ง “ตู่-จตุพร” ก็ออกมาตอบโต้ทันทีว่า “ผมกับนายกฯ ทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกันมาในช่วงอยู่ประเทศไทย และผ่านวิดีโอลิงก์ต่างกรรมต่างวาระกันมายาวนานที่สุด ถ้าการพูดของผมเป็นการเห่า บนเวทีนี้ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมหมา ท่านก็หมา ท่านอาจเป็นจ่าฝูง ถ้านับบรรดาศักดิ์ของหมู่หมาด้วยกัน แล้วเราพูดภาษาหมากันมานานแล้ว หมามันมีคุณสมบัติข้อหนึ่ง คือเรื่องความซื่อสัตย์ ท่านยังเป็นหมาไม่ได้เลย หรือเป็นหมาที่ใช้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น คือความซื่อสัตย์ระหว่างกัน ...”
ทำเอารายการ CareTalk x Care ClubHouse ที่ใช้การสื่อสารผ่ายแแอปพลิเคชัน “คลับเฮ้าส์” กลายเป็น “คลับเห่า” เพราะมักมีการเปรียบเทียบถึง “หมา” หรือ “สุนัข” อยู่บ่อยครั้ง ย้อนไปต้นปีก่อน “ทักษิณ” ก็เคยเปรียบ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งแปรพักตร์มาอยู่กับรัฐบาลประยุทธ์ ถึงหมาที่เคยเลี้ยงชื่อ “แม็กซ์” ที่ชอบมากัดเจ้าของตลอด
เอาจริงไฮไลท์สำคัญของรายการ CareTalk x Care ClubHouse เมื่อวันอังคารที่ 24 ม.ค.66 ของ “ทักษิณ” อยู่ตรงช่วงเปิดหัวที่เจ้าตัวพูดถึงเรื่องการการเดินทางกลับประเทศไทยว่า “ก่อนอื่น ต้องขออภัย ที่เคยพูดว่าจะกลับ พ.ศ.ที่แล้ว ผมพยายามอย่างยิ่ง ผมไปทำออกซิเจนให้เสร็จก่อนเวลา ก่อนสิ้นปี เพื่อจะกลับให้ทัน แต่สถานการณ์ ลูกเขามีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัย ก็เลยยังกลับไม่ได้ แต่ยังไงผมก็จะกลับ … ถ้าผมกลับไป ย้ำไว้นะ ไม่อาศัยนักการเมืองใดๆ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย อาศัยหัวใจตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลผม แล้วยังไงก็ย้ำอีกครั้งว่า น้องอิ๊งจะเป็นคนประกาศว่าผมจะกลับเมื่อไหร่ อย่างไร รับรองว่าไม่มีการออกกฎหมาย อย่าไปคิดว่าจะเกี้ยเซียะกับพลังประชารัฐ เพื่อจะขอกลับ ไม่มี”
จนต้องมีการรีรันคำถามอีกครั้งว่า เหตุใด “ทักษิณ” ถึงมั่นอกมั่นใจกับการได้กลับประเทศไทยมากนัก ซึ่งจริงแล้วก็ไม่ได้ผู้ใดห้ามการกลับมาของอดีตนายกฯ หนีคดี เพียงแต่มีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องเข้ารับโทษจำคุกในคดีความี่ตัดสินเป็นที่สุดไปแล้ว รวมถึงเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายในคดีที่เหลือ อันเป็นเงื่อนไขที่ “นายใหญ่เพื่อไทย” รับไม่ได้ และเคยประกาศกร้าวว่า จะไม่ยอมติดคุกเด็ดขาด เนื่องจากกระบวนการทางคดีไม่เป็นธรรม
ขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องลือเสียงเล่าอ้างกระฮึ่มในยุทธจักรการเมืองไทยว่า ขณะนี้ “ดีลทักษิณกลับบ้าน” คืบหน้าไปพอสมควร โดยมีข้อเสนอว่าให้ “นายห้างดูไบ” กลับมาแล้วมุ่งหน้าเข้าเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลทันที แต่จะถูกจำกัดอิสรภาพไม่นาน หรือพูดกันไปถึงว่าติดคุกไม่เกินวัน แล้วค่อยหาทางขอประกันตัว หรือทำเรื่องขออกมารักษาตัวที่ รพ. หรือยอมติดคุกช่วงเวลาสั้น ๆ และทำเรื่องในการยื่นขอประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์
ดีลที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคเพื่อไทยผงาดกลับมาเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ จนหลายคนที่ใกล้ชิดออกปากเตือนว่า ไม่ควรหลงเชื่อดีลดังกล่าว เพราะหากมีรายการ “สับขาหลอก” ขึ้นมา ก็เท่ากับต้องใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายในกรงขัง แทนที่จะได้เลี้ยงหลานอยู่ข้างนอก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายการเมืองก็ประเมินว่า แคมเปญแลนด์สไลด์ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลนั้นจะเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ จึงต้องหา “จุดเปลี่ยน” มากระชากแต้มให้ได้ และเชื่อว่า หาก “ทักษิณ” เลือกที่จะกลับรับโทษจริง ก็จะส่งผลถึงคะแนนเพื่อไทยในทางที่ดีขึ้นและอาจเข้าเป้า “แลนด์สไลด์” ไถลไปถึง 400 เสียงทั่วประเทศเลยทีเดียว โดยที่ยังไม่พูดถึงแนวทางนิรโทษกรรมให้เสียเรื่อง
และเมื่อพรรคเพื่อไทยก็การันตีความปลอดภัยให้ได้อยู่แล้ว อยู่ที่ “ทักษิณ” จะกล้าเสี่ยงหรือไม่ เพราะถ้าเอาจริงก็ไม่แน่ชัดว่า กระแสจะเกื้อหนุน หรือตีกลับ
แต่อย่างน้อยก็พอกลบปม “อำมหิต” เข้าไปอยู่ในเรือนจำกันลูกน้องเก่า “บุญทรง-ภูมิ” และอีกหลายๆ คน รวมไปถึงบรรดาผู้ต้องโทษคดีการเมืองที่ผ่านๆ มาด้วย
แต่ว่าก็ว่าเถอะ ข่าวลักษณะนี้ออกมาทีไร แทนที่จะเกิดผลดีกับ “ทักษิณ” กลับไปส่งผลบวกกับ “ลุงตู่” เสียมากว่า เพราะเป็นแรงกระตุ้นให้คนที่ “ยี้ลุง” จำใจกัดฟันเลือก “ลุงตู่” กลับเข้ามาสู่วังวนของอำนาจอีกครั้ง.