ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่สงวนท่าทีอมพะนำมานาน ในที่สุด “ลุงตู่” ก็ประกาศเต็มเสียงว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค "รวมไทยสร้างชาติ" เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา
นับเป็นความชัดเจนว่า ไม่ไปต่อกับ “ค่ายพลังป้อม” พรรคพลังประชารัฐ หันไปลุยการเมืองสร้างดาวดวงใหม่ที่ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” แน่นอนแล้ว
รู้กันทั่วคุ้งทั่วแควมาก่อนแล้วว่า ตัว “ลุงตู่” พร้อมขุนพลข้างกาย เริ่มเข้าไปร่วมบัญชาการเกมในพรรครวมไทยสร้างชาติมาระยะหนึ่ง แถมมีการนัดพบปะพูดคุยกับเหล่า “บิ๊กเนม”จากหลายพรรคการเมือง ที่เตรียมสวมเสื้อพรรครวมไทยสร้างชาติลุยสมรภูมิเลือกตั้งมากกว่า 40 ชีวิตที่ร้านอาหารย่านอารีย์ ใกล้ที่ทำการพรรคมาแล้วด้วย
ทว่า พอไปเค้นถามความจริงจากปาก “นายกฯ ตู่” กลับไม่ยอมรับ และตอบอย่างมีอารมณ์ว่า “ไปเอาข่าวมาจากไหน 40 คน เอามาจากไหน ผมไม่ได้กินข้าวกับใครเลยนะจะบอกให้”
ทั้งที่ บรรดา “บิ๊กเนม” ที่ได้พบปะกันในวันนั้น ทยอยโพสต์รูปคู่กับ “ลุงตู่” ออกมาแบบรัวๆ เป็นหลักฐานประจานทนโท่
ไม่ยอมรับ ไม่ว่ากัน อาจจะเป็นลีลา “ลับ ลวง พราง” อะไรก็ว่าไป แต่ที่เพิ่งประกาศตั้ง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามานั่งเป็น เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วสลับคนเก่าอย่าง ดิสทัต โหตระกิตย์ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแทน ที่อ่านอย่างไรเสียการแต่งตั้ง “พีระพันธุ์” ก็ไม่ได้มีเป้าหลักเพื่อกระชับการทำงานฝ่ายบริหารตามที่ให้เหตุผล แต่เป็นเรื่องช่วงชิงความได้เปรียบทากงานเมืองในฐานะรัฐบาลยามสู้ศึกเลือกตั้ง ที่ให้ “คีย์แมนนั่งร้านใหม่” เข้ามามีตำแหน่งแห่งที่ข้างกายบนตึกไทยคู่ฟ้า
ทั้งยังเป็นการย้ำชัดๆ กับสัมพันธ์แน่นปึ้กกับ “ค่ายรวมไทยสร้างชาติ”
ตามคิวที่ “นายกฯ ตู่” ละล้าละลังไม่ยอมเปิดตัวร่วมหัวจมท้ายกับค่ายใหม่ ทำเอาพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เปรี้ยงปังเสียที ทั้งที่เดิมทีก็เซตฤกษ์ดี วัน ว. เวลา ณ. จะเข้าพรรคอย่างเต็มตัวไว้ตั้งแต่หลังเสร็จภารกิจเอเปค
แต่ฤกษ์ดีฤกษ์เดิม 21 พ.ย.65 ดันหลุดออกมาก่อน ทำเอา “ลุงตู่” หัวฟัดหัวเหวี่ยง ขอรอฤกษ์ที่ว่ากันว่า คงเป็นหลังปีใหม่ 2566 นู่น
ออกท่ายึกยัก จนเจอกระแสข่าวแซะเสี้ยมรายวันว่า ดีไม่ดี “นายกฯ ตู่” ถอดใจ อาจตัดสินใจไม่ไปต่อ ขอลงจากหลังเสือตั้งแต่จบงานนายกฯ หมดเทอมสภาฯ ชุดนี้ออกมา ทำเอา “คนรวมไทยฯ” ถึงกับเสียอาการ ก็เลยต้องไปนัดนอกรอบพบปะกินข้าวสร้างความมั่นใจอย่างที่ว่าไปข้างต้นนั่นแล
ข่าวลือข่าวลวงก็ไม่เว้นวัน แต่ “ระดับแกน” รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร แค่จะไปบังคับกะเกณฑ์คนอย่าง “พล.อ.ประยุทธ์” ให้รีบมาเปิดตัวให้ชัดๆ ชัวร์ ไม่ได้เท่านั้น ยามนี้ทำได้ก็แค่แต่งตัวปลายทางฐานบัญชาการใหม่ให้ภูมิฐาน สมฐานะนั่งร้านปั้นนายกฯ สมัย 3 เท่านั้น
