xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ห้องแอร์ในตำนานทำ “คุณหนูแพทองธาร” แลนด์ไถล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จัดแบบเต็มคาราเบลกันเลยทีเดียว สำหรับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ใช้เวทีประชุมใหญ่วิสามัญประจำปีเปิด “พิมพ์เขียว” นโยบาย 10 ด้าน ที่จะใช้หาเสียงในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า พร้อมเปลี่ยนสโลแกน-มอตโต้ที่ใช้มาช่วงหลังอย่าง “พรุ่งนี้…เพื่อไทย” มาเป็น “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน”

“ภายในปี 2570 ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย หากบริหารประเทศนาน 4 ปี ที่ผ่านมา ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ให้กับประชาชน คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง” เป็นคำประกาศของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บนเวทีวันนั้น

สำหรับนโยบาย 10 ด้าน ที่ประกาศออกมานั้น ที่น่าสนใจก็มี อาทิ ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ย 5% ต่อปี, ส่งเสริมทักษะสร้างสรรค์ Soft Power ด้านต่างๆ, ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวันเงินเดือนปริญญาตรี 2.5 หมื่นบาท ภายในปี 2570, แก้ไขปัญหาหนี้สิน ไม่ใช่แค่พักหนี้ แต่ล้างหนี้ให้หมด, ส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเกษตรหรือ Agritech, สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาทต่อปีภายในปี 2570, ใช้บัตรประชาชนใบเดียวรับบริการด้านสาธารณสุขทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ด้วยการเชื่อมข้อมูลสุขภาพไว้บนศูนย์ข้อมูล (Cloud), ผลักดันโรงเรียน 2 ภาษาทุกท้องถิ่น เป็นต้น

นอกจากนี้ยังได้ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ โดยนายกรัฐมนตรีต้องมาจากประชาชน กระจายอำนาจ–งบประมาณไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้นด้วย

“ในปี 2570 พรรคเพื่อไทยรับใช้ประชาชน ด้วยการทำให้นโยบายทั้งหมดเป็นจริง ไม่มีการย้ายประเทศ มาพร้อมใจกันเปลี่ยนผู้นำง่ายกว่า ช่วงเวลา 4 ปีจากนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอีกครั้ง การเมืองที่มีเสถียรภาพเท่านั้นที่จะทวงคืนเวลา 1 ทศวรรษที่หายไปของเราทุกคนกลับมา” แพทองธาร ว่าที่แคนดิเดตนายกฯคนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ว่าไว้
เมื่อประมวลนโยบายของพรรคเพื่อไทยทั้งหมดแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นแค่ “เหล้าเก่าในขชวดใหม่” หลายเรื่องเป็นเพื่อการตัด-แต่ง-ต่อ-เติม จากนโยบายเก่าๆ “ยี่ห้อทักษิณ” ทั้งจากสมัยไทยรักไทย-พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยยุค “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้น

อีกทั้งการเปิดฟลอร์ประกาศนโยบายวันนั้นของพรรคเพื่อไทย ก็ต้องถือว่า “จืด” พอสมควร เพราะมีการปรับแผนกระทันหัน จากเดิมที่วางไว้ว่า จะถือโอกาสเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ทว่า ก็ “สะดุด” ประเด็นร้อนฉ่า ที่โดนเปิดโปงว่า “นายทุนจีนสีเทา” เครือข่าย “ตู้ห่าว” หอบเงินสดไปเหมาซื้อบ้านหรูในโครงการของ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล “ชินวัตร”


ที่สำคัญ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ลูกสาวคนเล็กของ “นายใหญ่ดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร ยังมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของเอสซี แอสเสทฯ เสียด้วย
แผนการที่เตรียมเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ พ่วงด้วยนโยบายพรรค ให้เปรี้ยงปร้างก็เลยต้องพับไปเสียก่อน

ขณะที่มอตโต้ใหม่อย่าง “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน” ที่ประยุกต์มาจาก “คิดใหม่ ทำใหม่” ครั้งพรรคไทยรักไทย ที่หวังตีปิ๊บให้สนั่นประเทศ ก็ยัง “แป้ก” หลังโดน “ดรามาค่าแรง” กลบเสียสนิท

เป็นดรามาค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน ที่นำมาซึ่งคำถามว่า ทำได้จริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ลูกไม้เกทับตัวเลขให้เยอะเข้าว่าเพื่อบลัฟรัฐบาลเท่านั้น

