xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

2 ส.กากี่นั้ง “สมคิด-สุดารัตน์” ลงตัวแบรนด์ใหม่ “สร้างไทย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ป้อมพระสุเมรุ


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ต้องยอมรับว่า หลัง “กติกาเลือกตั้ง” เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า จะใช้ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ 400 เขต และ 100 บัญชีรายชื่อ โดยใช้สูตร “หาร 100” ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำเอายุทธศาสตร์ของแต่ละพรรครวนไปไม่น้อย

ด้วยสูตร “หาร 100” ที่คะเนด้วยสายตาจำเป็นต้องมีอย่างน้อย 3.5 แสนเสียงในส่วนของบัตรพรรคเพื่อแลกกับ 1 ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดูตามผลเลือกตั้งปี 2562 ที่มี 26 พรรคที่ได้ ส.ส. ยังมีเพียง 11 พรรคที่มีคะแนนพ้น 3.5 แสนเสียง

ไม่ต้องพูดถึง “พรรคจิ๋ว-พรรคปัดเศษ” ที่สูญพันธุ์เรียบ ขนาดพรรคมีเบอร์อย่าง “ชาติพัฒนา” ยังได้แค่ราว 2.4 แสนเสียง ตัวเลขตามนี้ยังได้แค่ลุ้น “ปัดเศษ” เพื่อให้ได้ 1 ที่นั่งเท่านั้น

สูตร “หาร 100” ก็เลยกลายเป็น “จุดสลบ” ของ “พรรคใหม่-พรรคเล็ก” ที่ต้อง “หนีตาย” ในการหาแนวร่วม เพื่อหาทางรอด ให้กับพรรคตัวเองในสนามเลือกตั้ง 2566

รู้กันดีว่า เมื่อการเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง บรรดาพรรคการเมืองก็ต้องแสวงหาโอกาสที่จะทำให้ได้นั่งเก้าอี้ ส.ส.ให้ได้มากที่สุด เพราะหาก “นักเลือกตั้ง” ไม่มีเก้าอี้ ส.ส.ในมือ ก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในวงจรอำนาจ

เห็นกันไปแล้วจากกรณีการควบรวมกันระหว่าง พรรคชาติพัฒนา ที่นำโดย สุวัจน์ ลิปตพัลลภ และพรรคกล้า ที่นำโดย กรณ์ จาติกวณิช ในชื่อใหม่จั๊กจี้หูอย่าง “ชาติพัฒนากล้า” ที่ให้ “เสี่ยกรณ์” นั่งเป็นหัวหน้าพรรค และ เทวัญ ลิปตพัลลภ น้องชายสุวัจน์ อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ขยับไปนั่งเป็นเลขาธิการพรรค

หรืออย่างบรรดา “พรรคปัดเศษ” ที่มีบางส่วนยังทู่ซี้สู้ต่อในกติกาใหม่ และบางส่วนก็ดิ้นรนเอาตัวรอดกันชุลมุน ทั้ง “เสี่ยติ่ง” สัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ หัวหน้าพรรคพลเมืองไทย ที่กำลังหาสังกัดใหม่ โดยมีเงื่อนไขในการส่ง “ลูกกิ๊ฟ” ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลเมืองไทย ลงสมัคร ส.ส.เขต กทม.ฝั่งธนบุรี

ขณะที่ “เอ๋ พระบาท” พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทรักธรรม ซึ่งพรรคถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบไปแล้ว และตัว “เสี่ยเอ๋” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี ก็จะส่งน้องชายไปลงสมัคร ส.ส.เขต จ.สระบุรี ในนามพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.)

เช่นเดียวกับ “พี่เอี้ยง” ดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย และ “เฮียหมา” พิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ก็เตรียมจะย้ายไปอยู่พรรคสร้างอนาคตไทยด้วย

แต่ “ดีลหนีตาย” ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นการที่ “ไทยสร้างไทย-สร้างอนาคตไทย” ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรทางการเมืองซึ่งกันและกัน โดยมองกันว่าหมุดหมายปลายทางคงไม่พ้นการควบรวมพรรคกันอย่างแน่นอน

ว่ากันว่าดีลระหว่างพรรคสร้างอนาคตไทย ที่นำโดย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค กับพรรคไทยสร้างไทย ที่มี “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นหัวหน้าพรรค มีเจรจาต้าอวยกันมานาน ก่อนจะเกิดดีล “ชาติพัฒนากล้า” เสียอีก แต่รายละเอียดยังไม่ลงตัว เพราะเดิมมี “เสียงค้าน” ภายในแต่ละพรรคอยู่พอสมควร