ถึงจะเป็นพรรคยี่ห้อใหม่ ยังไม่มี ส.ส.ในนามพรรคอย่างเป็นทางการแม้แต่คนเดียว แต่ก็ “เล่นใหญ่” ถึงขั้นวางยุทธศาสตร์แบบอินเตอร์ ที่ขนาด “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ยังได้แต่คิด กับการเตรียมตั้ง “โปลิตบูโร” คณะกรรมการการเมืองตามแนวพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยให้ “นายกฯ ตู่” เป็นประธานนั่งบัญชาการภาพรวมทั้งกระดาน ร่วมกับ “บิ๊กเนม” ที่จะมาร่วมงานก็จะอยู่ในกรรมการชุดนี้
ที่เขี่ยไอเดียนี้ออกมา ผิวเผินก็เพื่อให้ “บิ๊กตู่” ที่ลอยตัวทางการเมืองมาโดยตลอด จะได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิก และมีตำแหน่งในพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกเสียที หลังพลิ้วมาตลอดสมัยใช้ “ค่ายพลังประชารัฐ” เป็นนั่งร้าน
ครั้นจะไปตั้งเป็นประธานพรรค-ประธานยุทธศาสตร์ แบบที่เห็นเกริ่นตามพรรคอื่น ก็ดูจะธรรมดาเกินเบอร์ ก็เลยเล่นของใหม่อย่าง “โปลิตบูโร” ที่ว่า
ภาษาสื่อเรียก “โปลิตบูโร” แต่คนในพรรคขอขนานนามว่า “ซูเปอร์บอร์ด” เบื้องต้นจะมีกรรมการไม่เกิน 7 คน หรือ “7 อรหันต์” โครงสร้างหลวมๆ มี “ประธานตู่” หัวโต๊ะ ร่วมด้วย “หัวหน้าตุ๋ย” และ “เลขาฯ ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ส่วนอีก 4 เว้นที่ไว้ให้ “บิ๊กเนม”ที่จะมาพร้อม “นายตู่”ได้มี “ที่ยืน” ในพรรค
คนหนึ่งไม่พลาดแน่ “เสี่ยป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่แว่วว่าตกปากรับคำกับ “น้องตู่” ร่วมอยู่สู้ศึกกันต่อ หลังเจ้าของ “มท.1” เคยออกปาก จะวางมือไม่ไปต่อในการเลือกตั้งสมัยหหน้า
เช่นเดียวกับ “เสี่ยเฮ้ง”สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่เดิมหวังว่า จะมาสยายปีกนั่งเลขาธิการพรรคคู่กับหัวหน้าพรรคที่ชื่อ “ประยุทธ์”ทว่า พอตกผลึกไม่เปลี่ยนหัวหน้าจาก “พีระพันธุ์” แล้ว เลขาฯ คู่ใจอย่าง “เอกนัฏ”ที่วันนี้ได้รับดาบวางโครงสร้างพรรค-จัดผู้สมัครแบบเบ็ดเสร็จ ก็คงไม่เปลี่ยนไปด้วย
ว่ากันว่า ผู้สถาปนาตัวเองเป็น “มังกรน้ำเค็ม” อย่าง “เสี่ยเฮ้ง” ไปไม่เป็นเหมือนกัน หลังเคยได้โอกาส “ทดลองงาน” ในฐานะ “แม่บ้านรวมไทยฯ” แต่ทำได้ไม่เต็มวันดี จับสัญญาณต้านในพรรคใหม่ได้ ก็เลยต้องถอนตัว
ยังดีที่มี “ความชอบ” ในฐานะขุนพลผู้จงรักภักดีกับ “นายกฯ ตู่” ก็เลยจัดโครงสร้างคนแบบ “เสี่ยเฮ้ง” รวมไปถึงตัวแทนบ้านใหญ่อีก 3-4 หน่อ ได้มีที่ทาง ไม่ขาลอย
เอาว่าวันนี้ “บิ๊กตู่” ถอยไม่ได้ และพอดูไม่เร่งไม่ร้อน จนพรรคไม่สุกงอมพร้อมใช้ ก็อนุมานได้เลยว่า ดาบ “ยุบสภา” ที่ถืออยู่คงงัดมาใช้อีกทีใกล้หมดเทอมรัฐบาล 24 มี.ค.66
ทิ้งระยะรอให้ “รวมไทยสร้างชาติ” ได้เติบโตพร้อมลงสู้ศึกใหญ่นั่นแล
ขณะเดียวกัน “ตลาดการเมือง” ต้องบอกว่าคึกคัก เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าบรรดา “นักเลือกตั้ง” ทยอยลงหลักปักฐานเปิดตัวเข้าสังกัดพรรคการเมืองเพื่อเตรียมลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยเฉพาะความคึกคักที่ “ค่ายเซราะกราว”พรรคภูมิใจไทย ที่ตีธงให้ ส.ส.ต่างพรรคลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดเทอมกว่า 40 ชีวิต เพื่อมาเปิดตัวในช่วงแกรนด์โอเพนนิ่งตึกที่ทำการใหม่ ประกาศสักดาขออัปเกรดจาก “มวยรอง” มาเป็น “มวยหลัก” อย่างเต็มตัว