เพราะต้องไม่ลืมว่า ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบันอยู่ที่เพียง 300 กว่าบาทเท่านั้น การประกาศขึ้นค่าแรงขึ้นเกือบเท่าตัว ก็ไม่ต่างจากการทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำร้ายนายจ้างผู้ประกอบการ กะอีแค่ค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาทของพรรคพลังประชารัฐที่กาเสียงไว้ ผ่านมา 4 ปีป่านนี้ยังไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ

คนที่ฟาด “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” อย่างฉับพลันแล้วกลับกลายเป็นกระแสตีกลับในภายหลัง ก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่บอกว่า “ต้องไปดูว่าทำได้จริงหรือเปล่า การจะทำโน่นทำนี่มันไม่ง่ายนักหรอก วันนี้เราก็ทำโครงสร้างต่างๆ มากมายเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคตก็ต้องดูว่ามีผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่า การจะเพิ่มค่าแรงก็ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี ต้องดูว่านักลงทุน ผู้ประกอบการจะรับไหวไหม วันนี้ค่าแรงก็มีความแตกต่าง แรงงานที่มีฝีมือค่าแรงก็สูงกว่า 600 บาทต่อวัน”

ส่วนค่าจ้างผู้ที่จบปริญญาตรี 25,000 บาท “นายกฯลุง” ก็ตอบแบบถามกลับว่า “...เอาเงินมาจากที่ไหนล่ะ ถ้ามีเงินก็โอเค เท่าไรก็ได้ วันนี้เราอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาทุกอย่างเพื่อเพิ่มจีดีพีให้กับประเทศ อย่าลืมว่าเราต้องมีค่าใช้จ่ายประจำ ค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแล กลุ่มเปราะบาง คนพิการ ซึ่งมากพอสมควร ดังนั้น ถ้าจะทำตรงนี้ให้มากขึ้นก็ต้องทยอยดำเนินการไปพร้อมๆ กับการหารายได้”

ทาง “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ออกมาร่วมขย่มโดยโพสต์ว่า “เพื่อไทย” หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งยังจะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศเพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย

ตามมาด้วย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพนก.) ที่ชี้ว่า หากมองย้อนกลับไปในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้ว การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของไทยจาก 225 บาท/วัน เป็น 300 บาท/วัน ทำให้มีการย้ายทุนญี่ปุ่น เกาหลี ย้ายฐานจากไทยไปเวียดนาม ซึ่งกลุ่มที่น่าห่วงที่สุดหากปรับขึ้นค่าแรงคือเอสเอ็มอีหรือผู้ประกอบการขนาดเล็กขนาดกลางจะตายหมู่ จากหลายปัญหารุมเร้าทั้งทุนใหญ่ผูกขาด ตลาดฝืดหลังยุคโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ เอสเอ็มอี 3-4 ล้านราย หากเจอค่าแรงขั้นต่ำสูงขึ้นไปอีกคงไม่รอด

ขนาด “เจ๊ไก่” ทิพา ปวีณาเสถียร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ลำปาง เขต 1 พรรคก้าวไกล เจ้าของธุรกิจโรงน้ำแข็งใน จ.ลำปาง ยังโพสต์ข้อความว่า “ค่าแรงในลำปาง ปี 54 จาก 156-กระโดดเป็น 300, 310, 315-SME ตายเป็นเบือ! ถ้าจาก 315-ขยับเป็น 600-ฉันก็คงไม่รอด” ก่อนที่ “ยานแม่” อย่างพรรคก้าวไกล ต้องออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ของพรรคก้าวไกลขออภัยแทบไม่ทัน โบ้ยว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ

เมื่อคู่แข่งทางการเมืองเบอร์ใหญ่ออกมาฟาดลูกสาวสุดเลิฟ ทาง “โทนี่ วู้ดซัม” - นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปั้นสโลแกนพรรคไทยรักไทยจาก “คิดใหม่ ทำใหม่” มาถึงเพื่อไทย “คิดใหญ่ ทำเป็น” ก็ออกโรงซัพพอร์ตนโยบายขายฝันของ “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” ว่า ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าหากเพื่อไทยแลนด์สไสด์ทั้งแผ่นดิน ได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ 4 ปี มีโอกาสดันเศรษฐกิจเติบโต ร่ำรวยกันถ้วนหน้า ค่าแรงขั้นต่ำที่ขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปและคาดจะพุ่งทะยานไปถึงวันละ 800 บาท ก็ยังไหว

