ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ลงทุนขยายธุรกิจรัวๆ ในนาทีนี้เห็นจะไม่มีใครเกิน “เจ้าสัวสารัชถ์ รัตนาวะดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกัลฟ์ ที่ล่าสุดทุ่มซื้อไทยคมต่อยอดธุรกิจ New Space สอดประสานกับเป้าหมายเดินหน้ารุกธุรกิจแห่งอนาคต New S Curve โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) เผยมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 12/2656 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 อนุมัติให้ บริษัท กัลฟ์ เวนเชอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GULF เข้าซื้อหุ้นสามัญใน บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ) (THCOM) จาก บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) และซื้อหุ้นสามัญส่วนที่เหลือทั้งหมดของไทยคม โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของไทยคมแลซื้อขายหุ้นสามัญผ่านตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กลุ่มบริษัทฯ ดําเนินการซื้อหุ้นสามัญ THCOM จาก INTUCH จํานวนทั้งสิ้น 450,870,934 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 41.13 ของหุ้นสามัญที่ออกและจําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ THCOM) ในราคาหุ้นละ 9.92 บาท คิดเป็นจํานวนเงินรวมประมาณ 4,472.64 ล้านบาท
ภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นสามัญ THCOM จาก INTUCH เสร็จสิ้น กลุ่มบริษัทฯ จะดําเนินการซื้อหุ้นสามัญส่วนที่เหลือทั้งหมดของ THCOM โดยการทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ THCOM1 จํานวน 645,231,020 หุ้น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประกาศคณะกรรมการกํากับตลาดทุนที่ ทจ.12/2554 ในราคาหุ้นละ 9.92 บาท คิดเป็นจํานวนเงินรวมประมาณ 6,400.69 ล้านบาท
สำหรับ “ธุรกรรมการซื้อขายหุ้น” ครั้งนี้ มีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 10,873.33 ล้านบาท
ทั้งนี้ GULF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน INTUCH ร้อยละ 46.443 แต่ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ ตามประกาศรายการที่เกี่ยวโยงกัน
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกัลฟ์ กล่าวในการประชุมนักวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่าการเข้าซื้อหุ้นไทยคมของกัลฟ์จะทำให้บรรยากาศ (Sentiment) การทำธุรกิจของไทยคมดีขึ้น เพราะกัลฟ์เป็นบริษัทไทย หลังจากนี้ไทยคมจะสามารถเดินหน้าลุยธุรกิจได้อย่างเต็มที่มากขึ้นโดยไม่ติดขัดอะไรอีก ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าประมูลวงโคจรดาวเทียม การมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งมองถึงการขยายไปทำธุรกิจส่งยานขึ้นสู่อวกาศ (Launcher) รวมทั้งธุรกิจท่าอวกาศยาน (Spaceport) เนื่องจากทำเลที่ตั้งมีความเหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาไทยคมถูกตั้งแง่ว่าเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยกลุ่มทุนสิงคโปร์ ทำให้การเดินหน้าทำธุรกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก
ด้าน นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF ระบุถึงการเข้าถือหุ้นไทยคมว่า การลงทุน THCOM มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับบริษัทในหลายมิติ ทั้งด้านยุทธศาสตร์ การเติบโต และการเพิ่มศักยภาพการต่อยอดไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งเป็นการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ซึ่งมีโอกาสในการพัฒนาธุรกิจได้หลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นบริษัทไทยที่ประกอบธุรกิจในหลากหลายประเทศ ไม่ได้อิงรายได้จากภายในประเทศเพียงอย่างเดียว และมีโอกาสในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจ New Space ที่มีศักยภาพการเติบโตในอนาคต
สำหรับราคาซื้อหุ้น THCOM ที่หุ้นละ 9.92 บาทนั้น เป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด โดยราคาปิดเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2565 อยู่ที่ 12.30 บาท ทำให้ราคาหุ้น THCOM เมื่อปิดการซื้อขายวันที่ 8 พ.ย. ลดลงมาอยู่ที่ 11.40 บาท แต่ถือว่าราคายังสูงกว่าราคาที่ GULF ซื้อ ทั้งนี้ THCOM ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/65 มีกำไรสุทธิ 121 ล้านบาท ลดลง 17% เหตุรายได้ดาวเทียมและบริการที่เกี่ยวเนื่องลดลง ส่วนงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 481 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.8% จากต้นทุนค่าเสื่อมราคาดาวเทียมและค่าสัมปทานลดลง
บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นน่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในไตรมาส 1/2566 โดยมีมุมมองเป็นบวกกับข่าวนี้ต่อ INTUCH เพราะมองว่าเป็นโครงสร้างการลงทุนของ INTUCH ให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่ ที่เน้นลงทุนเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ขณะที่ THCOM แทบไม่ได้มีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของ INTUCH นอกจากนี้ คาดการขายหุ้น THCOM จะส่งผลบวกในระยะสั้นจากกระแสเงินสดที่จะเข้ามาเพิ่มให้ INTUCH นำไปลงทุนในโครงการอื่นๆ ได้
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดว่า GULF จะได้กำไรเพิ่มจากการเข้าถือหุ้น THCOM โดยตรง (41.13% - 100%) ราว 105 - 382 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 0.6-2.2% ของประมาณการกำไรปกติ ปี 2566 ของ GULF ที่อยู่ราวๆ 17,224 ล้านบาท ซึ่งหาก GULF ใช้เงินกู้ในการซื้อด้วยกำไรส่วนเพิ่มข้างต้นจะลดลงไปอีก โดยทุกๆ เงินกู้ 1,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยราว 1-2% จะทำให้รับรู้กำไรส่วนเพิ่มลดลง 8-16 ล้านบาท ทั้งนี้ GULF มีเงินสดในมือ ณ ไตรมาส 2/2565 ราว 16,818 ล้านบาท
