xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ชำแหละขบวนการ “ทุจริตสอบนายสิบ” ต้นทางแห่งความชั่วร้ายในกระบวนการยุติธรรมไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ลากไส้ขบวนการ “โกงสอบนายสิบ” พบขายโพยข้อสอบ 2 แสน - 5 แสนบาท สืบเส้นทางเชื่อมโยง “ตำรวจยศใหญ่” หลักฐานชี้ชัดนักเรียนนายสิบ 118 คน ทุจริตการสอบ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นวาระร้อนสะท้อนปัญหาระดับชาติที่รอการแก้ไข เหตุการโกงในทุกสนามสอบไม่เคยหายไป อีกทั้งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เท่าทันยุคสมัยอีกต่างหาก 

นับเป็นข่าวใหญ่ข่าวโตที่สะท้านกระบวนการยุติธรรมไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)” เลยก็ว่าได้ สำหรับกรณีการทุจริตข้อสอบในการสอบเข้า โรงเรียนนายสิบ  ของ  “ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 (ศฝร.ภ.9)” โดยต้นเรื่องเกิดจากโซเซียลมีเดียมีการแชร์ภาพโพยคำตอบข้อสอบนายสิบตำรวจ ซึ่งส่งผลทำให้ประเด็นทุจริตสอบนายสิบตำรวจเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างกว้างขวาง

สำหรับรายละเอียดการทุจริตและความคืบหน้าในการสอบเข้ารับราชการเพื่อเข้าไปเป็นตำรวจระดับนายสิบของศูนย์บังคับการฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 9 (ศฝร.ภ.9) พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 เปิดเผยว่า การทุจริตที่เกิดขึ้นเป็นการสอบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 ส่วนการสอบเข้าเป็นนายสิบตำรวจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 และมีการประกาศผลสอบเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ไม่ได้เกี่ยวกับการทุจริตที่เป็นข่าวอยู่

ทั้งนี้ การทุจริตในการสอบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 นั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผู้จ่ายเงินให้นายหน้าเพื่อซื้อข้อสอบและกลุ่มผู้จ่ายเงินที่สอบไม่ได้ เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสงขลา จากนั้นมีการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทั้งจากภาค 9 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนได้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง โดยผลการสอบพบว่าเป็นการทำเป็นขบวนการ ทั้งโรงเรียนกวดวิชา ทั้งกลุ่มนายหน้า และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับการสอบ ต่อมาได้นำนักเรียนที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยมาให้ทำข้อสอบใหม่ที่เป็นข้อสอบเดิม แต่ทำข้อสอบไม่ได้ และขยายผลจากเบาะแสผู้ที่ถูกจับกุมได้เป็นคนแรก จนรู้ถึงผู้ร่วมขบวนการ สถานที่นัดพบ รายชื่อการโอนเงินผู้เข้าสอบ เข้าบัญชีของใครบ้าง

เมื่อรวบรวมหลักฐาน มีการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นผู้จ่ายเงิน ผู้รับเงิน และเจ้าหน้าที่ของศูนย์บังคับการฝึกอบรม รวมถึงเจ้าหน้าที่หน่วยคุมสอบทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง พบหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการทุจริตจำนวน 118 คน และทางภาค 9 ได้ประกาศให้พ้นจากการเป็นนักเรียนนายสิบไปแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเลื่อนผู้ที่มีบัญชีรายชื่อสำรองเพื่อเข้าเป็นนักเรียนได้ เนื่องจากต้องรอผลคดีทุจริตในการสอบให้จบก่อน

ส่วนในการสอบนายสิบครั้งล่าสุด และมีการประกาศผลไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 ยังไม่มีการร้องเรียนว่าพบการทุจริต เพราะได้มีการสั่งให้มีการเข้มงวดในการสอบหลังพบการทุจริตในการสอบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม

และแน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมต้องร้อนไปถึงบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงและไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า การสอบแต่ละครั้งมีผู้สมัครจำนวนมากซึ่งอาจมีช่องโหว่ที่เกิดการทุจริตสอบ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะนำข้อผิดพลาดเหล่านี้มาดำเนินการแก้ไขในอนาคตเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้อีก พร้อมทั้งมอบหมายให้  พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี  ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และทีมสืบสวนเร่งคลี่คลายคดีนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