ทว่า ก็มิได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างใด

ร้อนถึง “มาดามอุ๊งอิ๊ง” ที่วันนี้ต้องยกสมญา “คุณหนู 600” ให้ ต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงอีกครั้งว่า นโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่ประกาศไปนั้น เป็นการคำนวณจากอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจปีละ 5% ซึ่งมีข้อแม้สำคัญว่า พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลถึงปี 2570

“วันนี้ค่าแรงขึ้นเป็น 600 บาทยังคิดไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี เมื่อเศรษฐกิจดีทั้งระบบแล้วจะไปโดยธรรมชาติของเศรษฐกิจเอง” คือคำชี้แจงของ “แพทองธาร” ที่ถูกมองว่า เป็นคำชี้แจงที่เข้าข่าย “ออกลูกพลิ้ว-เล่นลิ้น” ทางการเมือง

เมื่อการคิกออฟนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของ “คุณหนูอุ๊งอิ๊ง” เจอแรงต้านจนซวนเซ “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย หนึ่งในทีมงานคนสำคัญของ “นักรบห้องแอร์” ที่มีอิทธิพลสูงในพรรคและมีส่วนสำคัญในการทำคลอดนโยบายดังกล่าวออกมา จึงจำต้องออกโรงมาช่วย “คุณหนู 600” อย่างไม่รอช้า เพราะเรื่องค่าแรงที่คิดค้นออกมาแทนที่จะช่วยให้พรรค “แลนด์สไลด์” ก็กลับกลายออกไปในทรง “แลนด์ไถล” เสียมากกว่า

“หมอมิ้ง” อธิบายว่า “การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะดำเนินการเป็นขั้นตอน เราตระหนักดีว่ามีหลายท่านวิจารณ์ว่าเราทำลายโครงสร้างทางธุรกิจ ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะเราตระหนักดีว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องของนายจ้างกับลูกจ้าง และมีรัฐบาลดูภาพรวมเพื่อให้ประเทศเดินต่อได้ โดยเราจะต้องขยับไปด้วยกันเป็นขั้นตอน สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้เกิดรายได้ก่อน”

“สิ่งที่เราเคยแถลงมาแล้วเป็นไปได้แน่นอน เนื่องจากเราเคยทำมาแล้วในอดีต และขอให้มั่นใจว่าเราจะต้องเติบโตไปด้วยกัน” นพ.พรหมินทร์ กล่าวและว่าวันนี้เราเริ่มวางแผนแล้วว่าต้องทำอะไรบ้างเพื่อจะทำให้เศรษฐกิจโต เมื่อเศรษฐกิจโตแล้ว จึงจะสามารถปรับค่าแรงขั้นต่ำได้ เราเป็นคนมีเหตุผลไม่ทำร้ายกลไกเศรษฐกิจพังทลายด้วยคำหวานๆ ที่ไปหาเสียงแบบคนอื่นทำ

ส่วนกรณีที่ภาคธุรกิจและสภาองค์การนายจ้างฯ แสดงความกังวลต่อเรื่องนี้ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ข่าวที่ออกมามีข้อเดียว แต่ความจริงเราจะขยับเศรษฐกิจทั้งระบบให้โตเฉลี่ยปีละ 5%

ฟังคำอธิบายจาก 1 ใน 3 หัวหอก “นักรบห้องแอร์” แล้ว นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ “คุณหนู 600” ดีขึ้นแล้ว มิหนำซ้ำยังทำให้ภาพลักษณ์ของ “ทีมงานนักรบห้องแอร์” ที่เดิมก็ติดลบในสายตาของเพื่อนร่วมพรรคอยู่แล้ว ดำดิ่งหนักลงไปกว่าเก่าอีก

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากนโยบายที่กลายเป็นกระแสตีกลับมาถล่มพรรคเพื่อไทยแล้ว อีเวนท์เดียวกันยังมีการปรับเปลี่ยนจัดทัพกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ด้วย

หลักใหญ่เป็นการสลับเอาบรรดา “รุ่นใหม่” ที่เป็น ส.ส.และผู้สมัครที่จะลงสมัคร ส.ส.เขตส่วนใหญ่ลาออก เปิดทางให้ “รุ่นใหญ่” มาเสียบแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพื่อเลี่ยงปมยุบพรรค เกรงว่า กรรมการบริหารพรรคไปทะเล่อทะล่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในช่วงหาเสียง

