xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พ. ป. ช. ร. : พลังป้อมชัวร์ร่วม (รัฐบาล) หุ้น “ลุงตู่” ไม่เปรี้ยงปร้างดังคาด หวยล็อก “ลุงป้อม” มาแรงแซงทางโค้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์- “ขอให้ประสบความสำเร็จ” คำอวยพรที่เจือไปด้วยความเย็นชาของ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้า และว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ
เป็นคำอวยพรไปถึง “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ยอม “เปิดหน้า” เข้าสู่ถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถือเป็นการสมัครสมาชิกพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิตของ “บิ๊กตู่” ด้วย โดยมีการจัดงาน “แกรนด์โอเพนนิ่ง” อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ตามฤกษ์ “ก้าวแรกของปี” ไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

อย่างไรก็ดีต้องยอมรับการ “เดบิวต์” เปิดตัวในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติครั้งแรกของ “ลุงตู่” แม้จะมีความพยายามจัดงานอยย่างยิ่งใหญ่ ระดม “แฟนคลับ-แฟนเฉพาะกิจ” มาร่วมงานภายในฮอลล์ 1-2 ของศูนย์ฯสิริกิติ์ได้มากกว่าหมื่นชีวิต แต่ในแง่ “กระแส” ต้องถือว่า “ไม่ปัง” อย่างที่คาด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว “บิ๊กตู่” ที่เป็นพระเอกของงานกลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่ว่า “คำปราศรัย” ที่เข้าใจว่า “หลุดสคริปต์” จน “คำสำคัญ” ที่สื่อสารออกมาเข้าขั้น “สะเปะสะปะ” ไม่มีสาระให้จดจำถึงขั้นตราตรึงใจ หนักกว่านั้น “ภาษากาย” ที่ออกอาการประหม่า วนเวียนอยู่กับการตะโกนชื่อพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” สลับกับการหันรีหันขวางคว้ามือคนรอบข้างชู โดยเฉพาะ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค แก้เขินเป็นระยะๆ
 
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหันไปส่อง “วอลล์เปเปอร์” บรรดานักการเมือง-นักเลือกตั้ง ที่รายล้อม “พล.อ.ประยุทธ์” ขณะพูดเปิดใจเป็นเวลากว่า 30 นาที ที่อวยกันว่าเป็น “บิ๊กเนม” แต่ในทางการเมืองล้วนแล้วแต่ “ของมีตำหนิ-ของชำรุด” หลายคนเป็น “ส.ต.” หรือ “ส.ส.สอบตก” ในการเลือกตั้งหนก่อน
 
อีกหลายคนที่ขนานนามว่าเป็น “บ้านใหญ่” และทีมงานที่วางตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาพลักษณ์ก็ออกไปทางหม่นๆ ไม่ขาว ไม่ใส ที่พอเห็นหน้าคร่าตา ต้องฮัมเพลง “ทรงอย่างแบด” เพลงชาติฟันน้ำนม แทนเพลง “ศรัทธา” ที่ “นายกฯ ตู่” นำร้องในวันนั้นเสียอีก
 
ไล่เรียงรายชื่อให้เห็นภาพ ก็มีอาทิ “ดร.สามสี” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี, “มังกรน้ำเค็ม” สุชาติ ชมกลิ่น, “เจ้าพ่อเตาปูน” ชัชวาลล์ คงอุดม, “แรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์, “บ้านใหญ่พัทลุง” วิสุทธิ์ ธรรมเพชร, “บ้านใหญ่สุราษฎร์ฯ” ชุมพล กาญจนะ, “บ้านใหญ่เมืองเพชร” ของตระกูลอังกินันท์ และ “บ้านใหญ่แปดริ้ว” กิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ เป็นต้น

ที่น่าเจ็บใจก็งาน “เดบิวต์ลุงตู่” ที่อุตส่าห์ตีปิ๊บกันมาอย่างดี กลับโดน “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” อย่างข่าว “อดีตรองนายกฯ เป็นชู้เมียชาวบ้าน” มาเบียดจนตก “หัวไม้” หน้าหนังสือพิมพ์

