xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องดีๆ ส่งท้ายปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร



แม้ว่าเรามาส่งท้ายปีเก่า ด้วยความสิ้นหวังว่า คงไม่น่ามีการตั้งโต๊ะเจรจาสันติภาพหรือหยุดยิงในสงครามยูเครน ในช่วงทั้งส่งท้ายปี หรือในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ก็ตาม

อีกทั้งยังมีการสาดกระสุนด้วยถ้อยคำ และท่าทีเผ็ดร้อนจากทั้งสองฝ่ายคู่สงคราม รวมทั้งจากพันธมิตรจากทั้งสองฝ่าย

เริ่มจากการมอบทั้งอาวุธ (ทั้งแพทริออตและไฮมาร์ส) และเงินทองมหาศาลจากสหรัฐฯ (และเหล่านาโต) ให้กับยูเครน เป็นการกระพือไฟสงครามไม่ให้ดับลงง่ายๆ หรือเป็นการยืดสงครามให้ยาวนานยิ่งขึ้นนั่นเอง

ฝ่ายรัสเซียก็ระดมเพิ่มกองกำลังถึง 2-3 แสนคน รับทหารใหม่เข้ามาฝึก 3 เดือน ก็น่าจะพร้อมทำฝึกใหญ่ในเดือนมกรานี้ หรือนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงบางคนก็คาดว่า จะมีการบุกใหญ่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต้นปีนี้แหละ

ที่สำคัญคือ เงื่อนไขการเจรจาสันติภาพ (หรือหยุดยิง) ซึ่งทางผู้นำยูเครนตั้งเอาไว้ตั้ง 10 ข้อที่รัสเซียคงรับไม่ได้ ทั้งให้ถอนทหารรัสเซียออกจากยูเครนให้หมด (รวมทั้งให้ออกจากไครเมียด้วย!) ยิ่งรมต.ต่างประเทศคูเลบาของยูเครนไปไกลถึงขนาดก่อนการเจรจาสันติภาพที่ยูเอ็นจะจัดขึ้น จะต้องให้รัสเซียขึ้นศาลอาชญากรสงครามก่อน ซึ่งปูตินก็ย้ำว่า ขอให้ยูเครนมองสภาพความเป็นจริงในสนามรบ เพราะรัสเซียได้เข้ายึดพื้นที่ของยูเครนไว้ถึงเกือบ 20% แล้ว พร้อมมีประชามติเข้าไปอยู่กับรัสเซียด้วย!

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายปีนี้ ถ้ามองดีๆ ก็ยังพอมีเรื่องดีๆ ให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง

อย่างเช่น คำกล่าวของรมต.ต่างประเทศของจีน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม ท่ามกลางการประชุมด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ปักกิ่ง ที่เขากล่าวว่า จีนจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ “เราจะดำเนินการตามที่ปธน.จีนและปธน.สหรัฐฯ เห็นพ้องต้องกัน (ในการประชุมจี 20 ที่บาหลี) เพื่อนำความสัมพันธ์ทวิภาคีกลับมาสู่แนวทางที่ถูกต้องอีกครั้ง” ...เริ่มในปีหน้านี้เอง!

ทั้งๆ ที่ปธน.ไบเดน, พอบินกลับจากประชุมจี 20 ก็ออกกฎหมายห้ามบริษัทของสหรัฐฯ รวมทั้งของประเทศพันธมิตรเช่น เนเธอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลีใต้ ส่งพวกชิปที่มีสมรรถนะสูง รวมทั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ชิ้นส่วนในการผลิตชิปเหล่านั้นไปให้กับจีนโดยเด็ดขาด!

เป็นการหมุนนาฬิกากลับ โดยหันหลังให้กับนโยบายโลกาภิวัตน์ และการค้าเสรีที่อเมริกาพร่ำสอน และผลักดันให้ประเทศต่างๆ ต้องเปิดประเทศ แต่ตัวเองกลับละเมิดกฎขององค์การการค้าโลกเสียเอง! จนจีนต้องนำเรื่องฟ้อง WTO ทันที

และในวันที่ 25 ธันวาคมนี้เอง ทางคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน ได้ประกาศจะหยุดการประกาศตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดหรือผู้เสียชีวิตอีกต่อไป

พอค่ำวันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม (วันเปิดกล่องของเหล่าลูกจ้างที่จะได้ของขวัญจากเจ้านาย ที่เรียกว่าวัน Boxing Day) ก็มีข่าวดีมากจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน ประกาศเปิดประเทศสำหรับผู้จะเดินทางเข้าจีนตั้งแต่ 8 มกราคม (ก่อนตรุษจีนวันที่ 22 มกราคมถึง 2 อาทิตย์เต็ม) โดยผู้เดินทางเข้าจีน จะไม่มีการบังคับให้กักตัวที่ทางการจัดไว้ถึง 5 วัน แล้วถ้าไม่มีอาการ ก็ต้องไปกักตัวที่บ้านต่ออีก 3 วัน รวมเป็น 8 วันทีเดียว