ก่อนนี้ “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย เคยยอมรับว่า พรรคไทยสร้างไทย กับพรรคสร้างอนาคตไทย มีการเจรจากันเพื่อควบรวมพรรคกันจริง เพราะยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้ง หากการคำนวณ ส.ส.ใช้สูตรหาร 100 โอกาสที่พรรคใหม่และพรรคเล็กจะได้ ส.ส.ถึง 25 คน ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ชื่อที่เสนอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นได้ยากมาก แต่ละพรรคต้องรวมกันถึงจะมีโอกาสมากขึ้น แต่ยอมรับว่าการพูดคุยกันยังไม่ได้คืบหน้าเท่าที่ควร

ขณะที่ อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ก็ยอมรับเหมือนกันว่า มีการคุยกับพรรคไทยสร้างไทยเป็นระยะ เพราะช่วงนี้การเมืองมีความไม่แน่นอนสูง และนายสมคิดกับคุณหญิงสุดารัตน์ก็รู้จักกันดี

ตรงกับ “สมคิด” ที่สำทับว่า จะรวมพรรคหรือไม่ต้องให้กรรมการบริหารพรรคไปหารือกันเอง ตนกับคุณหญิงสุดารัตน์รู้จักกันมานาน และเห็นคุณหญิงสุดารัตน์เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง

ทว่า เวลาผ่านไป กระแสข่าวการควบรวม “พรรคตระกูลสร้าง” เริ่มซาลง ทั้งฝ่ายต่างเดินหน้าลงพื้นที่และเปิดตัวงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จนมองกันว่า การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ซึ่งทับซ้อนกันในหลายพื้นที่ จะยิ่งทำให้การควบรวมพรรคเกิดขึ้นได้ยาก

กระทั่งได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในฝั่งพรรคสร้างอนาคตไทย เมื่อปรากฎว่า นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค และประธานภาคใต้ และ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค และประธานภาค กทม. ได้ตัดสินใจลาออกจากพรรคไป โดย “นิพิฏฐ์” โผล่ไปเปิดตัวร่วมงานพรรค “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ส่วน “สุรนันทน์” ให้เหตุผลว่าขอกลับไปดูแลคุณแม่

สำหรับรายของ “เสี่ยปุ้ม-สุรนันทน์” นั้น ได้รับการชักชวนจาก “เฮียกวง” ให้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนพรรคสร้างอนาคตไทย โดยได้งานด้านการประชาสัมพันธ์บางส่วนไปดูแล พร้อมกับได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่ กทม. มีอำนาจคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. อันนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในพรรค

มีกระแสข่าวความไม่ลงรอยกันระหว่าง “สุรนันทน์” กับ “สนธิรัตน์” เลขาฯ พรรค ออกมาเป็นระยะ ก่อนขยายวงไปสู่ “บิ๊กเนม” รายอื่นๆ ที่ออกมาส่งสัญญาณไม่พอใจบทบาทของ “เฮียปุ้ม” โดยเฉพาะการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เช่นกัน ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ไว้หน้าใครในพรรคเว้นแต่ “สมคิด” คนเดียว

จนมีการพูดคุยเรื่องการควบรวมพรรค เดิมที “สุรนันทน์” ก็ได้รับความไว้วางใจจาก “เฮียกวง” ให้ร่วมวงพูดคุยในฐานะ “คนไทยรักไทยเก่า” กับทางพรรคไทยสร้างไทย ที่มี “โภคิน-ศิธา” เป็นดีลเมกเกอร์ แต่แล้ว “สุรนันทน์” ก็ถูกตัดออกวงจรในที่สุด เพราะมีแนวทางที่ไม่ประนีประนอม ห่างไกลจากการเจรจาต่อรอง

พูดกันไปถึงขั้นว่า หากยังมี “สุรนันทน์" อยู่ในวงเจรจา ดีลควบรวมพรรคสร้างอนาคตไทย-ไทยสร้างไทย หรือกระทั่งการประกาศเป็นพันธมิตรกัน คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้

ช่วงนั้น “สุรนันทน์” โพสต์ข้อความส่งนัยทางการเมือง พร้อมภาพ “ตี๋น้อย” สุนัขที่เลี้ยงไว้ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุข้อความว่า “The boss...and I #ตี๋น้อย เป็นคนรับใช้หมาดีกว่าทำงานให้นักการเมืองห่วยๆ”