หรือย่างที่ “ค่ายพลังป้อม”พรรคพลังประชารัฐ ที่วันนี้พ้นสถานะ “นั่งร้านลุงตู่” แล้ว แต่ “ลุงป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ก็ยังตีธงสู้ไม่ถอย ดึง “ตัวมีชื่อ” มาเสริมแกร่งพอสมควร ทั้ง “เฮียมิ่ง” มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่เปิดตัวไปอย่างอลังการ แต่ดัน “ออฟไซต์” เรื่องแคนดิเดตนายกฯ ก็เลยเจอเอาไปเก็บเข้าลิ้นชัก หรืออย่าง นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปกระชากมาจากพรรคสร้างอนาคตไทย รวมไปถึง อันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์
ขาดไม่ได้ “ซุ้มผู้กอง” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ยกโขยงทีมงาน สงส.จากพรรคเศราฐกิจไทยหลับมาเข้า “ค่ายลุงป้อม” อีกคำรบ ประสานกับ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค และ วิรัช รัตนเศรษฐ แกนนำโคราช ที่แม้ติดชนักคดีฟุตซอล แต่ไม่ปล่อยบทบาทขับเคลื่อนพรรคแน่
สำคัญที่งานนี้พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มาเล่นๆ ประกาศพันธกิจสำคัญในการดัน “หัวหน้าป้อม”ขึ้นเป็นนายกฯ เต็มตัวซะด้วย
เมื่อทีมงาน “3 ลุง คสช.” แตกหน่อแยกสายกัน ในขณะที่หลายๆ พรรคก็ไม่คิดแค่เป็น “นั่งร้าน คสช.” อีกต่อไป ก็ทำเอาภูมิทัศน์ทางการเมืองเปลี่ยนไปจนน่าวิเคราะห์ยาวไปถึงหน้าตา “รัฐบาลใหม่” จะมีสูตรผสมผเสพิสดารแค่ไหน
ตามหน้าเสื่อขณะนี้พอ “จับยามสามตา”ออกมาได้คร่าวๆ “3 สูตร” สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งครั้งหน้า
สูตรแรก “ขั้วอนุรักษ์นิยม” ซึ่งจะเป็นขั้วเดิมกับชุดปัจจุบัน ประกอบด้วย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคไม้ประดับอื่นๆ ที่พร้อมเสียบได้ในทุกขั้ว
สูตรนี้แน่นอนว่าตัวนายกฯ ก็ไม่พ้น “บิ๊กตู่”จากพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่จะมีหลายด่านให้ฝ่าฟันค่อนข้างเยอะ
ประการแรก “ขั้วอนุรักษ์นิยม” จะต้องกวาด ส.ส.เข้าสภาแล้วรวมเสียงกันให้ได้ “เกินกึ่งหนึ่ง” ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อสร้าง “ความชอบธรรม” ในการแข่งจัดตั้งรัฐบาลกับขั้วพรรคเพื่อไทย ที่เป็น “เต็งหนึ่ง” ที่จะต้อน ส.ส.เข้าสภาฯได้มากที่สุดเหมือนเช่นเคย แต่คงไม่ถึงขั้น “แลนด์สไลด์” จนฝ่ายตรงข้ามตั้งรัฐบาลสู้ไม่ได้
ประการที่สอง พรรครวมไทยสร้างชาติของ “เสี่ยตุ๋ย” จะต้องพา ส.ส.เข้าสภาให้ได้อย่างน้อย 25 ที่นั่ง เพื่อสิทธิ์ในการเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯ ตามที่ขีดเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ
ประการที่สาม ต้องส่อง “หน้าตัก” ของพรรคการเมืองอื่นๆ ในขั้วเดียวกันว่า แต่ละคนมีโกยที่นั่ง ส.ส.มาได้เท่าไร เพราะไม่ได้หมายความว่า หากพรรครวมไทยสร้างชาติได้อย่างน้อย 25 ที่นั่ง แล้วเก้าอี้นายกฯ ของ “บิ๊กตู่” จะแบเบอร์
โดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ในขั้วนี้อย่าง “ค่ายพลังป้อม” กับ “ค่ายเซราะกราว”ของ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล ที่รอบนี้จ้องเก้าอี้ผู้นำประเทศแบบไม่วางตา
แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะได้รับสิทธิ์ในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ตามกฎหมาย หากได้อย่างน้อย 25 ที่นั่ง แต่ถ้าหน้าตักของตัวเอง มีน้อยกว่าพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งต้องมาลงรายละเอียดอีกว่า ได้น้อยกว่าแค่ไหน “ฉิวเฉียด” หรือ “ขาดวิ่น”
ในกรณีมีหน้าตักเบียดกันไม่มาก โอกาสที่จะให้ “บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ ไปอีก 2 ปี ตามแคมเปญ “นายกฯ คนละครึ่ง” พอเกิดขึ้นได้ แต่ในกรณีหน้าตักห่างกันลิบลับ ทั้ง “บิ๊กป้อม” ทั้ง “เสี่ยหนู” ไม่น่าจะใจดีหลีกทางให้ง่ายๆ เช่นกัน
ฉะนั้น หาก “บิ๊กตู่” หวังจะเป็นนายกฯ สมัย 3 ในอายุงานที่เหลืออีก 2 ปี พรรครวมไทยสร้างชาติต้องกวาด ส.ส.เข้าสภาให้ได้มากที่สุด และหากเป็นไปได้ต้องมากกว่าพรรคพันธมิตรเหล่านี้ด้วย
หากทำได้จริง ไอเดีย “นายกฯ คนละครึ่ง” ก็อาจไม่ต้องไปแชร์กับ “พี่ป้อม” หรือ “น้องหนู” แต่จะเป็น “เสี่ยตุ๋ย” ที่ถูกวางไว้ให้เป็นตัวตายตัวแทน ตามคิวที่วันนี้มาลองงานในฐานะ “นายกฯ น้อย” นั่งเป็นเลขาธิการนายกฯ
ประเมิน ณ ปัจจุบัน ถือเป็นงานหินพอสมควรสำหรับ “รวมไทยสร้างตู่” เพราะเท่าที่ดูว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติขณะนี้ “ไม่ว้าว” กว่าพรรคอื่นๆ ที่สำคัญคือ ยังมีลุ้นแค่พื้นที่ภาคใต้ ในขณะที่ภาคนี้มี ส.ส.เพียง 58 คน เท่านั้น ซ้ำยังต้องแย่งชิงกันในหลายพรรค
ในทางการเมืองรู้ดีว่า หากต้องการเป็น “นัมเบอร์วัน” ต้องฮอตในทุกภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ-อีสาน ที่มีที่นั่ง ส.ส.ให้โกยมากกว่าปักษ์ใต้เป็นเท่าตัว
สูตร 2 เลื่องลือกันหนาหู สำกรับการ “ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคไม้ประดับอื่นๆ
“แกนกลาง” ของสูตรนี้คือ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ยังบัญชาการเกมโดย “เสี่ยโทนี” ทักษิณ ชินวัตร กับความฝันสูงสุดในการได้กลับประเทศมาเลี้ยงวหลาน โดยไม่ต้องติดคุกจากคดีความผิดที่คั่งค้างอยู่ แตะมือกับ “ค่ายพลังป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่มี “ลุงป้อม” นั่งเป็นหัวหน้า และมี “คนใกล้ตัวลุงป้อม” เป็นดีลเมกเกอร์ ระหว่าง “ลุงป้อม-ลุงโทนี” มาระยะหนึ่งแล้ว
หาก 2 ค่ายต่างขั้วรวมตัวกันติด พรรคอื่นๆ ก็เป็นได้แค่ “ไม้ประดับ” ที่เอามาเสียบให้แจกันให้ดูสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น
สูตรนี้จะเกิดขึ้นได้ คือ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” ไม่สามารถรวบรวมเสียงให้มี “เกินกึ่งหนึ่ง” ได้ อันหมายถึง “บิ๊กตู่” ดันทุรังนั่งนายกฯ สมัย 3 ไม่สำเร็จ พรรครวมไทยสร้างชาติล้มเหลวในสนามเลือกตั้ง ซึ่งหากเป็นเช่นนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ “น้องตู่” เปิดทาง “พี่ป้อม” สามารถไปจับมือกับใครก็ได้
หรืออีกกรณีคือ พรรคเพื่อไทย สามารถบรรลุภารกิจ “แลนด์สไลด์” ได้สำเร็จ โอกาสที่นายกฯ จะชื่อ “พล.อ.ประวิตร” ก็ยังสูงกว่า “หนูอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หรือกระทั่ง “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ อีกคนของพรรคเพื่อไทย