มีคนเข้ามาติดตามข่าวนี้ในแพลตฟอร์มของ CTRIPS ใน 30 นาทีแน่นขนัดเพิ่มจำนวนถึง 50 เท่าของเวลาปกติ

พอวันอังคารรุ่งขึ้น ก็มีประกาศจากสำนักตรวจคนเข้าเมืองของจีน ถึงการจะอนุมัติวีซ่าสำหรับการเดินทางออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นทันที

เป็นข่าวดีจริงๆ สำหรับคนจีนที่อยากออกมานอกประเทศ เพื่อไปเยี่ยมญาติในช่วงตรุษจีน รวมทั้งหนีอากาศที่ปีนี้หนาวผิดปกติในจีนด้วย เพื่อไปหาที่อบอุ่นและสนุกสนานกว่าอยู่ที่จีน

Trip. Com รายงานว่า มีคนจีนเข้าไปจองตั๋วเดินทาง (โดยเครื่องบิน) ออกจากจีนเพิ่มขึ้น 254% (เทียบกับวันก่อนหน้านั้น) ซึ่งมีการแสดงเจตนาออกไปจากจีนไปยังมาเก๊า, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ไทย และเกาหลีใต้ (ตามความนิยม)

ทั้งโลกกำลังรอนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักจากจีน ที่อั้นมานาน...ที่คนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะต้องรีบตระเตรียมพนักงานไว้รับการไหลบ่าของนักท่องเที่ยวจีนเหล่านี้ให้ทัน เพราะจากคลื่นของนักท่องเที่ยวจากยุโรปเหนือและสหรัฐฯ ที่หนีความหนาวเหน็บผิดปกติ และค่าอาหารและที่พักอาศัยที่ค่าน้ำ ค่าไฟพุ่งสูงขึ้นผิดปกติจากสงครามยูเครน...บรรดาโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยวของไทย ก็ไม่สามารถปรับตัวรับนักท่องเที่ยวจากยุโรปและสหรัฐฯ ได้ทัน ครั้งนี้จากจีนที่ประเทศไทยไม่ควรพลาดท่าเตรียมตัวไม่ทัน โดยเฉพาะการเตรียมพนักงานบริการให้มากพอ

อีกเรื่องคือ ช่วงเริ่มต้นของการประชุมสุดยอดสหรัฐฯ และผู้นำจากแอฟริกา ที่ไบเดนจัดที่ทำเนียบขาว (เป็นการจัดครั้งที่ 2 ของสหรัฐฯ...โดยครั้งแรกจัดสมัยโอบามา แล้วก็ไม่มีจัดอีก) ซึ่งไบเดนได้กล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการต่อ Original Sin คือ บาปที่เกิดขึ้นตั้งแต่การก่อกำเนิดประเทศสหรัฐฯ ทีเดียว

นั่นคือ ความโหดเหี้ยมอำมหิตที่การก่อกำเนิดของประเทศสหรัฐฯ มาจากการค้าทาสที่มีพ่อค้าทาสไปล่าจับคนแอฟริกามาเป็นทาส ซึ่งมีการสูญเสียชีวิตท่ามกลางน้ำตาที่ยังส่งต่อมาถึงลูกหลานทาสในปัจจุบัน

ถ้าไม่ใช่ไบเดน คำพูดขอโทษนี้คงไม่สามารถหลุดออกมาจากปากของคนชื่อ ทรัมป์ และเหล่าชาวรีพับลิกันที่ทนงศักดิ์ศรีแห่งความเป็น Anglo Saxon และเชื่อว่าพวกเขามีคุณสมบัติที่เหนือกว่าคนผิวสีตลอดเวลา

แม้จะมองได้ว่า ไบเดนกำลังพยายามสร้างการยอมรับจากเหล่าผู้นำของแอฟริกา เพราะขณะนี้สหรัฐฯ ดูล้าหลังมาก เมื่อเทียบกับผู้นำจีน...ที่ได้ตะลุยไปแผ่อิทธิพลทางด้านการค้า, การเมือง, เศรษฐกิจและสังคม ชนิดไม่เห็นฝุ่น... เพราะจีนจัดซัมมิตกับประเทศแอฟริกาทุกๆ 3 ปี... ทำมาแล้ว 20 กว่าปี...และโครงการ BRI ก็กำลังเชื่อมมายังแอฟริกาด้วย

แต่การกล่าวขอโทษ แม้จะช้าไปเป็นร้อยๆ ปี แต่ก็น่าจะทำให้มาตรฐานความเป็นมนุษย์และคุณค่าจริยธรรมในโลกนี้ จะถูกยกระดับขึ้นมาได้บ้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น