xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่านโยบายค่าแรง “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” ป.ตรีสองหมื่นห้า ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท แค่ “ขายฝัน” ก็เห็น “ปลายทาง” ที่ยากเป็นจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน ของพรรคเพื่อไทย เพียงแค่เริ่ม “ขายฝัน” ก็เห็นๆ กันว่า ยากยิ่งที่จะกลายเป็นความจริงได้ และพรรคที่รู้ดีที่สุดก็คือ “พรรคพลังประชารัฐ” เพราะเคยประกาศจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400-425 บาท/วัน ในช่วงหาเสียงสมัยเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังห่างไกลจากสิ่งที่เคยว่าไว้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องที่ทำได้ตามลำพังโดยรัฐบาล ยิ่งเมื่อกลุ่มนายจ้างทุนน้อย-ใหญ่ ไม่เอาด้วย หวั่นแข่งขันไม่ได้ตายยกเข่ง ยิ่งเป็นจริงได้ยาก 

แต่จะมีใครยังเคลิ้มหลงเชื่อลมปากนักการเมืองอยู่อีกหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะเมื่อถึงฤดูกาลหาเสียง พรรคการเมืองใหญ่ก็งัดเรื่องนี้ขึ้นมาขายฝันกันอีก เพราะต้องไม่ลืมว่าจำนวน “ผู้ใช้แรงงาน” ของไทยนั้น มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ปี 2564 ประเทศไทยมีกำลังแรงงานรวม 38.7 ล้านคน จำนวนนี้คือคะแนนเสียงจำนวนมากของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น หลายพรรคการเมืองจึงทยอยออกนโยบายเพื่อเอาใจกลุ่มแรงงาน

คราวนี้ “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะทำงานด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลูกสาวสุดเลิฟของ “โทนี่ วู้ดซัม” หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คิกออฟนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาท เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ในวันประชุมวิสามัญประจำปี 2565 ของพรรคเพื่อไทย

หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศจะ “รดน้ำที่ราก” ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี จากปี 2566-2570 และถ้าหากได้เป็นรัฐบาลจะใช้ทักษะสร้างสรรค์ซอฟต์พาวเวอร์ ( Soft Power) ทำให้คนไทยมีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 2 แสนบาท ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง มีรายได้รวมกันปีละ 4 ล้านล้านบาท และปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมศักดิ์ศรี คือไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป เรียกเสียงฮือฮาและวิพากษ์วิจารณ์ตามมาสนั่นเมือง

ที่สำคัญคือ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะพรรคพลังประชารัฐเคยนำมาใช้ในการหาเสียงเมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมาแล้ว โดยประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 400-425 บาท ทั่วประเทศ ทว่า ไม่สามารถทำได้ ด้วยข้ออ้างเกิดวิกฤตโรคโควิด-19 ระบาด ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่รับฟังได้ กระทั่งมาถึงวันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค. 2565 กลุ่มผู้ใช้แรงงานเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 492 บาท ทั่วประเทศ ซึ่งคณะกรรมการไตรภาคีโดยทางฝั่งนายจ้างไม่เอาด้วย และในที่สุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2565 เคาะตัวเลขขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 328 - 354 บาท/วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565




สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งประกาศใช้ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มี 9 อัตรา โดยสูงสุดอยู่ที่ 354 บาท 3 จังหวัด ชลบุรี ระยอง และภูเก็ต ค่าจ้าง 353 บาท มี 6 จังหวัด กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ค่าจ้าง 345 บาท มี 1 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ค่าจ้าง 343 บาท มี 1 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ค่าจ้าง 340 บาท มี 14 จังหวัด คือ ปราจีนบุรี หนองคาย อุบลราชธานี พังงา กระบี่ ตราด ขอนแก่น เชียงใหม่ สุพรรณบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ลพบุรี และสระบุรี