เพราะในทางการเมืองรู้ดีว่า ต่อให้พรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแค่ไหน คงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เหมือนในอดีต ยังจำเป็นต้องพึ่งพา “หลวงพ่อป้อม” ที่มีออปชั่นเรื่อง “พรรค ส.ว.” ในการโหวตนายกฯ อีกหนหนึ่ง ก่อนสิ้นบทเฉพาะกาล 5 ปีตามรัฐธรรมนูญ 2560 และความเข้มขลังของ “หลวงพ่อป้อม” ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสภาฯ และองค์กรอิสระให้กับพรรคเพื่อไทยที่ภูมิต้านทานค่อนข้างต่ำด้วย
การผสมพันธุ์ “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” ถูกพูดถึงกันมาพักใหญ่ จากเค้าลางครั้ง “กบฏผู้กอง” ที่เกือบสอย “นายกฯ ตู่” ร่วงเก้าอี้กลางสภาฯ มาแล้ว ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อปีกลาย ในปฏิบัติการ “ล้มตู่ ชูป้อม” ที่วันนั้น “บิ๊กป้อม” เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้าย
แม้จะเซฟเก้าอี้นายกฯ ให้ “น้องเลิฟ” ได้ แต่ก็ “กินใจ” กันมาจนถึงวันนี้ วันที่ “บิ๊กตู่” ตัดสินใจแตกทัพ ออกไปสร้างอาณาจักรของตัวเองในนาม พรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะไม่สามารถวางใจ “พี่ป้อม” ที่มี “ป.ที่ 4” กำกับเกมอยู่หลังม่านบ้านป่ารอยต่อฯ และเปิดดีลกับ “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทย ได้อีกต่อไป
น่าสังเกตว่า ปฏิกิริยาของ “คนเพื่อไทย” ที่มีต่อ “บิ๊กป้อม” ก็เป็นไปในลักษณะเกรงใจ-ถ้อยทีถ้อยอาศัยมาโดยตลอด ดังจะเห็นว่า พรรคเพื่อไทย ดาหน้าด่าทุกคนในรัฐบาล แต่กลับละเว้น “บิ๊กป้อม” ไว้เพียงคนเดียว
หรือจะย้อนไปไกลกว่านั้น ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ขุนพลพรรคเพื่อไทยเปิดฉากซักฟอกประเด็นที่เกี่ยวกับ “ลุงป้อม” เบาหวิวราวกับขนแมว ประหนึ่งกลัว “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” จะมีรอยข่วน จนเกิดความบาดหมางกับเพื่อนร่วมฝ่ายค้าน “พรรคก้าวไกล” ที่มองว่า “รองฯ ประวิตร” เป็นจุดอ่อน และปูพรมถล่มแบบเต็มอัตราศึก
หรือกับชอตล่าสุดในคิวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลคดีทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือที่รู้จักกันในนาม “จีทูจีเก๊ ภาค 2” ปรากฏว่า ตัวละครที่ ป.ป.ช.เชือดมีระดับสูงสุดแค่ “เลขานุการรัฐมนตรี” รองลงมาเป็นอธิบดี และภาคเอกชน
ในขณะที่ตัวละครใหญ่อย่าง 3 พี่น้องตระกูลชินวัตร ได้แก่ “เฮียโทนี-ทักษิณ” พ่วงด้วย “หนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ป.ป.ช.กลับ “ตีตก” แบบหักมุม ทั้งที่ปูเรื่องตั้งท่าจะเชือดมาโดยตลอด พูดง่ายๆ ตามภาษาพาดหัวข่าว คือ “ปล่อยผี” หรือไม่ อย่างไร
ก่อนหน้าจะมีการชี้มูล มีรายงานออกมาตลอด “3 พี่น้องตระกูลชินฯ” รอดยาก โดยเฉพาะการกัน “เสี่ยฮุก” บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ถูกฟันในภาคแรกจนถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ มาเป็น “พยาน” ในภาคนี้ พร้อมกับกระแสข่าวว่า มีหลักฐานเด็ดเป็น “เทปลับ” ที่ลากไส้ “3 พี่น้องตระกูลชินฯ” แบบดิ้นไม่หลุด แถมยังนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยได้อีกด้วย