ซ้ำร้ายยังโดน “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตเจ้าพ่อสถานบริการชื่อดัง ที่เกาะติดเรื่องทุนจีนสีเทาบุกมาขโมยซีนซึ่งหน้า โดยมี “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ มือทำงานของ “บิ๊กตู่” เองที่ราวกับรู้เห็นเป็นใจนำพา “เฮียชู” เข้าไปหา “นายตู่” ถึงห้องพักวีไอพี จนประเด็นการเปิดตัวทำงานการเมืองเบาไปถนัดตา
เทียบไม่ได้กับครั้งที่ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย เปิดตัว “คุณหนูอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของ “นายห้างโทนี่” ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาทำงานการเมือง เมื่อปีกลาย ครั้งนั้นต้องยอมรับว่า ทั้งเปรี้ยงทั้งปัง “คำสำคัญ” ในการสื่อสารที่ออกจากปากนางเอกอย่าง “อุ๊งอิ๊ง” ออกมาครบถ้วน

หากวัดกันที่ก้าวแรกของว่าที่แคนดิเดตนายกฯ 2 ขั้ว ก็ต้องบอกว่า ความฝันของ “ลุงตู่” ในการยึดสัมปทานเก้าอี้นายกฯ สมัย 3 เข้าขั้นริบหรี่เลยทีเดียว

ยิ่งเมื่อลงรายละเอียดในส่วนของตัวผู้สมัคร ส.ส. ก็ยังไม่มีวี่แววว่า จะได้ตามเป้าหมายของ “หัวหน้าตุ๋ย” ที่มั่นใจว่าได้ ส.ส. เกิน 25 ที่นั่ง เพียงพอจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯในที่ประชุมร่วมรัฐสภา หรือ 100 ที่นั่ง ตามที่ “เลขาฯ ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค โพนทะนาไว้

แม้ว่าวันนี้ต้องยกสถานะให้ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ตาม

แต่การล็อกเป้าเจาะ “ด้ามขวาน” พื้นที่ภาคใต้ ที่กลายเป็นจุดแย่งชิงของฝ่ายเดียวกันที่มี “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเจ้าถิ่น ทั้งที่มีที่นั่ง ส.ส.เขตให้ช่วงชิงเพียงแค่ 58 ที่นั่งเท่านั้น จนทำให้ “คน ปชป.” ดาหน้าออกมากระทุ้งใส่ “ค่ายลุงตู่” บ่อยครั้งว่า คิดแต่จะตกปลาในบ่อเพื่อน ก็กลายเป็น “ข้อจำกัด” ในการทำพรรคให้ใหญ่ในระดับเดียวกับที่ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ เคยทำได้

ว่ากันว่า การที่ “บิ๊กตู่” เปิดหน้าเล่นการเมืองครั้งนี้ ไม่ได้สะเทือนไปถึงฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะรายของ พรรคเพื่อไทย ที่ยิ่งมั่นใจได้ว่า เป้าหมายแลนด์สไลด์พลิกขั้วอำนาจได้จัดตั้งรัฐบาลไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะมูฟเมนต์ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ได้ไปกล้ำกลายถึงพื้นที่เป้าหมาย ที่ภาคเหนือ-อีสาน แม้แต่น้อย เพียงแค่ระราน พรรคประชาธิปัตย์ ที่ว่าไปข้างต้นเท่านั้น

จนเดาไม่ยากว่า ข่าวปล่อยก่อนหน้านี้ และต่อไปเบื้องหน้าว่า “นายกฯ ตู่” อาจจะเปลี่ยนใจไปต่อ ขอลงจากหลังเสือ นั้น ออกมาจากขั้วไหน
 
จริงอยู่โมเดลในการทำพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ยังเดินไปในแนวเดียวพรรคพลังประชารัฐเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ในการรวบรวม “นักเลือกตั้ง” ระดับบ้านใหญ่-บิ๊กเนม มาร่วมงาน ไม่ว่าจะการทาบทามด้วยไมตรีจิต หรือการกรรโชกด้วย “ชนัก” ที่ปักหลังหลายคนอยู่
 
แต่ต้องไม่ลืมว่าวันนั้น “ค่ายพลังประชารัฐ” มี “ทีมสี่กุมาร” ที่นำโดย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นที่ปรึกษาทางใจ ส่ง อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์-สุวิทย์ เมษินทรีย์-กอบศักดิ์ ภูตระกูล ออกหน้า ฉาบเคลือบ “คนสีเทา” ไว้
ทำให้พรรคพลังประชารัฐในสมัยตั้งไข่ ดูดีกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ชั่วโมงนี้อยู่หลายเบอร์เลยทีเดียว
 
