xs
xsm
sm
md
lg

“I Can Hear You”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


สี จิ้นผิง
น่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่มีการปรับท่าทีต่อนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่กำลังมีการผ่อนคลายกฎเข้มงวดในการตรวจหาเชื้อก่อนเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และเศรษฐกิจแทบทุกหัวระแหงของจีน

แม้อาจจะมีข้อท้วงติงในฝ่ายนำของพรรคบ้าง เพราะกฎศักดิ์สิทธิ์ในด้านการปกครองคือ “วาจาสิทธิ์” หรือความศักดิ์สิทธิ์ของนโยบายหรือคำสั่งหรือแนวคิดของผู้นำ จะต้องมีการเคารพอย่างสูงสุด ผู้ใดจะท้วงติง, คัดค้านหรือท้าทายก็เท่ากับความเป็นผู้นำกำลังเสื่อมลงนั่นเอง

ก่อนการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคครั้งที่ 20 มีทั้งข่าวลือ (ที่อาจมีการจงใจปล่อยออกมา หรืออาจมีแหล่งข่าวบางคนที่อยู่ฝ่ายที่อยากให้มีการทยอยเปิดเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์อย่างแน่นหนา-อย่างเช่นก๊วนที่ใกล้ชิดกับนายกฯ หลี่ เค่อเฉียง) ว่าหลังการประชุมสมัชชาพรรค และปธน.สี ได้ต่อวาระการเป็นเลขาธิการพรรค (ซึ่งเป็นการฝืนกฎของเติ้ง) แล้วก็น่าจะมีการเปลี่ยนนโยบายโควิดเป็นศูนย์เสียที

เพราะเศรษฐกิจจีนได้ชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากการล็อกดาวน์ และจากผลพวงของนโยบายต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้มีการปล่อยให้ปั่นราคากันมานาน รวมทั้งการปราบปรามกิจการเรียนพิเศษที่กินเลือดกินเนื้อประชาชน

แต่การเปลี่ยนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ ก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง แม้จะมีการผ่อนคลายด้วยมาตรการ 20 ข้อเมื่อ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา เช่น การลดจำนวนวันของการกักตัวผู้ติดเชื้อ หรือมีการเพิ่มเที่ยวบินในประเทศให้ถี่ขึ้นเพื่อสะดวกในการเดินทาง

จนมาเกิดเรื่องจากกฎล็อกดาวน์ที่เข้มงวดมากๆ ที่เมืองอุรุมชีในแคว้นซินเจียง และเมื่อเกิดไฟไหม้ที่ตึกพักอาศัยแห่งหนึ่ง จนการล็อกดาวน์ทำให้คนในอาคารหนีไฟไหม้ไม่ได้ ก็เลยตายถึง 10 คน...เรื่องนี้ก็เลยเข้าทางกลุ่มคนในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่โดนล็อกดาวน์ในเมืองใหญ่ ทั้งที่เซี่ยงไฮ้, ปักกิ่ง, อู่ฮั่น, ต้าเหลียน, เฉิงตู, กว่างโจว, ฉงชิ่ง เป็นต้น ที่มองว่าการล็อกดาวน์ทำให้หลายคนขาดรายได้ และเป็นการล็อกดาวน์ที่เกินเลยต่อสภาพความเป็นจริงที่โรคโควิดกำลังมีพิษที่อ่อนลง แม้จะติดเชื้อง่ายขึ้นก็ตาม ยิ่งที่โรงงานฟ็อกซ์คอนน์ของแอปเปิลคนงานถึงกับเผชิญกับการปราบปรามอย่างรุนแรงเกินเหตุ เพียงเพื่อปกป้องนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของท่านผู้นำสี

ที่ว่าเข้าทางคนหนุ่มสาว ซึ่งบางส่วนเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงระดับโลกคือ มหาวิทยาลัยปักกิ่งที่เริ่มต้นโดยยกเอาการเสียชีวิตของคนที่ถูกล็อกดาวน์จนตายที่เมืองอุรุมชีเป็นข้ออ้าง เพื่อจัดพิธีไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิต โดยไปจัดที่ถนนชื่อ “อุรุมชี” ที่เมืองเซี่ยงไฮ้...ก็เลยหนีไม่พ้น มีการชุมนุมในงานพิธีไว้อาลัย (แต่จริงๆ น่าจะพยายามจัดชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของสีนั่นเอง) เพื่อหลีกเลี่ยงการห้ามชุมนุมทางการเมือง

เมื่อมีการชุมนุมมีการขยายไปหลายเมือง และไปถึงในต่างประเทศ พร้อมกับการชูกระดาษเปล่าขนาดเอ 4 เพื่อสะท้อนสัญลักษณ์การขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเทศจีน

ประจวบกับมีการถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลของเวิลด์คัพ ที่คนดูที่จีนมองเห็นแฟนฟุตบอลที่กาตาร์เปิดหน้าล่อนจ้อน และตะโกนกันสุดฤทธิ์ ไม่มีกฎสวมหน้ากากเลย (จนทำให้ทางการจีนสั่งให้เบลอภาพผู้ชมบนอัฒจันทร์ที่ไม่มีสวมหน้ากากอนามัยสักคน พร้อมตะโกนเชียร์สุดเสียง) ก็ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับการล็อกดาวน์เข้มที่กำลังดำรงอยู่ในจีน แม้ Variant ลูกหลานของโควิดจะมีพิษสงที่ลดน้อยลง; ถึงกับติดต่อกันง่ายกว่าเดิมก็ตาม