แต่พอถึงวันจริง ไม่มีทั้ง “เทปลับ” และ 3 พี่น้องกลับถูกตีตกหมด ในเหตุผลที่ว่า ภาคแรกคนเหล่านี้ไม่มีใครถูกชี้มูลเลย การมาชี้ในภาคสองอาจย้อนแย้งกัน
คิวนี้ถูกจับตามองมาก เพราะ ป.ป.ช. ถูกมองมาตลอดว่า มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับคนในบ้านวงษ์สุวรรณ โดยเฉพาะ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.
เมื่อปล่อยผี “3 พี่น้องตระกูลชินฯ” จึงยากที่จะไม่ถูกโยงว่า เป็นการเปิดทางสู่การสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันระหว่าง “บ้านป่ารอบต่อฯ” กับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ในวันข้างหน้า
ขณะที่สูตรที่ 3 จะกลับมาเป็นเรื่องของ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” แต่เปลี่ยนจาก “ลุงตู่” ที่คอยคนประเคนเก้าอี้นายกฯให้ มาเป็น “เสี่ยหนู” ที่อาจสอดแทรกขึ้นถึงจุดสูงสุดทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า วันนี้สถานะ “ค่ายเซราะกราว” ไม่ใช่ “พรรครอเสียบ” เหมือนในอดีต แต่อัพเลเวลตัวเองขึ้นมาเทียบรุ่นเปรียบมวยรอดวลกับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่เพียงแต่ “พลังดูด” ที่ดึง ส.ส.ต่างค่ายมากองไว้ที่พรรคกว่าครึ่งร้อยชีวิต และยังน่าจะมีอีหลายลอตตามมาเท่านั้น ยังมีประกาศิตคำประกาศของ “น้าเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ครูใหญ่แห่งค่ายเซราะกราว ในวันคล้ายวันเกิดของตัวเองเมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค.65 ที่ผ่านมา กับการขอปั้น “ศิษย์เอก” ขึ้นเป็นนายกฯ กับเป้าหมาย 120 ที่นั่ง ส.ส.
ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วย “ขุมกำลัง” และ “ทรัพยากร” ที่มีอยู่ของ “ภูมิใจไทย” ยามนี้ ถูกยกให้เป็น “ความหวังหมู่บ้าน” ไปแล้ว ปรับเป้าหมายของตัวเอง จากพรรคอันดับ 3 ที่สามารถกระโดดไปซ้าย-ขวา ร่วมรัฐบาลกับใครก็ได้ มาเป็นผู้ท้าชอิงแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ส่ง “เสี่ยหนู” ขึ้นท้าชิงเข็มขัดนายกฯกับทั้ง “ลุงตู่-ลุงป้อม” เต็มตัว
เห็นได้จากการเปิดวาล์ว “พลังดูด” ควบคู่กับ “พลังดีล” แบบดุดันไม่เกรงใจใคร ไล่สูบ ส.ส.เกรดเอ-บี-ซี แบบเอาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง สะท้อนเป้าประสงค์ว่า ต้องการกวาด ส.ส.ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
แม้ว่า ส.ส.ต่างพรรคที่ดูดมาอาจจะไม่เข้าวินคว้าที่นั่งผู้แทนฯ ให้พรรคได้ แต่ก็เป็นการตัดกำลังคู่แข่งไปในตัว
โจทย์ของ “ค่ายเซราะกราว” ก็มีหลายด่านเหมือนกัน ด่านแรก ถือว่างานง่ายกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะ 25 ที่นั่งเพื่อตีตั๋วเสนอชื่อนายกฯ ไม่เหนือบ่ากว่าแรง “พรรคศิษย์ครูเน” แต่อย่างใด ฉะนั้น จึงข้ามไปที่การพา ส.ส.เข้าสภาฯ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ด่านที่สอง ต้องลุ้นให้ภารกิจแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยเป็น “แลนด์ไถล” เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลของขั้วตรงข้ามยากขึ้น ไม่ต้องถึงขั้นว่า ต้องมีมากกว่าพรรคเพื่อไทย แต่เตะตัดขาให้อีกฝ่ายง่อยมากที่สุด ซึ่งพรรคภูมิใจไทยสามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองตรงนี้ได้ โดยเฉพาะการไปแชร์เก้าอี้ในภาคอีสานฐานที่มั่นของ “พรรคสีแดง”
