คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
13. คณะกรรมาธิการการเมืองและกฎหมายแห่งศูนย์กลางพรรค (ต่อ)
ในขณะที่งานรายวันที่แต่ละหน่วยงานพึงปฏิบัติก็มิอาจดำเนินไปได้ เพราะแทบทุกคนหากไม่เข้าร่วมการปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว ก็ต้องอุทิศเวลางานให้กับการศึกษาการเมือง ซึ่งก็คือการศึกษาลัทธิมาร์กซหรือความคิดเหมาเจ๋อตง ที่ในเวลานั้นถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก
แต่หลังจากการปฏิวัติวัฒนธรรมยุติลงแล้ว การเมืองก็ถูกลดความสำคัญลงมาด้วยการนำมาให้อยู่ควบคู่กับกฎหมาย และให้องค์กรนี้เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในการทำให้การดำเนินการทางการเมืองอยู่ในกรอบของกฎหมาย
ปัจจุบันองค์กรนี้ยังคงมีความสำคัญ แม้การเมืองจีนจะเข้ารูปเข้ารอยตามหลักการปกครองโดยกฎหมายไปแล้วไม่น้อย และจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการชุดนี้อยู่เป็นประจำที่ เป็นการประชุมที่ไม่ใหญ่นัก
ทั้งนี้ผู้นำองค์กรนี้จะมาจากผู้เป็นกรรมการกรมการเมือง อันสะท้อนถึงความสำคัญที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้กับองค์กรนี้ในระดับหนึ่ง
14. คณะกรรมาธิการรักษาความลับแห่งศูนย์กลางพรรค
คณะกรรมาธิการรักษาความลับแห่งศูนย์กลางพรรค (จงก้งจงยางป่าวมี่เหว่ยหยวนฮุ่ย, 中共中央保密委员会) เป็นองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 1960 แต่ถูกยุบไปในช่วงที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรม และถูกรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในปี 1978
ภารกิจหลักคือ การรักษาความลับของพรรค
โดยรักษาความลับทางการเมืองการปกครองและการทหาร กำหนดและปรับแก้นโยบายทางการเมือง เงื่อนไข กฎระเบียบ และแผนงานเกี่ยวกับการรักษาความลับในแต่ละยุคสมัย
ควบคุมและตรวจสอบการทำงานรักษาความลับของตำแหน่งงานที่สำคัญต่างๆ อย่างเคร่งครัด ติดตามกรณีที่มีการรั่วไหลหรือ “เสียลับ” ของการข่าว เป็นต้น
15. โรงเรียนพรรคแห่งศูนย์กลางพรรค
โรงเรียนพรรคแห่งศูนย์กลางพรรค (จงก้งจงยางต่างเสี้ยว, 中共中央党校) เป็นองค์กรที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เริ่มจากการเป็นโรงเรียนที่ศึกษาเกี่ยวกับลัทธิสังคมนิยม แล้วต่อมาในปี 1933 จึงได้ก่อตั้งเป็นโรงเรียนที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในมณฑลเจียงซี
หลังการเดินทัพทางไกลสิ้นสุดลงที่เอี๋ยนอาน จึงได้ตั้งชื่อดังที่ใช้ในปัจจุบันนี้ในปี 1937 และทำการเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1942 โดยเหมาเจ๋อตงเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน
ในพิธีเปิดวันนั้น เหมาได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ปรับปรุงท่วงทำนองของพรรค”
หลังจากการปาฐกถาครั้งนี้ ก็ได้มีการรณรงค์ปรับปรุงท่วงทำนองครั้งใหญ่ในเอี๋ยนอาน จนถึงปี 1947 จึงยุติลง เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องถอนกำลังออกจากเอี๋ยนอานเพื่อเตรียมรับศึกจากสงครามกลางเมืองกับกว๋อหมินต่าง
ครั้นถึงเดือนกรกฎาคม 1948 พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ก่อตั้งโรงเรียนลัทธิมาร์กซและลัทธิเลนินขึ้น และได้กลายมาเป็นสถาบันการศึกษาชั้นสูงภายใต้การควบคุมของพรรคเรื่อยมาแม้หลังปี 1949 ไปแล้ว
ครั้นเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้น โรงเรียนนี้ก็หยุดรับสมัครนักเรียน และหยุดการเรียนการสอน รวมทั้งหยุดการวิจัยต่างๆ ลง จนเมื่อการปฏิวัติวัฒนธรรมยุติลงจึงได้หวนคืนสู่สภาพปกติอีกครั้งหนึ่ง
ตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นมา โรงเรียนพรรคฯ ได้มีการปรับปรุงองค์กรครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นการสร้างบุคลากรด้านการบริหารให้มีมาตรฐานมากขึ้น
ตลอดเวลานานนับสิบปีที่ผ่านมาองค์กรนี้ได้ผลิตบุคลากรระดับผู้นำ จนต่อมาบุคลากรเหล่านี้ได้กลายเป็นกระดูกสันหลังให้แก่ภารกิจต่างๆ ของพรรค ไม่ว่าจะในด้านการเมืองหรือการทหารก็ตาม
หน้าที่หลักขององค์กรนี้ในปัจจุบันก็คือ การสนองความต้องการของศูนย์กลางพรรคในการสร้างกองทัพ อบรมบ่มเพาะผู้นำระดับกลางและระดับสูง รวมถึงผู้นำที่เป็นชนชาติพันธุ์ต่างๆ
ผู้นำเหล่านี้มีส่วนช่วยพรรคโฆษณาทฤษฎี ศึกษาลัทธิมาร์กซ ลัทธิเลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง และทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อจะได้ยึดกุมภารกิจหลักของพรรคอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ก็ยังศึกษายุทธศาสตร์ที่สำคัญของศูนย์กลางพรรคและของต่างประเทศ
ตลอดจนทฤษฎีที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกประเทศ เสนอผลผลิตทางปัญญาที่สำคัญให้แก่ศูนย์กลางพรรค เพื่อพิจารณาปรับใช้เป็นนโยบาย
โดยเหตุที่โรงเรียนพรรคฯ มีบทบาทสำคัญดังที่กล่าวมา ดังนั้น บทบาทอีกด้านหนึ่งที่เป็นเรื่องการศึกษาจึงปรากฏออกมาด้วย นั่นก็คือ การผลิตตำรา
ตำราเหล่านี้ผลิตขึ้นมาเพื่อให้ผู้ที่เข้าศึกษาในโรงเรียนนี้ได้ใช้ประกอบการเรียน และให้ผู้ปฏิบัติงานและสมาชิกพรรคได้ใช้ศึกษาเพื่อพัฒนาตนเอง
ส่วนที่ว่าผู้เรียนหรือผู้เข้าอบรมเป็นผู้นำระดับสูงนั้น หมายถึง ผู้นำระดับชาติและระดับมณฑล เช่น ในกรณีที่เสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาใหญ่แล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการกลางพรรคจะถูกส่งมาอบรมในโรงเรียนนี้เป็นเวลา 4-5 วัน หรือการจัดอบรมให้แก่ผู้บริหารในระดับอธิบดี และอีกหลายระดับจนถึงผู้นำในท้องถิ่น เป็นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงย่อมเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่วิทยากรผู้บรรยายจักต้องเป็นผู้มีความรู้สูง หรือเป็นที่ยอมรับในระดับชาติ และมีบางโอกาสที่โรงเรียนแห่งนี้จะเชิญชาวต่างชาติมาเป็นวิทยากรด้วย แต่ก็ไม่มากเท่าวิทยากรที่เป็นชาวจีน
เคยมีชาวไทยที่ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรให้โรงเรียนแห่งนี้ท่านหนึ่งก็คือ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษานโยบายของรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน (1988-1991) รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (2001-2006) และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (2011-2014)
การเชิญมีขึ้นในปี 2001
องค์กรพรรคจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นองค์กรที่ขึ้นต่อศูนย์กลางพรรคโดยตรง จึงถือเป็นองค์กรที่มีความสำคัญยิ่ง
ดังจะเห็นได้ว่า บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรเหล่านี้มักจะเป็นผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ/หรือไม่ก็ควบตำแหน่งผู้บริหารระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น นอกจากนี้ ก็ยังเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า องค์กรเหล่านี้หลายองค์กรยังมีฐานะเทียบเท่ากับกระทรวงอีกด้วย