ในส่วนของ “นิพิฏฐ์” ที่ถูกวางตัวให้เป็นขุนพลภาคใต้ของพรรคสร้างอนาคตไทย แม้จะไม่ได้ร่วมลงดีลควบรวมโดยตรง แต่ก็เป็นเสียงคัดค้านคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลในพื้นที่ที่มองว่า หากพรรคสร้างอนาคตไทย ควบรวมกับพรรคไทยสร้างไทย ที่เต็มไปด้วย “อดีตขุนพลไทยรักไทย-เพื่อไทย” ย่อมไม่เป็นผลดีต่อคะแนนในพื้นที่ภาคใต้ที่ตัวเองรับผิดชอบ

เมื่อดีลควบรวมให้ลงตัว “นิพิฏฐ์” จึงจำเป็นต้องโดดชิ่งไปอยู่กับ “ค่ายลุงป้อม” ที่แม้กระแสพรรคจะไม่ดี แต่ก็ถือเป็นแต้มลบในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.พัทลุง ของ “นิพิฏฐ์” เอง

เมื่อไม่มี “นิพิฏฐ์-สุรนันทน์” อยู่ในสมการของพรรคสร้างอนาคตไทย จู่ๆ ก็มีการนัดหมายระหว่างแกนนำ 2 พรรคเพื่อร่วมประกาศตัวเป็นพันธมิตรทางการเมืองกัน ที่ร้าน Corner สุขุมวิท 26 เมื่อช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา

ทีมงานสร้างอนาคตไทย นำมาโดย “เฮียกวง-สมคิด” พร้อมด้วย “อุตตม” หัวหน้าพรรค และ “เฮียสน” สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค

ขณะที่ทีมงานไทยสร้างไทย นำมาโดย “คุณหญิงสุดารัตน์” พร้อมด้วย โภคิน พลกุล ประธานยุทธศาสตร์พรรค
จับทางไม่ยากว่า อีเวนท์วันนั้นเป็นการจัดขึ้น “เป็นพิธี” ด้วยก่อนหน้านี้มีการหารือ “ในทางลับ” กันมาพอสมควรแล้ว

หลักใหญ่ใจความของนัดหมายวันนั้น “โภคิน” ที่ว่า ทั้ง 2 พรรคได้พูดคุยกันมาเป็นระยะๆ ในฐานะที่เป็น “เพื่อนเก่า” เคยทำงานร่วมกันมานาน ซึ่งเห็นพ้องตรงกันว่า ไม่เคยเห็นยุคใดสมัยใดการเมืองย่ำแย่ขนาดนี้ และเห็นว่า เอาจริงเอาจริงในการแก้ไขปัญหา และร่วมแรงร่วมใจกัน

ก่อนที่ “คุณหญิงสุดารัตน์” จะตอกย้ำความสัมพันธ์กับ “อาจารย์สมคิด” ว่า เคยทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี และเคยร่วมกันทำนโยบายสำคัญให้กับประเทศสำเร็จมาแล้วในอดีต

ย้อนภาพให้เห็นว่า “2 ส.” ถือเป็น “กากี่นั้ง” คนคุ้นเคยกันมานาน ตรงกับที่ “สมคิด” เคยระบุว่า “สุดารัตน์” เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่งนั่นเอง

ขณะที่ “สมคิด” เองนอกเหนือจากย้ำเรื่องวิกฤตชาติบ้านเมือง ที่ทำให้จำเป็นต้องหวนคืนยุทธจักรการเมืองอีกครั้ง และยังตัดบทคำถามถึง “แคนดิเดตนายกฯ” ด้วยว่า เรื่องตำแหน่งไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาให้ประเทศให้ได้ เพราะแต่ละคนล้วนแต่ผ่านตำแหน่งสำคัญๆ กันมาแล้ว

อีกทั้งตำแหน่ง “ผู้นำประเทศ” นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

นัยคำพูดของ “จอมยุทธ์กวง” เสมือนย้อนไปสยบกระแสข่าวว่า ดีล 2 พรรคตระกูลสร้างที่ไม่ลงตัวก่อนนี้ ไม่เกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่งในพรรค หรือตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ

อย่างไรก็ดี การแถลงข่าวร่วมกันวันนั้น ก็จำกัดกรอบไว้เพียงการประกาศเป็น “พันธมิตรทางการเมือง” กันเท่านั้น ส่วนเรื่อง “ควบรวมพรรค” ที่จับตากันอยู่นั้น ยังไม่มีการพูดถึงแต่อย่างใด