ค่าจ้าง 338 บาท มี 6 จังหวัด คือ มุกดาหาร กาฬสินธุ์ สกลนคร สมุทรสงคราม จันทบุรี และนครนายก ค่าจ้าง 335 บาท มี 19 จังหวัด คือ เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี บึงกาฬ ชัยนาท นครพนม พะเยาสุรินทร์ ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย พัทลุง อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก อ่างทอง สระแก้ว บุรีรัมย์ และเพชรบุรี ค่าจ้าง 332 บาท มี 22 จังหวัด คือ อำนาจเจริญ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ตรัง ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู อุทัยธานี ลำปาง ลำพูน ชุมพร มหาสารคาม สิงห์บุรี สตูล แพร่ สุโขทัย กำแพงเพชร ราชบุรี ตาก นครศรีธรรมราช ชัยภูมิ ระนอง และพิจิตร และ ค่าจ้าง 328 บาท มี 5 จังหวัด คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส น่าน และอุดรธานี

จะเห็นได้ว่า กว่ารัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำข้างต้นก็ใช้เวลายาวนาน จากครั้งสุดท้ายที่มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2563 ดังนั้น ทันทีที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะลากค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปถึงวันละ 600 บาท ฟากฝั่งนักธุรกิจ นักลงทุน ต่างออกโรงค้านประสานเสียงไม่เห็นด้วยทันที

 นายธนิต โสรัตน์  รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า การผลักดันเศรษฐกิจเติบโต ปรับขึ้นค่าแรง ค่าจ้าง ให้สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังกังขาว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ หากดำเนินถือเป็นการทำลายโครงสร้างไตรภาคี

“ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นการพิจารณาของไตรภาคีถึงแม้บางครั้งภาคการเมืองจะเข้ามาก็ต้องชี้นำอยู่ในไตรภาคี การประกาศนโยบายเช่นนี้จะทำลายโครงสร้างค่าจ้างที่เกี่ยวข้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ความสามารถของนายจ้าง และความเดือดร้อนของลูกจ้าง และไม่ชัดเจนว่าเป็นนโยบายของพรรคหรือขัดต่อกฎหมาย กกต.ที่แทรกแซงไตรภาคีคณะกรรมการค่าจ้างหรือไม่ แต่อาจทำให้หลายพรรคการเมืองนำไปใช้ หากเป็นจริงประเทศไทยอาจสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุนและการส่งออก ผลดีจะตกไปอยู่กับประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียซึ่งจะส่งสินค้าราคาถูกกลับเข้ามาขายในประเทศ” นายธนิตกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2555-2556 พรรคเพื่อไทย สมัยนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ เป็นการปรับแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 141 บาท หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 70-88 ซึ่งนักลงทุนมองว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุนและส่งออก เพราะต้นทุนค่าแรงปรับเพิ่มขึ้น

 ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์  รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนให้ทุกพรรคการเมืองนำเรื่องการขึ้นค่าแรงมาหาเสียงทางการเมือง เพราะเกี่ยวพันไปทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การส่งออก การท่องเที่ยวบริการ ก่อสร้าง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับแรงงาน

“เมื่อปี 54 มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ทำให้โครงสร้างค่าแรงบิดเบี้ยวและกระทบต่อผู้ประกอบการที่ใช้แรงงานอย่างมหาศาล การหาเสียงโดยไม่มีตรรกะ ไม่มีหลักการและวิชาการรองรับเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมว่าการขึ้นค่าแรงมีระบบระเบียบอยู่แล้ว” รองประธานหอการค้าฯ กล่าว ทั้งยังฝากย้ำถึงทุกพรรคการเมืองอย่านำเรื่องนี้มาหาเสียง เพราะคนหาเสียงไม่ได้จ่าย แต่คนจ่ายไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแต่ต้องมารับผลพวงที่เกิดขึ้น

 นายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. กล่าวในทำนองเดียวกันว่า เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวดีจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การพิจารณาปรับค่าจ้างจึงต้องมองทุกมิติ ทั้งในมุมของนายจ้างและลูกจ้าง กรณีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ต้องยอมรับว่าช่วงแรกกลุ่มเอสเอ็มอีปรับตัวค่อนข้างลำบาก ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางรายก็ปรับย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน นโยบายทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันเฉลี่ย 328-354 บาทต่อวัน จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้อาจปรับตัวไม่ทัน