และช่างบังเอิญประจวบเหมาะกับการอสัญกรรมของท่านอดีตเลขาธิการพรรคและปธน.เจียง เจ๋อหมิน ซึ่งในยุคของเจียง เพิ่งเริ่มเปิดประเทศอย่างกว้างขวาง (หลังการปราบปรามอย่างโหดต่อนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน) ซึ่งคนรุ่นที่ได้เติบโตมาสมัยปธน.เจียง ได้ลิ้มรสเสรีภาพค่อนข้างสูง พร้อมชีวิตที่เศรษฐกิจเติบโต (จากฐานที่ต่ำมากในปีก่อนๆ) จนเลิกใส่เสื้อเหมา และเริ่มเลิกขี่จักรยานมาขี่รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ เมื่อมีการเปิดประเทศค้าขายกันทั่วโลก และจีนดึงดูดการลงทุนที่ล้นบ่าเข้ามา

ยังมีสัญญาณที่ออกมาจากปากของปธน.สี ในการพบระหว่างสีและนายชาร์ลส์ มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป (คือประธานหมุนเวียนของเหล่าผู้นำ 27 ประเทศของสหภาพยุโรป) ที่ปักกิ่ง เมื่อชาร์ลส์ มิเชลได้แสดงความกังวลต่อสีเรื่องบริษัทมากมายของยุโรปที่มีการลงทุนในจีนกำลังประสบกับปัญหาการล็อกดาวน์แบบเข้มข้น จนทำให้ผลิตสินค้าและบริการเกิดการชะงักงัน-ส่งของไม่ทันตามสัญญา-ซึ่งชาร์ลส์ มิเชลได้ขอร้องให้ปธน.สี เปลี่ยนโมเดลมาเป็นไล่ฉีดวัคซีนกับกลุ่มเปราะบาง (เช่นผู้สูงอายุ) แบบที่ยุโรปทำตั้งแต่ตอนต้น...แทนที่จะมีแต่ตรวจ-ตรวจ-ตรวจเชื้อ และล็อกดาวน์เข้มข้นอย่างเดียว

คำพูดของสีที่อยู่ในสื่อของจีนและสื่อยุโรปสะท้อนให้เห็นว่า สีได้อธิบายว่า ขณะนี้เชื้อโควิดได้พัฒนาจนลดพิษสงลงไปบ้าง แม้จะติดเชื้อง่ายดายก็ตาม...ซึ่งในไม่ช้าจีนก็จะลดความเข้มข้นของการล็อกดาวน์ และหันมาเปิดประเทศในที่สุด

ได้มีคำสั่งด่วนจากทางการจีน ให้ปิดศูนย์ตรวจเชื้อ PCR ที่มีอยู่ทุกหัวระแหง โดยผ่อนคลายไม่ต้องตรวจเชื้อก่อนขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือทำกิจกรรมในชอปปิ้งหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง

ขณะเดียวกัน เนื้อหาในสื่อทางการของจีนก็เริ่มเปลี่ยนโทนจากการเน้นความน่ากลัวของโควิด มาเป็นให้ความรู้ว่าเชื้อตอนนี้ไม่รุนแรงถ้าฉีดวัคซีน...มีการสัมภาษณ์คุณหมอที่รับผิดชอบเช่น ผอ.สถาบันโรคทางเดินหายใจ ที่ออกมายืนยันว่า เชื้อโควิดไม่น่ากลัวจนเกินเหตุ และถ้าติดเชื้อแบบไม่มีอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง ก็น่าจะกักตัวรักษาที่บ้านได้ ไม่ใช่ต้องไปกักตัวที่สถานที่ทางราชการจัดให้

การหาทางลงสำหรับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของสี ก็ต้องทั้งรักษาหน้าท่านผู้นำ และต้องลงแบบมีชั้นเชิง ซึ่งการนำเอาตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่กำลังลดลงจากเกิน 3 หมื่น...เหลือ 2 หมื่น 5 ก็จะเป็นการสมเหตุสมผลที่จะผ่อนคลายความเข้มของกฎโควิดเป็นศูนย์ (แม้จริงๆ ตัวเลขคนติดเชื้อน่าจะลดลงอย่างมาก เพราะมีการปิดศูนย์ตรวจเชื้อแทบทั้งหมด)

ประกอบกับเป็นการสะท้อนการฟังเสียงประชาชน (I Can Hear You) ของท่านผู้นำ ที่ต้องรู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาของประชาชน และแก้ไขได้ทันการณ์อย่างเร่งด่วน (แค่ไม่ถึง 5 วันก็ทำสำเร็จ)

ไม่ใช่เมินเฉยปล่อยวางให้ปัญหาทวีคูณความรุนแรง (อย่างกรณีตู้ห่าว-ตู้เอทีเอ็มที่ฝังรากถึง 20 กว่าปีจนกินประเทศไทยผุกร่อนไปหมด) อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวทั้งสิ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น