เพราะแม้ พรรครวมไทยสร้างชาติ อาจหวังใช้ภาพ “คนดี” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ฉาบไว้เช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องยอมรับอีกว่า กว่า 8 ปีที่ผ่านมาภาพลักษณ์ดังกล่าวของ “พล.อ.ประยุทธ์” เสื่อมลงไปไม่น้อย ดังที่สื่อมวลชนประเคนฉายา “แปดเปื้อน” ให้เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา อีกทั้งกระแสความนิยมส่วนตัวที่เคยให้พรรคพลังประชารัฐโหนจนทะลุเป้า 120 ที่นั่ง ก็ไม่ได้ดีเหมือนเก่า
 
ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งที่ลงท้ายด้วย บัตร 2 ใบแยก บัตรพรรค บัตร ส.ส. ขยายเป็น 400 เขต หดบัญชีรายชื่อเหลือ 100 ที่นั่ง พ่วงด้วย “สูตรหารร้อย” ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นกติกาที่ “ค่ายดูไบ” เคยโชว์ฟอร์มหรูฟาดมาแล้วค่อนประเทศ ก็ยิ่งทำให้ทั้ง “ค่ายลุงตู่-ค่ายลุงป้อม” เสียเปรียบเต็มประตู

ยิ่งในวันที่ “สองศรีพี่น้อง” ตัดสินใจ “แยกกันเดิน” ด้วยกติกาไม่เอื้อกับสูตร “แตกแบงก์” เหมือนอย่างกติกาเดิมเมื่อการเลือกตั้งปี 2562

เรื่องนี้ สัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ที่อาจจะนับเป็น “ส.ส.นกแล” จากการเลือกตั้งหนก่อน แต่ก็อ่านเกมไว้อย่างคมกริบว่า “ปรากฏการณ์แยกกันทําพรรคในลักษณะนี้ไม่น่าเกิดขึ้น เป็นการคิดสั้น แต่ผู้ใหญ่คงมองรอบด้านมากกว่า อยู่ที่สูงคงมองเห็นอะไรมากกว่า และคงเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี แต่ประวัติศาสตร์มีเห็นชัดว่า ยุคสมัยของนายพลทั้งหลายมักจบไม่ค่อยสวยเท่าไร มีเพียงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลงจากตำแหน่งอย่างสง่างามและเป็นที่จดจำ”

“สัณหพจน์” ไม่เพียงแต่ฟาดไปตรงๆว่า “คิดสั้น” ยังกระแทกไปเต็มหน้า “บิ๊กตู่” ด้วยว่า “ถ้ารู้จักพอก็จะเป็นวีรบุรุษ แต่ถ้าไม่รู้จักพอ ก็จบไม่สวยสักราย”

ถือเป็นคำทำนายของ ส.ส.ในขั้วรัฐบาลเอง ที่สะท้อนว่าเส้นทางของ “พล.อ.ประยุทธ์” สู่เก้าอี้นายกฯ สมัย 3 ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดแน่นอน

เพราะโจทย์สำคัญของ “ค่ายลุงตู่” คือต้องให้ได้จำนวน ส.ส.สมน้ำสมเนื้อ เพราะคู่เทียบในฟากเดียวกัน ไม่ได้มีแต่ “ค่ายลุงป้อม” เท่านั้น แต่ยังมี “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ฐานเสียงแน่น สรรพกำลังพรั่งพร้อม จนวันนี้ปรับเป้าจากเดิม 80 ที่นั่ง ทะยานขึ้นไปที่ 120 ที่นั่ง






ส่วนพรรคประชาธิปัตย์อาจจะต้องละไว้สำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า ที่คง “ประคองตัว” ได้ ส.ส.พอที่จะเป็น “ตัวแปร” ในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ยังไม่เห้น “ปัจจัยบวก” ที่จะพวดพราดขึ้นมาผู้ท้าชิงบัลลังค์นายกฯ

จนน่าเชื่อว่าหากวัดกันตามหน้าเสื่อในขั้วรัฐบาลปัจจุบัน “ค่ายเซราะกราว” ดูดีกว่า “ค่ายสองลุง” และ “ค่ายสะตอ” อยู่หลายช่วงตัว