ในขณะเดียวกัน ยังต้องแอบๆ เอาใจช่วยให้ “ขั้วอนุรักษ์นิยม” มีหน้าตักที่รวมกันแล้วจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อให้ชอบธรรมในการรวบรวมเสียงแข่ง
ด่านที่สาม ต้องทำตัวเองให้มีเสียงมากที่สุดในขั้วนี้ มากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติของ “บิ๊กตู่” และพรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” และมากกว่าในทีนี้ต้องไม่ได้มากกว่าแบบหายใจรดต้นคอ แต่ต้องมากกว่าที่จะทำให้ทั้ง “2 ลุง” จะรู้สึกได้เองว่า ต้องยกเก้าอี้นายกฯ ให้ “เสี่ยหนู”
กรณีได้มากกว่าแบบไม่ทิ้งห่าง อาจจะถูกต่อรองเพื่อนำไปสู่สูตร “นายกฯ คนละครึ่ง” ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าทั้ง “2 ลุง” มีออปชั่นเรื่อง “พรรค ส.ว.” อยู่
แต่ในกรณีมากกว่า 2 ลุงหลายช่วงตัว โอกาสในการที่ “เสี่ยหนู” จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก็มีสูงขึ้นทีเดียว
กลายเป็น 3 สูตรตั้งรัฐบาลที่เป็นไปได้มากที่สุดตามหน้าเสื่อยามนี้ โดยที่ต้องไม่ลืมพูดถึง 2 ตัวละครสำคัญอย่าง “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ และ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่น่าจะฟันธงสถานะหลังเลือกตั้งได้ตั้งแต่หัววัน
กล่าวคือ พรรคประชาธิปัตย์ ดูแนวโน้มแล้วคงยังไม่ฟื้นจากพิษเลือกตั้ง 2562 โอกาสที่จะทำที่นั่งได้ 52 ส.ส.เท่าเดิม แทบเป็นไปไม่ได้ ในยุคที่ผู้นำพรรคยังชื่อ “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กระทั่งมีข่าวหนาหูว่าเกิด “กบฏ” ในพรรค ล่าชื่อกรรมการบริหารกดดันให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ก่อนจะเคลียร์กันได้เป็นการภายใน
แม้ว่าตามเบอร์แล้ว “คนค่ายสะตอ” อยากให้ต้นสังกัดกลับมาผงาดในฐานะผู้เท้าชิงแกนนำจัดตั้ง แต่ลึกๆ แล้ว “ระดับแกน” หลายคนก็อยากพรรคไม่โตไปมากกว่านี้ เพื่อคงสถานะไปซ้าย-ขวา ร่วมรัฐบาลกับใครก็ได้ เพราะรู้ดีว่า มีศักยภาพเพียงพอในการปั้นที่นั่ง ส.ส.เพื่อต่อรอง “กระทรวงเกรดเอ” โดยเฉพาะการต่อท่ออำนาจในแหล่งขุมทรัพย์ “กระทรวงพญานาค” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ได้อีกสมัย
จนพูดได้ว่า ไม่ว่าสูตรไหนก็ตาม “ค่ายสะตอ” วันนี้สามารถเข้าร่วมรัฐบาลได้ทุกสูตร กระทั่งสูตรที่มีคู่แค้นอย่าง พรรคเพื่อไทย ร่วมด้วยก็ตาม
แน่นอนว่า ใครตามการเมืองก็คงเชื่อว่า “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ร่วมงานกันไม่ได้เด็ดขาด เพราะอุดมการณ์ต่างกันแบบสุดขั้ว แถมในอดีตต่างฝ่ายยังเคยเล่นงานกันแบบไม่น่าจะเผาผีกันได้
แต่การเมืองไทยอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ อุดมการณ์ก็เรื่องหนึ่ง ปากท้องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดูอย่างเลือกตั้งรอบที่แล้ว “คน ปชป.” ประกาศความชัดเจนปาวๆ ว่า จะไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะไม่ต้องการเป็นนั่งร้านสืบทอดอำนาจให้ คสช.