ทั้งนี้ การสืบสวนขยายผลพบหลักฐานการทุจริตสอบตำรวจฝ่ายอำนวยการ สังกัด กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5  โดยพบลักษณะผู้เข้าสอบบางส่วนมีคะแนนสูงเป็นกลุ่มก้อนคล้ายการทุจริตสอบนายสิบที่พบในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 9

“การทุจริตการสอบนายสิบของภาค 9 ใกล้เคียงกับภาค 5 คือได้ข้อสอบไปก่อนแล้วนำไปเฉลย เป็นการหลุดจากข้อเก็บข้อสอบนำไปเฉลยแล้วรีบกระจายไปยังเครือข่ายที่วางแผนเตรียมการไว้ ซึ่งมีตำรวจเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยและยังมีเครือข่ายเพราะต้องมีคนที่เก่งเฉลยข้อสอบด้วย อย่างไรก็ตามต้องรอความชัดเจนก่อนให้เวลาฝ่ายสืบสวนทำงาน หากพบหลักฐานการกระทำความผิดก็จะแจ้งความดำเนินคดีในขบวนการทั้งหมดเพราะมีการทำงานเป็นคณะ เข้าข่ายอั่งยี่ร่วมกันกระทำความผิด ถ้าเอาเอกสารไปจากห้องเก็บข้อสอบจะเข้าข่ายความผิดอาญาลักทรัพย์ ต้องดูพฤติการณ์ให้ชัดเจนก่อน” พล.ต.อ .ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ เปิดเผยข้อมูล

ด้าน  พล.ต.ต.ธรรมนูญ ประยืนยง  ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตามกฎหมายผู้ที่จ่ายเงินคือผู้เข้าสอบ 118 ราย ที่ถูกจำหน่ายจากสารบบการเป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ต้องเป็นผู้ต้องหาในการทุจริตด้วย การติดตามตัวการสอบสวนสืบสวนจึงต้องใช้เวลามากขึ้น และต้องมีการกันบุคคลบางกลุ่มเพื่อเป็นพยานบุคคลในคดีด้วย จึงไม่ใช่เรื่องง่าย มีการสืบสวนสอบสวนมาแล้วหลายเดือน จนเป็นข่าวฉาวเกิดขึ้น ทำให้ผู้ใหญ่ระดับสูงในส่วนกลางให้ความสำคัญ และสั่งให้มีการสอบเพิ่มในหลายประเด็ และหลายคน

(ซ้าย) ภาพข้อสอบจริง (ขวา) ภาพข้อสอบที่แชร์ในโซเชียลฯ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่สามารถเข้าแจ้งความได้ เนื่องจากมีคำสั่งจาก พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผช.ผบ.ตร. ซึ่งได้รับคำสั่งจาก ผบ.ตร.ให้เข้าควบคุมคดีนี้ สั่งการให้สอบผู้เสียหายและพยานเพิ่ม รวมถึงหาหลักฐานที่เป็นเส้นทางการโอนเงินในกลุ่มของผู้ที่อยู่ในขบวนการทุจริตทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่านี้

สำหรับเส้นทางการเงินกรณีทุจริตในการสอบเข้ารับราชการเพื่อเข้าไปเป็นตำรวจระดับนายสิบ ของ ศฝร.ภ.9 ความ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 สืบพบว่าเงินที่มาจากการขายข้อสอบจาก 2 บัญชี ที่ตรวจพบและเชื่อมโยงกันเกือบ 50 ล้านบาท อยู่ในบัญชีของ “น.ส.รุ่งทิพย์” ข้าราชการหน่วยงานหนึ่งใน จ.ตรัง ที่โอนเข้าบัญชีของ “ร.ต.อ.หญิง ลภันรดา” ที่มีความเกี่ยวพันเป็นน้องสาว และมีการโอนเงินระหว่าง “น.ส.รุ่งทิพย์” กับ สามีคือ “นายณิชธรรมรงค์” และสอบสวนพบว่า “นายณิชธรรมรงค์” มีอาชีพเป็น ติวเตอร์ ที่เป็นสถาบันติวเตอร์ชื่อดังใน จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีส่วนในการทุจริตหรือไม่

นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานและธุรกรรมการเงินยังสาวไปถึง “นายวุฒิภัทร” สามีของ “ร.ต.อ.หญิง ลภัสรดา” ด้วย และจากการหาหลักฐานทางการเงิน พบว่าบัญชีของ น.ส.รุ่งทิพย์ มีการปิดบัญชีกับธนาคารก่อนการสอบในวันที่ 27 มีนาคม 2565 เพียง 10 วัน ซึ่งอยู่ระหว่างหาหลักฐานว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีใคร โดยชุดสืบสวนพบจุดที่น่าสงสัยคือ รายชื่อของผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เป็นผู้ต้องหาทั้งหมด เป็นคนในพื้นที่ จ.สงขลา และสถานที่มีการจับผู้ทุจริตในการสอบก็อยู่ในพื้นที่ของ จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นขบวนการใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการสอบเข้าโรงเรียนนายสิบทุกครั้ง

ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับการทุจริตสอบตำรวจถือเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจมาก เพราะตำรวจถือเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันก็มีความชัดเจนว่าเรื่องนี้ทำกันเป็น “ขบวนการ” และมี “ผู้ใหญ่” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในทำนอง  “ถ้าหัวไม่ส่ายหางย่อมไม่กระดิก” 

ที่สำคัญคือ เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังก็จะพบว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เกิดขึ้นและดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการสอบเข้ารับราชการตำรวจระดับนายสิบทุกครั้งจะมีแก๊งที่เป็นนายหน้าในการติดต่อกับผู้เข้าสอบ โดยมีการนำบัญชีรายชื่อผู้เข้าสอบจากเจ้าหน้าที่ไปทำการศึกษา และติดต่อกับผู้สอบที่มีฐานะดี และเสนอการช่วยให้สอบได้ ด้วยการเรียกรับเงินค่าวิ่งเต้น ซึ่งอ้างว่าเป็นการซื้อคำเฉลยข้อสอบ ตั้งแต่ 200,000 - 500,000 บาทต่อราย

นอกจากนี้ ยังมีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า การจ่ายเงินเพื่อทุจริตการสอบเข้าเป็นตำรวจนายสิบไม่ได้จ่ายเท่ากันทุกคน บางคนที่รู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่สามารถวิ่งเต้นฝากฝังกับคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จะจ่ายน้อยหน่อย ตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท นอกจากนั้นหลังจากผ่านการสอบข้อเขียนยังต้องมีการวิ่งเต้นจ่ายเงินให้ขั้นตอนการสอบสมรรถนะ และการสอบสัมภาษณ์อีกต่างหาก ซึ่งบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองของผู้เข้าสอบยินยอมพร้อมใจจ่ายเพื่ออนาคตของบุตรหลาน บางคนกู้เงินมา บางคนเอาที่ดินไปจำนอง ซึ่งเป็นที่รู้กัน และเป็นช่องทางให้นายหน้าถือโอกาสเรียกรับเงินจากผู้เข้าสอบในทุกครั้ง

ยกตัวอย่างเช่นในคัดเลือกบุคคลภายนอกเป็นนายสิบตำรวจ ในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ปี 2559 ที่มีผู้สมัครเข้าสอบทั้งหมด 13,285 คน ก็ตรวจพบการทุจริต โดยผู้จ้างวานจะนัดผู้ทำหน้าที่เฉลยข้อสอบ และผู้จะลอกข้อสอบให้มาพบกัน เพื่อนัดแนะวิธีการกันให้เข้าใจก่อนเข้าสนามสอบ ก่อนจะให้ผู้ที่มีความรู้เข้าไปสอบปะปน และแอบเฉลยข้อสอบให้กับพวกของตนเองระหว่างการสอบ