ความได้เปรียบเดียวของ “ค่ายสองลุง” ในศึกชิงอำนาจเที่ยวหน้า คงไม่พ้น “พรรค ส.ว.” ที่มี 250 เสียงรอร่วมโหวตเลือกนายกฯในที่ประชุมรัฐสภา ตามอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 60

อนุมานตามบทบาทที่ผ่านมาของ “สภาสูง” ที่ถูกเย้ยหยันว่าเป็น “ส.ว.ตามสั่ง” ตัวเลือกที่จะขานชื่อสนับสนุนให้เป็นนายกฯ คนที่ 30 หากยังไม่ดูผลเลือกตั้ง ก็คงไม่พ้น “พล.อ.ประยุทธ์” หรือ “พล.อ.ประวิตร” เท่านั้น

ดังนั้นการที่ “น้องตู่” เลือกไปสร้างดาวดวงใหม่ที่ “รวมไทยสร้างชาติ” ก็เท่ากับผลักให้ “พี่ป้อม” ที่ยังเป็น “เจ้าพ่อพลังประชารัฐ” ไปเป็นคู่แข่งกันโดยปริยาย

แม้ว่าการกำเนิดเกิดขึ้นของ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะกระทบต่อ “พรรคพลังประชารัฐ” ในระดับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะการแย่งชิง “นักเลือกตั้ง” ระหว่างกัน แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียด คงพูดได้ว่า “ค่ายลุงป้อม” ยังไปได้อยู่

ถึงจะเสียไพร่พลไปให้ “ค่ายลุงตู่” บ้าง แต่ระดับ “ดาวฤกษ์” ที่เป็นรัฐมนตรีลูกน้องของ “นายกฯ ประยุทธ์” หลายราย ทั้ง “เสี่ยมะขามหวาน” สันติ พร้อมพัฒน์, “บ้านใหญ่สุโขทัย” สมศักดิ์ เทพสุทิน, “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, “โอ๋ เมืองสิงห์” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, “บ้านใหญ่สระแก้ว” ตรีนุช เทียนทอง, “บ้านใหญ่โคราช” วิรัช รัตนเศรษฐ หรือ “บ้านใหญ่ปากน้ำ” ของ “เสี่ยเอ๋” ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เป็นอาทิ รวมไปถึง “ดาวฤกษ์การเมือง” ที่อาจจะไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาล แต่ก็ยังเหนียวแน่นกับ “นายป้อม” อยู่ เช่น “ก๊วนชากังราว” ของ “เสี่ยต๋อง”วราเทพ รัตนากร หรือ “ซุ้มผู้กอง” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เตรียมเฮโลกลับมาจากพรรคเศรษฐกิจไทย มาเสริมกำลังให้ “นายป้อม” อีกครั้ง

หรือราย “เสี่ยต้น” สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี และกรรมการบริหารพรรค หนึ่งในกลุ่มสามมิตร ที่ชื่อไปโผล่เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอื่นมาระยะหนึ่ง ยังเจอ “สัญญาใจ” ที่ปฏิเสธไม่ได้ เปลี่ยนใจกลับมาช่วยงาน “ลุงป้อม” เหมือนเดิม

พูดได้ว่า รายชื่อที่ไล่เรียงไปล้วนแล้วแต่เป็น “ของจริง” แทบจะการันตีที่นั่ง ส.ส.ในพื้นที่ของตัวเองได้ตั้งแต่ยังไม่เปิดคูหาเลือกตั้งด้วยซ้ำ

แล้วยังดึง “ตัวตึง” มาได้เพิ่มเติมด้วย ตั้งแต่ “เฮียมิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่, อันวาร์ สาและ อดีต ส.ส.ปัตตานี, นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง หรือ “ซ้อใหญ่เมืองกาญจน์” ศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เคยมีข่าวกับหลายพรรค ยังมาซบ “ลุงป้อม” แบบสะท้านวงการ แล้วยังมีข่าวว่า ดูด “ส.ส.ค่ายดูไบ” มาได้อีกจำนวนหนึ่งด้วย