ปรากฎเลือกตั้งเสร็จก็ทำเล่นตัวพอเป็นพิธี กระทั่งเดินเกม “เปลี่ยนหัว” ดีด “จารย์มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากหัวน้าพรรคไปแค่คนเดียว
อยู่ยงร่วมรัฐบาลมายาว 4 ปี กับการนั่งคล่อมกระทรวงใหญ่ ทั้งที่กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แบบที่ “นายกฯ ตู่” หลับหูหลับตา ปล่อยให้ “ทำงาน” แบบไม่บ่นสักแอะ แม้จะมีข่าวคราวส่งกลิ่นออกมาจาก 2 กระทรวงเรื่อยก็ตาม
เอาว่าที่มองสูตร “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ” ว่าพิสดารแล้ว แต่สูตรรัฐบาลที่มี “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ถึงพิสดารกว่าก็เป็นไปได้เช่นกัน
เพราะแม้ 2 ค่าย 2 ขั้ว จะร่วมรัฐบาลเดียวกัน แต่โอกาสที่นายกฯ จะไม่ได้มาจาก “ค่ายเพื่อไทย” ก็มีสูง “คนค่ายสะตอ” พลิกโวหารเล็กน้อยก็ร่วมงานกันได้ไม่มีปัญหา โดยมีหมายเหตุสำคัญตัวโตๆ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังต้องฉาบด้วย “สีฟ้า” อยู่
ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลต้องมี พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในสมการด้วย
ผิดกับ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่ฟันธงได้เลยว่า ไม่ว่าสูตรไหนก็ยังคงต้องไปทำหน้าที่ “ฝ่ายตรวจสอบ” โอกาสมีส่วนร่วมกับ “ฝ่ายบริหาร” ริบหรี่ จากจุดยืนทางการเมืองที่จ้อง “เล่นของสูง” ที่แม้ได้ใจ “แฟนคลับสามนิ้ว” แต่ในทางการเมืองไม่มีใครงอยากเดินด้วย
พูดกันถึงว่า 4 ปีที่ผ่านมา หากเลือกได้ พรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่อยากร่วมงานในฐานะฝ่ายค้านด้วยเลย จนได้เห็นว่า 2 พรรคที่ต่างเคลมว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” มีวิวาทะไฝว้กันหลายต่อหลายครั้ง
ล่าสุดมีการชงถามในสังคมออนไลน์ถึงความเป็นไปได้ในการร่วมรัฐบาลกันระหว่าง “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ไม่ทันไร ระดับแกนนำก็โพสต์แขวะกันเป็นที่ครื้นเครงของชาวโซเชียลฯ
ไม่ต้องพึ่งหมดดู ไม่ต้องเหนื่อยหมอเดา ฟันธงฉับตั้งแต่วันนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมรัฐบาลแน่นอน โดยมี พรรคก้าวไกล จับเจ่าเป็นฝ่ายค้านต่อไป
ส่วน “มวยหลัก” อย่าง “เพื่อไทย-พลังประชารัฐ-รวมไทยสร้างชาติ” จะอยู่ในสถานะไหน ก็อยู่ที่หลังเลือกตั้งแต่ละพรรคจะมีหน้าตักมาเกทับบลัฟกันบน “โต๊ะต่อรอง” เท่าไร
และไม่ว่าออกสูตรไหนนายกฯ คนต่อไป ก็จำกัดวงแค่ชื่อ “ตู่” หรือ “ป้อม” หรือ “หนู” เท่านั้น
ส่วนถ้าจะหลุดมาเป็น “ตัวตึง” อย่าง “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” ได้ มีสถานเดียวคือรวบรวม ส.ส.ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 376 เสียง
ดูไปดูมา ดูทรงแล้ว ไม่ว่าสูตรไหนก็ “อลเวงขั้นสุด” แถมเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็อาจ “สะดุด” ได้ตลอดเวลาเช่นกัน.