หรือในปี 2555 ก็ตรวจพบการทุจริตสอบนายสิบตำรวจใน 2 สนามสอบใหญ่ๆ คือ ที่ชลบุรี และนครราชสีมา โดยมีผู้สมัครสอบกว่า 300,000 ขณะที่สามารถรับเข้าเรียนเพียง 10,000 คนเท่านั้น และถือเป็นการโกงข้อสอบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การสอบของวงการตำรวจ ซึ่งขบวนการโกงข้อสอบใน 1 ทีม จะประกอบไปด้วย 6 คน ต่อการทำงาน 1 สนามสอบ มีทั้งทีมจัดหาลูกค้า ทีมด้านไอที รับผิดชอบเรื่องการส่งสัญญาณเข้าเครื่องมือ และทีมทำข้อสอบ ทำหน้าที่เข้าไปสอบ และหาวิธีเอาคำตอบออกมา ขณะที่ผู้เข้าสอบก็ซุกซ่อนเครื่องรับสัญญาณระบบสั่นขนาดเล็ก ไว้ในอวัยวะเพศ และทวารหนัก เข้าไปในสนามสอบ ใช้สัญญาณมือถือแปลงเป็นสัญญาณวิทยุ มีคนนำเสาสัญญาณพกติดตัว ไปยืนบริเวณสนามสอบไม่เกิน 300 เมตร เพื่อส่งคำตอบด้วยระบบสั่น เข้าไปในเครื่องมือที่ซุกซ่อนไว้

หลังจากนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติพยายามหาวิธีป้องกัน ทั้งตัดสัญญาณโทรศัพท์ในสนามสอบ ให้สวมชุดวอร์มเหมือนกันเข้าสอบ ป้องกันการซุกซ่อนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ท้ายที่สุด ขบวนการทุจริตการสอบก็มักหากลวิธีโกงข้อสอบทุกปี

คำถามคือทำไมพ่อเเม่ผู้ปกครองถึงยอมจ่ายเงินหลักเเสน เพื่อให้ลูกหลานสอบเข้านายสิบตำรวจทั้ง ๆ ที่เข้าไปเงินเดือนก็น้อยหลักหมื่นต้นๆ เท่านั้น ที่สำคัญคือ ในปัจจุบันก็ยังมีคนสมัครนายสิบตำรวจจำนวนหลายหมื่นคน ทั้งๆ ที่เปิดรับเพียงหลักพันเท่านั้น

คำตอบก็คือเป็นเพราะสังคมไทยอยากให้ลูกหลานรับราชการตำรวจ ด้วยเชื่อว่านอกจากจะมีการงานที่มั่นคงเฉกเช่นเดียวกับข้าราชการในกระทรวง ทบวง กรม อื่นๆ แล้ว ยังเป็นอาชีพที่สามารถหาเงินหาทองได้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น จึงยอมเพื่อแลกกับอนาคตลูกหลานถือว่าคุ้มและกลายเป็นช่องว่างให้ขบวนการทุจริตการสอบเข้ามาหาแสวงหาผลประโยชน์

 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ  เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ”  อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้สัมภาษณ์ว่า การโกงข้อสอบตำรวจเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ในช่วงยุคที่ตนเองเป็นตำรวจมีการโกงข้อสอบโดยการให้คนอื่นมานั่งสอบเเทน ยกตัวอย่างเช่น ลูกหลานของผู้หลักผู้ใหญ่ ยากเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เเต่ไม่เก่งก็ไปจ้างนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยดังมาสมัครในช่วงระยะเวลาเดียวกันเพื่อจะได้ที่นั่งสอบใกล้กัน พอเข้าห้องสอบก็เขียนชื่อสลับกัน เป็นต้น