โดยกรรมการบริหารพรรค 10 คนที่เข้ามาเพิ่มเติมและแทนตำแหน่งที่ว่างประกอบด้วย เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค, ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค, ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค, กิตติ ลิ่มสกุล รองหัวหน้าพรรค, จิตติพจน์ วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค, ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ รองเลขาธิการพรรค, ชุมสาย ศรียาภัย รองเลขาธิการพรรค, สุรเกียรติ เทียนทอง กรรมการบริหารอื่น, พลนชชา จักรเพ็ชร กรรมการบริหารอื่น และ ยุ้ง จักรไพศาล กรรมการบริหารอื่น

เว้นไว้ในส่วนของหัวหน้า-รองหัวหน้า-กรรมการบริหารบางส่วน ที่แม้จะยังลง ส.ส.เขต แต่เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย ไม่ได้สู้หนัก เท่านั้น อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค, สุทิน คลังแสง-ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร-จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค เป็นอาทิ

ขณะเดียวกัน ก็มีการเติมในส่วนของกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เข้ามาจำนวน 11 คน ซึ่งก็เกือบทั้งหมดก็เป็นชุดเดียวกับที่เข้าไปเติมในคณะกรรมการบริหารพรรค มี “เสริมศักดิ์-ภูมิธรรม-จิตติพจน์-ศรีญาดา” เป็นตัวยืน

ซึ่งการฟอร์มทีมกรรมการบริหาร-กรรมการสรราหา ส.ส.ใหม่ครั้งนี้ ก็ถูกวิพากษ์ “ภายใน” ว่า เป็นการเปิดทางให้ทีมงาน “นักรบห้องแอร์” เข้ามายึดพรรคมากกว่าเดิม นัยว่าเพื่อ “คัดท้าย” ปั้น “คุณหนูอิ๊ง” ให้ถึงฝั่งเก้่าอี้นายกฯ

เป็น “นักรบห้องแอร์” ซึ่งที่ผ่านมาถูก “แอนตี้” จาก ส.ส.ในพรรคมาตลอด แต่ก็เป็นเพราะ “นายใหญ่” และที่สำคัญ “นายปู-ยิ่งลักษณ์” ยังถือหาง ก็เลยยังอยู่ได้ แถมมีบทบาทบริหารจัดการในพรรคมากขึ้นด้วย

ไม่เพียงแต่พฤติกรรม “ล้วงลูก” กำกับดูแลทุกอย่าง ควบคุมทิศทางพรรค เท่านั้น ยังหนักไปทาง “ลูกอีช่างฟ้อง” สอดส่องติดตามความเคลื่อนไหว ไม่ว่า ส.ส. อดีตผู้สมัคร ส.ส. และคนในเครือข่ายพรรค เพื่อรายงานถึง “นายใหญ่-นายปู”

จนว่ากันว่าปัญหา “เลือดไหลออก” มี ส.ส.กลายร่างเป็น “งูเห่า” ทั้งที่ประกาศตัวไปแล้ว และที่เตรียมย้ายพรรค แบบไม่ยี่หระ “กระแสเพื่อไทย” ก็เป็นเพราะรับไม่ได้กับบทบาทของ “นักรบห้องแอร์” นี่เอง

เป็นที่รับรู้กันว่า “นักรบห้องแอร์” คือทีม “กลุ่มแคร์” นำทีมโดย “เสี่ยอ้วน-ภูมิธรรม”และ “สองหมอ” คือ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นั้นไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควรกับบรรดา ส.ส.ในพรรค โดยเฉพาะในแง่ประสบการณ์ทางการเมือง

หลายต่อหลายครั้งที่ “ทีมห้องแอร์” ใช้ “อำนาจ” ที่ได้รับจาก “ทางไกล” เรียก ส.ส.มา “ติว” เรื่องการลงพื้นที่หาเสียง ตลอดจนทำหน้าที่ “สอบสัมภาษณ์” ก่อนจะอนุมัติให้เวลาอภิปรายในสภาฯ ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ลงเลือกตั้ง “แบบเขต” หรือผ่านการทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาฯ

โดยเฉพาะช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “นักรบห้องแอร์” จะเข้ามามีบทบาท ตั้งโต๊ะเรียก ส.ส.น้อยใหญ่ เข้ามากลั่นกรองประเด็นที่เตรียมอภิปรายฯ พร้อมสั่งการให้อภิปรายเสมือนจริงทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ “ดาวสภา” ก็ยังถูกเรียกสอบแบบไม่ไว้หน้า