เป็นการประเมินทั้งที่สังคมภายนอก “บูลลี่” กันหนักว่า “ลุงป้อม” ไม่มีจุดขาย กระแสความนิยมส่วนตัวแทบจะติดลบ แบรนด์พรรคพลังประชารัฐเน่าสนิท กลับมีแรงดึงดูด “บ้านใหญ่-ดาวฤกษ์” ไว้ได้อย่างชะงัก แม้จะมีการค่อนแคะว่า หลายคนยังมีคดีความเป็นชนักล่ามไว้ก็ตาม

คำถามมีว่า เหตุใดนักการเมืองมีชื่อเหล่านี้ถือไม่ได้หวั่นไหวกับ “อุปทานหมู่” ในการต้องติดสอยห้อยตาม “นายกฯ ตู่” ไปที่บ้านหลังใหม่

ตอบผิวเผินคงเป็นโอกาสได้รับชัยชนะในสนามเลือกตั้ง ที่แต่มีก๊วน-มุ้ง ที่ว่าไปล้วนแล้วแต่มีแสงในตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ค่ายไหน หากไม่ประมาทเกินไป ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงในการเข้าป้ายได้ที่นั่ง ส.ส.

คะเนด้วยสายตา ประเมินขั้นต่ำ การที่ “ค่ายลุงป้อม” จะได้ ส.ส. 30-40 ที่นั่งไม่ใช่เรื่องยาก และอาจจะง่ายกว่า “ค่ายลุงตู่” ได้ 25 ที่นั่งด้วยซ้ำ

หากพิเคราะห์ลงลึก ตามพฤติกรรม “นักเลือกตั้ง” ที่ไม่เพียงแต่หวังชนะเลือกตั้งเท่านั้น เพราะสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือการได้ “ร่วมรัฐบาล” อันเป็นเครื่องการันตีความมั่นคง ไม่ต้อง “อดยากปากแห้ง” ตลอดอายุรัฐบาล

ต้องไม่ลืมว่า บรรดา “บิ๊กเนม” ที่ยังยืนหยัดอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ ล้วนแล้วแต่เป็นพวก “นกรู้” ไวต่อสถานการณ์การเมืองเหนือกว่าปุถุชนคนทั่วไป

การที่นักการเมืองอย่าง “สันติ-สมศักดิ์-สุริยะ-วิรัช-วราเทพ” ยังขออยู่ช่วยงาน “นายป้อม” ต่อ ทั้งที่มีทางเลือกไปที่พรรคอื่น ก็เป็นเครื่องชี้ได้ว่า ยี่ห้ออ “ลุงป้อม” การันตีในการได้ร่วมเป็นรัฐบาล

ในสถานการณ์ที่ใครต่างก็รู้ว่า “เพื่อไทย” แบเบอร์ได้ที่นั่ง ส.ส.เป็นที่ 1 อย่างแน่นอน

ด้วยตัวเลข ส.ส.ยืนพื้นที่ 30-40 ที่นั่งของ “พลังประชารัฐ” บวกกับพรรค ส.ว. ไม่ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เชื่อว่า “ค่ายลุงป้อม” จะเป็นพรรคแรกที่จะถูกดึงให้เข้าร่วมรัฐบาล

หรือหนักไปกว่านั้น หาก พรรคพลังประชารัฐ พรวดพราดได้ ส.ส.มาเป็นกอบเป็นกำ 100 ที่นั่งบวกลบ เชื่อแน่ว่า “พล.อ.ประวิตร” กับเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ก็ไม่ใช่อื่นไกล เป็นการลบปมฉายา “ลองนายกฯ” ได้เป็นนายกฯตัวจริง ดังที่ “คนรอบข้าง” พยายามเดินเกมมาให้หลายครั้ง

ไม่เท่านั้นเสียงลือเสียงเล่าหนาหูพอสมควรกับดีล “นายกฯ คนละครึ่ง” ของ “บิ๊กป้อม” ไม่ว่ากับทาง “น้องตู่” หรือ “หลานอิ๊ง” ที่มีการพูดคุยกันไว้เบื้องต้น เหลือเพียงรอผลเลือกตั้ง เอาที่นั่ง ส.ส.มาต่อรองกันอีกครั้ง

ที่ว่าไปคือเป็นความได้เปรียบของ “พี่ป้อม” ในการเข้าได้กับทุกขั้ว ที่เหนือกว่า “น้องตู่” ที่มีโจทย์ใหญ่คือ ต้องชนะเลือกตั้ง หรือได้จำนวน ส.ส.สมน้ำสมเนื้อ ถึงจะมีโอกาสได้เป็นนายกฯ หรือได้ร่วมรัฐบาล เพราะยี่ห้อ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ไม่สามารถจับได้กับทุกขั้ว