ด้าน  พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อดีตผู้บังคับการกองปราบปราม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระบวนการทุจริตในการสอบของตำรวจมีมานานแล้ว และทำกันจนเป็นเรื่องปกติ ในอดีตที่ตนอยู่ในวงการตำรวจ ก็รับทราบถึงวิธีการทุจริตมากมาย เช่น การให้เข้าสอบแทนกัน โดยมีบุคคลที่เป็นหัวกะทิ ทำหน้าที่เป็น  “มือสอบ”  ใช้วิธีการหลายรูปแบบ ตั้งแต่เข้าห้องสอบเพื่อจำข้อสอบแล้วกดรหัสมอร์สส่งเข้าไปให้ผู้เข้าสอบผ่านนาฬิกาหรือโทรศัพท์ หรืออาจจะนั่งสอบอยู่ด้วยกันแล้วใช้รหัสมือในการส่งสัญญาณมาทีละคำตอบ หรือการรับจ้างเข้าไปสอบโดยทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง จะเขียนชื่อและรหัสผู้สอบลงบนข้อสอบสลับกัน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตที่เป็นแพ็คเกจใหญ่ ที่มีการนัดแนะลูกค้าอย่างเป็นระบบ ทั้งขั้นตอนการส่งรหัสสัญญาณ การใช้อุปกรณ์ ไปจนถึงการขโมยข้อสอบออกมาผ่านการซื้อตัวผู้ออกข้อสอบ ซึ่งโดยปกติจะถูกนำตัวไปกักบริเวณแล้วให้ออกข้อสอบแยกกัน

พล.ต.ต.สุพิศาล ระบุว่า แม้ปัจจุบันจะมีการตรวจสอบป้องกันการทุจริตการสอบที่เข้มงวดรัดกุมขึ้นแล้ว เช่น การให้ใส่แต่กางเกงวอร์มที่ไม่มีกระเป๋าเข้าห้องสอบ การมีอุปกรณ์ตรวจจับเครื่องมือทุจริต หรือการยึดเอาโทรศัพท์และนาฬิกาไว้ แต่การทุจริตก็ยังเกิดขึ้นได้จากวิธีการใหม่ๆ ของขบวนการทุจริต และโดยเฉพาะเมื่อผู้คุมสอบเป็นพวกเดียวกัน ก็จะเกิดการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเกิดขึ้น

ทั้งนี้ ข้อเสนอนโยบายของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจและการป้องกันการทุจริต ที่มีหลักการสำคัญว่าตำรวจต้องยึดโยงกับประชาชน ตรวจสอบได้โดยประชาชน และมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ จะสามารถนำไปสู่การบรรเทาปัญหาการทุจริตเช่นนี้ลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีสัดส่วนมาจากทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลในสภา หรือการมีคณะกรรมการนโยบายความปลอดภัยสาธารณะจังหวัด ที่จะมีสัดส่วนจากภาคประชาชนและท้องถิ่น ร่วมในกระบวนการอนุมัติการแต่งตั้งผู้บังคับการจังหวัดที่จะมาประจำในพื้นที่ รวมทั้งการปรับให้ความก้าวหน้าทางอาชีพของตำรวจทุกคนมีความเป็นธรรม เช่น การให้นายตำรวจชั้นประทวนที่จบการศึกษาปริญญาตรี ได้สิทธิเลื่อนยศเป็นชั้นสัญญาบัตรก่อนกลุ่มอื่น การเปิดรับคนทุกเพศเข้าเรียนนายร้อยตำรวจ การรับประกันว่าตำรวจทุกเพศจะได้รับโอกาสเลื่อนขั้นตำแหน่ง รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลรัฐเกี่ยวกับกระบวนการสอบที่สามารถเปิดเผยได้ เป็นต้น

“ที่ผ่านมาการสอบต่างๆ ของตำรวจทำกันแบบกระมิดกระเมี้ยน แอบสอบ หรือปิดห้องสอบเฉพาะสำหรับบางสายทักษะ ทำให้ได้แต่คนที่กินสินบาทคาดสินบนมาอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สังคมตำรวจถึงเน่าเฟะแบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เราจึงต้องทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเปิดเผยและให้มีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้นายตำรวจที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ทุจริต ไม่อยู่ในอาณัติของใครมาทำหน้าที่” พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว

ถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า การทุจริตสอบตำรวจนับเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐต้องหาทางออกโดยเร่งด่วน และคงต้องติดตามกันว่าจะมีการสืบสวนขยายผลไปถึงใครบ้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น