คอนเฟิร์มได้จากสั่มเสียงของ “ส.ส.อ๊อด” ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. เขตดินแดง พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีกระแสข่าวว่าจะย้ายไปอยู่กับ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย หลังปรากฎตัวในงานฉลองวันคล้ายวันเกิด “ครูใหญ่เน” เนวิน ชิดชอบ ที่ จ.บุรีรัมย์ เมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ก็เพิ่งออกมา “ทิ้งบอมบ์” ใส่ทีม “นักรบห้องแอร์” พอหอมปากหอมคอ

โดย “ประเดิมชัย” ระบุว่า ในพรรคเพื่อไทยมีโครงการสร้างกลไกการบริหาร มีผู้มีอำนาจเยอะ จนหลายครั้งข้อเสนอในการทำงานเพื่อทั้งในพื้นที่ หรือในสภาฯไม่สามารถฝ่าด่านไปได้ เนื่องจากแนวความคิดในการทำงานไม่ตรงกัน

ยกตัวอย่างในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่ “ประเดิมชัย” มักถูกกีดกันหลายครั้ง เพราะมี “นักรบห้องแอร์” ที่พิจารณากลั่นกรอง จนไม่สามารถแสดงบทบาทในสภาฯได้อย่างเต็มที่ ทั้งที่มีข้อมูลเต็มกระบุงในฐานะ กรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร

ที่น่าสนใจ “ส.ส.อ๊อด”ยังระบุด้วยว่า ในฐานะ ส.ส.กทม. กลับไม่ได้มีการประสาน “เจ๊แจ๋น” พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคเพื่อไทย ที่ถูกนับเป็นหนึ่งใน “นักรบห้องแอร์” ที่ปัจจุบันรับหน้าเสื่อเป็น “มาดามนครบาล” เท่าที่ควรด้วย

“ถ้าเป็นองค์กดรที่ดี ต้องรับฟังความคิดเห็น การเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วม โดยพื้นฐานเหตุและผล แต่กระบวนการต่างๆในพรรคเพื่อไทยไม่เป็นเช่นนนั้น คนในรู้ดีว่าเป็นอย่างไร” ประเดิมชัย ว่าไว้

แล้วยังมีกรณีของ “เสี่ยยุ” จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. เขตคลองสามวา พรรคเพื่อไทย แม้ที่ผ่านมาจะโดดเด่นกับบทบาทการอภิปรายในสภาฯไม่ถูกกีดกันเหมือนรายของ “ประเดิมชัย” แต่ล่าสุดปรากฎว่าถูก “ตบหน้า” อย่างแรง เมื่อพรรคดึง ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ที่มีคดีความกับ “จิรายุ” เกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณในสภาฯ มาเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี ของพรรคเพื่อไทย

แม้ “จิรายุ” จะออกมาคัดค้านเสียงดัง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากทางพรรค ซึ่งมีกระแสข่าวว่า “ศักดา” ได้รับการสนับสนุนจาก “นักรบห้องแอร์” นั่นเอง จน “จิรายุ” ออกมาบ่นพรึมว่า “เขาไม่ให้ราคาผมแล้ว”

มีการมองกันว่าเหตุที่ “ประเดิมชัย-จิรายุ” ที่แม้จะมีฐานเสียงแข็งโป๊กการันตีที่นั่ง ส.ส. ถูกกระทำไในครั้งนี้ ก็เพราะมีคราบไคลความใกล้ชิดกับ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2562 จึงไม่เป็นที่โปรดปรานจาก “นักรบห้องแอร์” นั่นเอง

ทำนองเดียวกับ “เสี่ยเก่ง” การุณ โหสกุล ส.ส.กทม. เขตดอนเมือง พรรคเพื่อไทย คนใกล้ชิดกับ “หญิงหน่อย” ที่ไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีวิวาทะฟาดกับ “นักรบห้องแอร์” จนตีตั๋วย้ายพรรคไปล่วงหน้าแล้วนั่นเอง

หรือขนาดเยบอร์ใหญ่อย่าง “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.คนเสื้อแดง ที่แม้จะได้รับบทบาทผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ประกบ “อุ๊งอิ๊ง” ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โดยเฉพาะยามออกอีเวนท์ลงพื้นที่ต่างจังหวัดในฐานะ “มือปราศรัย” ก็ยังโดนฤทธิ์ของ “นักรบห้องแอร์” เบียดตกเฟรม จนแทบไม่มีที่ยืนยามไม่ได้ปราศรัยบนเวที

