ที่เวียดนามไม่มีคำสั่งจาก “ผู้ใหญ่” ของบ้านเมืองในการ “กำชับ” ให้หน่วยงานตำรวจหรืออัยการ ดำเนินตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อคดีโจ๋งครึ่มต่างๆ ที่ประชาชนจับตาเขม็งว่า รัฐจะเอาจริงกับ “คนชั่ว” ที่อยู่ในระบบราชการหรือในกระบวนการยุติธรรม ที่มีทั้งอำนาจสูงมาก รวมทั้งนักธุรกิจคนสำคัญๆ ที่ให้การสนับสนุนต่อ “ผู้ใหญ่” ในฐานเสียงทางการเงิน เพื่อการชนะเลือกตั้งที่รออยู่ข้างหน้า รวมทั้งที่ได้ชัยชนะการเลือกตั้งในครั้งที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ และรวมทั้งชัยชนะในการลงคะแนนในสภาฯ ด้วย
แค่ “กำชับ” มันก็แค่ลมปากหรือคำพูดลมๆ แล้งๆ ที่ไม่คลอดออกมาเป็นการกระทำอย่างจริงจัง ที่จะนำไปสู่การกวาดล้างการโกงกินรับสินบนจากธุรกิจผิดกฎหมายที่ทำอย่างโจ๋งครึ่มที่ประชาชนได้แต่เบือนหน้าหนีด้วยความสิ้นหวังสะอิดสะเอียนต่อการ “กำชับ” ของผู้ใหญ่ที่ท่องเป็นสูตรโกหกประชาชนทุกวี่ทุกวันขณะนี้
มาดูวิธีการปราบการโกงกินสวาปามบ้านเมืองที่เวียดนาม ซึ่งดูท่าทีแล้วช่างละม้ายกับวิธีการที่เลขาธิการพรรคสี จิ้นผิง ได้ทำการกวาดล้างข้าราชการชั่วระดับบิ๊กๆ รวมทั้งสมาชิกพรรคระดับหัวแม่มือ จนมีการประหารชีวิตเหล่า “พยัคฆา” ที่งาบเอาผลประโยชน์ของชาติ และประชาชนไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว จากโครงการยักษ์ที่จีนเปิดให้มีการลงทุนและร่วมทุนอย่างเช่นที่เราเห็น สมาชิกพรรคคนสำคัญที่ดูแลด้านพลังงานของจีน ต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งคนระดับป๋อ ซีไหล ที่เป็นผู้ว่านครฉงชิ่งที่มีการเติบโตสูงสุดในจีน และเขาเป็นถึง “เจ้าชายน้อย” ทายาทของอดีตผู้นำพรรคสมัยปฏิวัติพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินกับท่านประธานเหมา ขณะนี้ก็ต้องถูกควบคุมตัวคล้ายๆ ติดคุก แต่เป็นลักษณะเป็นคุกพิเศษที่มีการดูแลดีหน่อย อาจจากความดีงามที่บิดาของป๋อ ซีไหล ได้ทำให้กับแผ่นดินจีนก็เป็นได้ แต่โทษจากการโกงบ้านกินเมือง ก็ต้องรับใช้ตามโทษานุโทษแน่นอน...คือท่านเลขาสี จะไม่แค่ปราบคอร์รัปชันแค่ตัวแมลงหวี่แมลงวันตัวจิ๊บๆ แต่ต้องโค่นถึงรากถึงโคนของการโกงกินบ้านเมืองเป็นเยี่ยงอย่างให้ข้าราชการ+นักธุรกิจที่จ่ายใต้โต๊ะต้องหลาบจำนั่นเอง
เมื่อปลายปีที่แล้ว มีข่าวออกมาถึงการสอบสวนคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เวียดนาม โดยเป็นการเดินหน้าแบบปะ-ฉะ-ดะ ของท่านเลขาธิการพรรคเหงียน ฟู้ จ่อง
การสอบสวนได้ขยายวงกว้างถึงกับมีการรวบตัวรมต. 3 คนมาสอบ รวมทั้งข้าราชการและนักธุรกิจกลุ่มใหญ่ถึง 102 คนทีเดียว
มีอยู่ 2 เรื่องคือ การจัดเครื่องบินของรัฐบาล เพื่อไปรับคนเวียดนามที่ต้องการบินกลับประเทศ เพราะกำลังมีการประกาศล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นช่วงปี 2563 ที่กำลังมีโควิดระบาดหนักในยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งคนเวียดนามเหล่านี้เป็นนักธุรกิจที่ไปหารายได้เข้าประเทศ และเมื่อหาไฟลต์กลับบ้านไม่ได้ (เพราะมีเที่ยวบินน้อยมากในช่วงระบาดหนัก) ก็ต้องพึ่งพาทางรัฐบาลในการจัดหาเที่ยวบินพิเศษนี้
ความจริงเริ่มออกมาเปิดเผยจนนำไปสู่การสอบสวนคือ มีการเรียกรับเงินชนิดสูงมากจากคนเวียดนามที่ต้องการกลับบ้าน จนถึงน้ำตาตก แต่ก็ต้องจ่าย (ใต้โต๊ะ) ไม่งั้นจะไม่สามารถกลับมาบ้านได้ อาจเป็นหลายเดือนทีเดียว
เงินจ่ายใต้โต๊ะนี้ จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของเวียดนาม หรือบริษัทที่ชนะสัมปทานให้บริการการบิน ซึ่งงานนั้นมีการส่งส่วยไปถึงตัวรัฐมนตรีต่างประเทศ รวมทั้งอาจถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกนี้
ถ้าใครไม่จ่ายใต้โต๊ะ จะตกไฟลต์ด้วยซ้ำ...โอ้อนิจจา!!