ประธาน กกร. ยังประเมินว่า ปีหน้า 2566 ธุรกิจขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอี ยังคงมีปัญหาด้านรายได้และสภาพคล่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว อัตราเงินเฟ้อสูงทั่วโลก และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งประเทศไทยยังมีหลายธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้นทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และภาคบริการ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้กลุ่มเอสเอ็มอีเลิกกิจการเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว ส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ คงต้องทบทวนแผนการจ้างงาน หรือชะลอการลงทุนในระยะสั้น หรือนำเอาเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงาน การลงทุนตรงจากต่างประเทศอาจชะลอลงเพราะต้นทุนค่าแรงของไทยสูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและคู่แข่ง ซึ่งจะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นอกจากนี้ แรงงานที่มีทักษะสูงในปัจจุบัน ต่างมีค่าจ้างที่สูงและมีความเหมาะสมอยู่แล้ว จึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะให้กับแรงงานที่ยังคงมีทักษะไม่สูงมากนัก และเพิ่มผลิตภาพแรงงานเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบันควบคู่ไป และควรคำนึงถึงแรงงานที่ได้รับผลประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากแรงงานปัจจุบันไทยอาศัยแรงงานต่างด้าวภาคการผลิตและอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ทำให้ความมุ่งหวังของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อแรงงานไทยมากเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม กกร.ยังเห็นว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามภาวะของสถานการณ์เศรษฐกิจ และขึ้นอย่างมีขั้นมีตอนยังคงมีความจำเป็นหากได้มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน การขึ้นค่าแรงที่เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในภาพรวม และการปรับขึ้นควรให้สอดคล้องกับการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้และการพัฒนาทักษะของลูกจ้าง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและลดความเหลื่อมล้ำ




 ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายค่าแรง 600 บาท/วันในปี 2570 เป็นประเด็นที่จะกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่พึ่งพาแรงงานสูง โดยการทยอยขึ้นทุกปีจากฐานปัจจุบันที่ 354 บาทต่อวัน เป็น 600 บาทต่อวันในปี 2570 จะคิดเป็นอัตราเพิ่มเฉลี่ยปีละ 14% ซึ่งผลการศึกษาของโนมูระ พบว่าค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 7% จะกระทบกำไรตลาด -7.45 พันล้านบาท ดังนั้นหากมีการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยปีละ 14% เท่ากับว่าจะกระทบกำไรตลาดปีละ -1.49 หมื่นล้านบาท

เฉกเช่นเดียวกับ “ชาลี ลอยสูง” ที่ปรึกษาคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ซึ่งต่อสู้เรียกร้องสิทธิให้กับภาคแรงงานมาโดยตลอด ที่มองว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่สูงเกิน ก็อาจไม่ใช่ผลดีกับแรงงานเสมอไป

“สิ่งที่เราได้เป็นเหมือนยาพิษ เพราะหากอยากปรับค่าแรงขั้นต่ำ พอปรับขึ้นมาแล้ว ก็มีผลกระทบกับพวกเรากันเอง มีการปลดพนักงาน มีการเลิกจ้าง ลดคนงานจนไปถึงการปิดบริษัท สุดท้ายภาพแรงงานก็ตาย”

ที่น่าสนใจคือ ทุกครั้งที่มีกระแสการจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ค่าครองชีพก็จะปรับเพิ่มนำหน้าไปก่อนแล้ว ข้าวของต่างๆ ก็ทยอยขึ้นราคา สุดท้ายก็ต้องขอให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำอีก และกว่าจะได้รับการปรับขึ้น ค่าครองชีพก็เพิ่มขึ้นไปแล้ว 2-3 เท่า