ซึ่งมาถึงขั้นนี้แล้วในทางการเมืองคงเป็นอื่นไม่ได้นอกเหนือจากการควบรวมกันในอนาคตอันใกล้ ตามรายงานข่าวที่ระบุว่า การยกระดับจากพันธมิตรมาร่วมงานภายใต้สีเสื้อเดียวกันนั้น เหลือเพียงการลง “รายละเอียด” อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

และเมื่อประเมินดู “กระแส” ที่ผ่านมาของทั้ง 2 พรรคตระกูลสร้าง ที่แม้จะไม่ “ขี้เหร่” แต่ก็ไม่ถึงกับ “เปรี้ยงปัง” นำมาซึ่งแนวคิดการผนึกกำลังเพื่อ “ปิดจุดอ่อน-เสริมจุดแข็ง” ที่ตอบโจทย์การเลือกตั้งปี 66 ได้มากกว่า

ด้วยจุดแข็งของ “สมคิด-สร้างอนาคตไทย” นั้นอยู่ที่ “ด้านเศรษฐกิจ” ซึ่งขายได้ในภาพกว้าง หากแต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ตัวผู้สมัคร-การทำพื้นที่ ที่อาจจะไม่เชี่ยวชาญในระดับ “นักเลือกตั้ง”

เติมเต็มด้วย “สุดารัตน์-ไทยสร้างไทย” ที่มีจุดเด่นในส่วนของกระบวนการจัดตั้งพรรคตามประสาคนที่อยู่กับการเมือง-การเลือกตั้งมาค่อนชีวิต ความถึงลูกถึงคนในการลงพื้นที่ของ “เจ๊หน่อย” ตลอดจนทีมงานผู้สมัคร ส.ส.ที่ถูกจัดว่าเป็น “เกรดเอ” ในกลายพื้นที่

โดยชื่อของ “ผู้การป๊อป” น.อ.อนุดิษฐ นาครทรรพ และ “เสี่ยเก่ง” การุณ โหสกุล ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย สายตรง “บ้านลาดปลาเค้า” ถูกจับวางไว้ในลิสต์ของพรรคไทยสร้างไทยแล้ว บวกกับ “ต้นทุนการเมือง” ที่อุดมไปด้วย “ดาวฤกษ์” แค่ระดับแกนนำอย่าง “สมคิด-สุดารัตน์-โภคิน-อุตตม-สนธิรัตน์-ศิธา” ที่เชื่อว่าจะดึงแต้มพรรคได้ไม่มากก็น้อย

โดยล่าสุด มีเริ่มมีความชัดเจนในการจัดวางขุมกำลังของพรรคที่จะควบรวม โดยจะยึดฐานของพรรคไทยสร้างไทย ที่เปิดตัวมาก่อน และมีฐานที่แน่นกว่าในการขับเคลื่อน

ในการเปลี่ยนชื่อพรรค รีแบรนด์ใหม่เป็น “สร้างไทย” ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ตรงกันของ 2 พรรคตระกูลสร้าง อีกทั้งยังเป็นชื่อเดิมที่ “สุดารัตน์” ตั้งใจจะใช้ในช่วงที่ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทยด้วย

โดยเบื้องต้น พรรคสร้างไทย ยังคงมี “สุดารัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค และให้ “สนธิรัตน์” มาเป็นเลขาธิการพรรค ส่วน “อุตตม-โภคิน-ศิธา” จะถูกดึงไปอยู่ในวงยุทธศาสตร์พรรค ซึ่งอาจมีการตั้งเป็น “โปลิตบูโร” กรรมการพรรคที่กำกับคณะกรรมการบริหารพรรคอีกชั้นหนึ่ง ตามรูปแบบพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ส่วนแคนดิเดตนายกฯ ก็คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกเหนือจาก “2 ส.” คือ “สมคิด-สุดารัตน์” โดยไม่มีการวางใครเป็นเบอร์ 1-2

สำหรับการวางลำดับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะมี “เจ๊หน่อย” เป็นลำดับที่ 1 “อุตตม-โภคิน-สนธิรัตน์”อยู่ในลำดับที่ 2-3-4 เป็นต้น ทั้งนี้ กระบวนการควบรวมจะเสร็จสิ้น และเปิดตัวภายในเดือน ม.ค.66 ตามปฏิทอนการเมืองที่กระชั้นเข้ามาทุกขณะ

เป้าหมายในการเลือกตั้งต้องมี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 40 คน ส่วนเรื่องเก้าอี้นายกฯ ก็เป็นอย่างที่ “จอมยุทธ์กวง” ว่าไว้ว่า อยู่ที่ฟ้าลิขิต.


กำลังโหลดความคิดเห็น