รมต.ต่างประเทศขณะนั้นเป็นผู้ที่ติดต่อกับทั้งโลกชื่อ ฟาม บินห์ มินห์ ซึ่งต่อมาปีที่แล้วได้รับแต่งตั้งจากปธน.คนใหม่ เหงียน ซวน ฟุก ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี
อีกเรื่องหนึ่งคือ ชุดตรวจโควิดที่รัฐบาลเวียดนามได้สั่งซื้อเพื่อให้บริการตรวจกับประชาชนในปี 63 และ 64 ปรากฏว่า ได้มีการสอบว่า มีการโกง (แบบหน้ากากอนามัยของไทยที่ราคาพุ่งกระฉูดในปี 63 และหายไปจากตลาด) ทั้งจำนวนที่รัฐบาลสั่งซื้อ และราคาที่รัฐไปจัดหามาเรียกว่า รัฐต้องจ่ายด้วยราคาแพงกว่าที่เป็นจริง และในปริมาณที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นโดยกระทรวงสาธารณสุขถูกแหกตานั่นเอง!
เสียงลือหึ่งในเวียดนามว่า รองนายกฯ (หมาดๆ) 2 คน ซึ่งคนหนึ่งเคยเป็นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ และอีกคนเคยเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข มีส่วนรู้เห็นถึงการโกงกินในทั้งสองกระทรวงนี้ หรือไม่ก็ละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนปล่อยให้มีการโกงกินครั้งใหญ่ด้วย
ท่านเลขาฯ ฟู้ จ่อง ได้ประกาศถึงการปราบการโกงบ้านกินเมืองว่า จะต้องลงโทษข้าราชการผู้ใหญ่ที่ (1) ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ จะด้วย- “สมรู้ร่วมคิดและได้ผลประโยชน์โดยตรง/โดยอ้อมก็ตาม” หรือด้วยความงี่เง่าไม่เอาไหนจนถูกหลอกตุ๋นจนเปื่อย ก็ต้องถือว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และต้องปลดออกหรือถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชนด้วย
(2) เหล่าข้าราชการผู้ใหญ่เหล่านี้ จะต้องรับผิดชอบในการใช้อำนาจของตนในการคัดเลือกแต่งตั้งลูกน้อง “ชั่วๆ” เข้ามารับราชการ ถือเป็นการไร้ความสามารถที่เปิดทางให้คนชั่วเข้ามารับผิดชอบงานตำแหน่งสูงๆ ที่มีอำนาจ และโกงบ้านกินเมือง
พอวันที่ 5 มกราคม ต้นปีนี้เอง รองนายกฯ 2 คนที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข ก็ถูกพรรคลงคะแนนปลดออกจากกรรมการกรมการเมืองทั้งสองคน และขณะนี้กำลังถูกดำเนินคดีฉ้อโกงในความรับผิดชอบคือ
1. ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้ลูกน้องฉ้อโกงประชาชน
2. การแต่งตั้งลูกน้องเลวมารับราชการ ก็ถือเป็นความบกพร่องอย่างยิ่ง!!
และข้อหาทั้งสองข้างต้นนี้ ก็พุ่งตรงไปยังปธน.เหงียน ซวน ฟุกที่เพิ่งมารับงานยังไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำ ซึ่งมีการประชุมคณะกรรมการกรมการเมือง และมีมติให้ปลดปธน.ออกด้วย ทำให้ปธน. (จำใจ) ต้องเขียนจดหมายลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นปธน.คนแรกของเวียดนามที่ (ถูกปลด) ออกจากตำแหน่งก่อนกำหนด ซึ่งอาจผ่อนปรนจากการดำเนินคดีฉ้อราษฎร์ได้เล็กน้อย
ช่างต่างกับวิธีการเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ของการปราบคอร์รัปชันที่ไทยเหมือนอยู่กันคนละโลกทีเดียว!