แน่นอน แม้นโยบายขายฝันค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทจะไม่ได้รับการตอบรับจากแทบทุกภาคส่วน แต่นักวิชาการสายแรงงานอย่าง  ศ.ภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์แรงงาน มีมุมมองที่น่าสนใจผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นผลของการใช้อำนาจต่อรอง โดยไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าลูกจ้างจะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าแรงเท่าไหร่ ซึ่งอันที่จริงควรคำนึงถึงลูกจ้างก่อน แล้วรัฐบาลจึงเข้าไปช่วยเหลือนายจ้างในกรณีที่จำเป็น โดยเลือกช่วยเหลือเฉพาะกิจการที่มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจ หากเป็นกิจการที่ไม่ตอบสนองกับความต้องการของตลาด ไม่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจก็ไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องปล่อยให้เจ๊งไป ให้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเครื่องมือคัดเลือกว่าธุรกิจไหนควรจะอยู่ควรจะไป

สำหรับโครงสร้างการขึ้นค่าแรงปัจจุบันที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีจากสามฝ่ายคือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาลนั้น นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์แรงงาน ชี้ว่าไม่ใช่ตัวแทนของนายจ้าง ลูกจ้าง ที่แท้จริง แต่เป็นสมาคมที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ เช่น สภาหอการค้า สมาคมอุตสาหกรรมฯ สมาคมธนาคารไทย ที่เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการไตรภาคี โดยรัฐบาลเป็นฝ่ายคัดเลือกกลุ่มองค์กรที่สามารถเจรจากันได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการไตรภาคี ยกตัวอย่าง การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่ปรับจากวันละ 215 บาท เป็น 300 บาท สะท้อนว่ารัฐบาลสามารถสั่งได้ คณะกรรมการไตรภาคีจึงเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองเพื่อรองรับนโยบายทางการเมือง

กรณีที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาทนั้น ศ.ภิชาน แล บอกว่าหากเป็นนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงก็ต้องทำให้ได้ หากทำไม่ได้ย่อมเสียเครดิตต่อพรรค ซึ่งการที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเกรงใจกลุ่มทุนมากน้อยแค่ไหน หรือกลุ่มทุนมีอิทธิพลต่อรัฐบาลมากน้อยแค่ไหน จะเห็นประโยชน์ของลูกจ้างหรือนายจ้างเป็นหลัก จะกล้าลุยไฟในประเด็นที่กลุ่มทุนคัดค้านหรือไม่ ซึ่งค่าแรงมีสัดส่วนเป็นต้นทุนการผลิตเพียง 10% กว่าๆ เท่านั้น ตอนที่ปรับค่าแรงเพิ่มเป็น 300 บาทต่อวัน ก็ไม่ได้เกิดปรากฏการณ์ธุรกิจเจ๊งกันระนาวแต่อย่างใด

ส่วนการย้ายฐานการผลิตของกลุ่มทุนจากไทยไปประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า ต้นทุนถูกกว่า ไม่เสียภาษีส่งออก มีกำไรมากกว่า ถือเป็นเรื่องธรรมดาของทุน การจะลดค่าแรงเพื่อไปแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านจึงไม่จำเป็นต้องทำเนื่องจากเราพัฒนามาก่อน ต้องยกระดับฝีมือแรงงานขึ้นไปอีกขั้น

 ไม่ว่านโยบายขายฝันค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท จะเป็นไปได้จริงหรือไม่ หนทางยังอีกยาวไกล สเตปแรกพรรคเพื่อไทยต้องกวาดคะแนนแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินให้ได้เสียก่อน ส่วนจะทำให้เป็นจริงได้หรือไม่ “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” บอกแล้วว่า เป้าหมายอยู่ที่ปี 2570 แปลไทยเป็นไทยก็คือ ต้องให้เพื่อไทยเป็นรัฐบาลจนครบวาระ นโยบายขายฝันจึงจะเป็นความจริง แต่เพียงแค่ “เฉพาะหน้า” ณ เวลานี้ “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” ก็เสียรังวัดไปโขเลยเดียว  


กำลังโหลดความคิดเห็น