ล่าสุดการวางตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางขุนเทียน ที่เป็นพื้นที่ซึ่วง “เชอร์รี่” กมลพัฒน์ ปุงบางกระดี่ ภรรยา พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ แกนนำคนเสื้อแดง คนสนิทของ “ณัฐวุฒิ” ก็ยังถูก “คนนอก” อย่าง พิชชาภัสร์ อมาตย์วรานนท์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตทุ่งครุ-ราษฎร์บูรณะ พรรคเสรีรวมไทย และผู้ช่วย ส.ส.พรรคก้าวไกล มาเบียดลงสมัครแทน ทั้งที่ไม่เคยมีส่วนร่วมกับพรรคมาก่อน

เอาว่า ใครไม่ใช่พวก หรือใครจะชิงดีชิงเด่นเบียดบังความดีความชอบ ก็ต้องโดนฤทธิ์เดชของ “นักรบห้องแอร์” กันอย่างถ้วนหน้า
ชะตากรรมไม่ต่างจาก “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์ และแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2562 ที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยไม่ได้ แล้วต้องไปตั้งพรรคไทยสร้างไทยในปัจจุบัน ก็เพราะ “นักรบห้องแอร์” เลื่อยขาเก้าอี้นั่นเอง

และผู้ที่สาธยายความเป็น “นักรบห้องแอร์” ได้ดีที่สุด ก็คงไม่พ้นผู้ที่เคยร่วมงานกันมาก่อน อย่าง “เสี่ยปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี เลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย มือขวาของ “หญิงหน่อย” ที่เพิ่งมีวิวาทะตอบยโต้กรณีนโยบาย “หวยบำเหน็จ” กับ “เสี่ยอ้วน-ภูมิธรรม” หัวหอกของทีมนักรบห้องแอร์ไปหมาดๆ

“…เป็นความจริง ที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “นักรบห้องแอร์” บ้าง เป็นกลุ่ม “บ้านบาง Care” บ้าง คนกลุ่มนี้ลงพื้นที่ไม่เป็น เป็นแต่ลงพื้นที่กระดาษ A4 นั่งเทียนเขียนเฟซบุ๊ก ไขว่ห้างกระดิกเท้าตัวเย็นอยู่หน้าแป้นพิมพ์ ออกมาคัดค้านในทุกเรื่องที่พี่หน่อยทำ โดยที่ตัวเองไม่เคยออกมาตากแดดลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้สมัครของพรรคฯ เลย แต่คนกลุ่มนี้ซึ่ง ส.ส.หลายคนในพรรคส่ายหน้า กลับมีโผรายชื่อเข้าไปนั่งในกระทรวงสำคัญตลอด ซึ่งขาประจำกลุ่มนี้ ก็คือคนที่ตั้งป้อมคัดค้านหวยบำเหน็จ”

ที่ “ศิธา” สาธยายถึง “นักรบห้องแอร์” ก็ตรงกับวีรกรรมที่ว่าไว้ข้างต้นแทบทุกกระเบียด แล้วยังมีเสียงร่ำลือไปอีกว่า จากการที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทยขณะนี้ ทำเอา “ทีมห้องแอร์” ต่างมั่นอกมั่นใจว่า จะได้รับชนะในการเลือกตั้ง และได้จัดตั้งรัฐบาล อันเป็นที่มาของแคมเปญ “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ก่อนหน้านี้

ไม่เท่านั้นยังพูดกันว่า นอกจากจัดแจงจับจองวาง “ทีมงานห้องแอร์” ล“บัญชีรายชื่อ” เบอร์ต้นๆ ของพรรคเพื่อไทยแบบคนอื่นเบียดยากแล้ว ยังไปถึงขั้นฟอร์มรัฐบาล จับจองเก้าอี้รัฐมนตรี กันเสร็จสรรพแล้วด้วยซ้ำ

เป็น “นักรบห้องแอร์” ในตำนาน ที่ยังไม่ทันออกรบ ก็มี “สัญญาณลบ” เต็มไปหมด 

จนน่าห่วงว่า ฝันใหญ่ ฝันไกลของ “คุณหนู 600” กับเก้าอี้นายกฯ พา “พ่อษิณ” กลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ที่สุดอาจสะดุดเพราะ “นักรบห้องแอร์” ก็เป็นได้.




กำลังโหลดความคิดเห็น