ต่างจากยี่ห้อ “พล.อ.ประวิตร” ที่แม้ฉากหน้าอาจไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่กับพรรคการเมืองล้วนแล้วแต่ซูฮกให้กับบารมีของ “ลุงป้อม” แม้แต่กับ “ค่ายดูไบ” ที่มีข่าวเนืองๆว่า “ทีมงานเบื้องหลัง” โดย “น้อง ป.ที่ 4” ก็เดินเกม “ผูกเสี่ยว” กันไว้ในหลายวาระ

แม้ล่าสุด “ทักษิณ” จะออกมาเหยาะเย้ยว่า พรรคพลังประชารัฐคงอยู่ลำบาก ถ้ามาขอจับมือร่วมรัฐบาลด้วย จะเตะตูดไว้กลับไป

แต่ทางการเมืองก็รู้ดีคำพูดก่อนเลือกตั้ง กับหลังเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม มีข้ออ้างให้บิดพลิ้วได้เสมอ การที่ “นายใหญ่เพื่อไทย” ทำทีไม่ยอมรับ “ค่ายลุงป้อม” ก็เป็นแค่มุก “แก้เกี้ยว” ไม่ให้แฟนคลับเข้าใจว่า ตกลงเกี้ยเซียะกันแล้ว เพราะหากปล่อยให้เข้าใจเช่นนั้น ก็อาจเสียคะแนนไปให้กับ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่ชัดเจนว่า ไม่เอาทั้ง “ลุงตู่-ลุงป้อม”

ล่าสุด ทีมงาน “น้อง ป.ที่ 4” ก็ยังได้มือดีอย่าง “เสี่ย ป.” อดีตขาใหญ่บนตึกไทยคู่ฟ้า เจ้าของสมญา “แก๊งออฟโฟร์” ที่ระยะหลัง “น้อง ป.ที่ 4” กับ “เสี่ย ป.” แนบแน่นกันจากผลงานใน “ตลาดทุน” จนแต่ละคนตุน “เสบียง” ไว้หลายกระตั๊ก เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสานฝันให้ “พี่ใหญ่ป้อม” ถึงฝั่งเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ด้วย และแน่นอนว่า ทีมงานทั้ง 2 คงจะมีความสุขเช่นเคยกับการที่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

ส่วนจะร่วมรัฐบาลกับพรรคไหนนั้น ไม่ใช่สาระสำคัญ

ตามรูปการณ์ที่ “หุ้นลุงตู่” อาจดูดีมีสตอรี่ แต่กลับไม่วิ่งเปรี้ยงปร้างอย่างที่คาด จนต้องลุ้นหนักว่าจะมี “ทีเด็ด” มากู้สถานการณ์ทันหรือเปล่า

ผิดกลับ “หวยลุงป้อม” แทบจะเป็น “หวยล็อก” ได้ร่วมรัฐบาลแน่นอน เพราะแม้วันนี้ยังนึกไม่ออกว่า “พรรคพลังประชารัฐ” จะเอาอะไรเป็น “จุดขาย” หลังไม่มี “พล.อ.ประยุทธ์” และการชู “ลุงป้อม” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคคงไม่ใช่จุดขายสำหรับผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเท่าใดนัก แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ “วิชาของลุงป้อม” เพราะถ้าไม่แน่จริงคงไม่โลดแล่นสร้าง “บูรพาพยัคฆ์” ให้อยู่ในเส้นทางอำนาจมาอย่างยาวนาน รวมทั้งเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจการเมืองนับเนื่องเนื่องมาเป็นเวลากว่าสิบปี

ไม่นับรวม “พรรค ส.ว.” ที่อยู่ในเครือข่ายของ “ลุงป้อม” อีกจำนวนไม่น้อย

แบบนี้เองที่บรรดา “ดาวฤกษ์-นกรู้” เลือกไม่ยากว่า จะอยู่กับใคร เพราะโอกาสที่พรรคพลังลุงป้อมจะเป็น “ฝ่ายรัฐบาล” นั้นมีมากกว่าเป็น “ฝ่ายค้าน” ค่อนข้างแน่.




กำลังโหลดความคิดเห็น