การเข้าซื้อ THCOM ที่ 9.92 บาทต่อหุ้น เทียบเท่ามูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นในไตรมาส 2/2565 และต่ำกว่าราคาเป้าหมาย ปี 2566 ของ THCOM ที่ 11.00 บาทต่อหุ้น หากประเมินว่าสุดท้ายมูลค่าตลาดของ THCOM จะไปที่ 11.00 บาทต่อหุ้น จะทำให้ GULF รับรู้มูลค่าเพิ่มได้ราว 263-921 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.04-0.2% ของราคาเป้าหมาย ปี 2566 ของ GULF ที่ 55.0 บาทต่อหุ้น โดยมีอัพไซด์จากกลยุทธ์ธุรกิจที่เปลี่ยนไปหรือโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นหรือ Synergy ที่อาจเกิดขึ้นได้
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง GULF ว่าผลกระทบต่อกำไรของ GULF หลังดีลแล้วเสร็จมีจำกัด เพราะฐานกำไรของ GULF ที่ระดับ 1.5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ THCOM อยู่ที่ราว 300-400 ล้านบาท แต่การมี GULF เข้ามาถือหุ้น THCOM จะเป็นโอกาสในการช่วยสนับสนุนธุรกิจทั้งทางตรง และยังเกี่ยวข้องกับการประมูลวงโคจรด้วย คาดว่าช่วยปลดล็อก Overhang ได้
THCOM ก่อตั้งเมื่อ 7 พ.ย. 2534 เป็นผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศระหว่างไทยคมกับกระทรวงคมนาคม ซึ่งหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 30 ปี เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2564 ไทยคมได้ส่งมอบการครอบครองดาวเทียมและทรัพย์สินทั้งหมดตามสัญญาสัมปทานคืนให้แก่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ต่อมา MDES มอบสิทธิในการบริหารจัดการดาวเทียมภายใต้สัญญาสัมปทานให้กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT)
สำหรับธุรกิจของไทยคมแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ คือ กลุ่มธุรกิจดาวเทียมและบริการต่อเนื่อง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือดาวเทียมแบบทั่วไปและดาวเทียมบรอดแบนด์ ให้บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต ปัจจุบันไทยคมได้ซื้อแบนด์วิธบางส่วนบนดาวเทียมไทยคม 4 และดาวเทียมไทยคม 6 บางส่วนจาก NT และไทยคมยังมีช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม 7 และดาวเทียมไทยคม 8 เป็นของไทยคมเอง
กลุ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อ ดำเนินการโดยบริษัท ไทย แอดวานซ์ อินโนเวชั่น จำกัด (ไทยเอไอ) ให้บริการแพลตฟอร์ม บอกรับสมาชิก จำหน่ายและให้เช่าแพลตฟอร์ม ให้บริการหลังการขายกล่องสัญญาณดาวเทียมดีทีวี และบริการให้คำปรึกษาและติดตั้งระบบสำหรับเครือข่ายบรอดแบนด์แบบครบวงจร เน้นสื่อดาวเทียมและสื่ออินเทอร์เน็ตอื่นๆ
อีกกลุ่มคือธุรกิจโทรศัพท์ในต่างประเทศ ให้บริการด้านโทรคมนาคมใน สปป. ลาว ผ่านการลงทุนในบริษัท เชนนิง ตัน อินเวสเม้นท์ส พีทีอี ลิมิเต็ด (เชน) เป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์
นอกจากนั้น ไทยคมยังมีธุรกิจร่วมทุนอื่นกับบริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด ให้บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทางทะเล และร่วมทุนกับบริษัท เอทีไอ เทคโนโลยีส์ จำกัด ภายใต้ความร่วมมือของบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน รวมทั้งให้บริการแบบครบวงจร
การซื้อไทยคมของกัลฟ์ มีโอกาสที่ GULF จะใช้ความเชี่ยวชาญธุรกิจดาวเทียมของ THCOM ให้บริการธุรกิจเทคโนโลยีดาวเทียมใหม่ๆ เช่น การให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม IOT สายการบิน ขนส่ง หรือการนำเทคโนโลยีดาวเทียมไปสำรวจพื้นที่ ตลอดจนการวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ THCOM ประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรกับ Orbital Insight ซึ่งบริษัทชั้นนำด้านการให้บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศ (Geospatial) จากสหรัฐอเมริกา โดยจะร่วมกันให้บริการนำข้อมูลทางเทคโนโลยีอวกาศต่างๆ มาวิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมบนพื้นโลก ผ่านแพลตฟอร์ม Geospatial Analytics แก่ลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การขนส่ง การบริหารจัดการสาธารณูปโภคเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สำหรับภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ ประมาณการว่ามูลค่าตลาด Geospatial Analytics การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ทั่วโลกอยู่ที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.75 ล้านล้านบาท
กัลฟ์ วางแผนการเติบโตของอาณาจักรธุรกิจ โดยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงาน พร้อมกับรุกสู่ธุรกิจใหม่คือธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล นับเนื่องจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เมื่อปี 2564 กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 42.25% และอินทัชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส
จากนั้นกัลฟ์ ขยับมาร่วมมือกับกลุ่มไบแนนซ์ (Binance) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลก ตั้งบริษัทกัลฟ์ ไบแนนซ์ พัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย พร้อมกับรุกสู่ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ โดยร่วมกับสิงคโปร์เทเลคอมมูนิเคชันส์ (SINGTEL) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย
ส่วนอาณาจักรธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มกัลฟ์และพันธมิตร กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง 5 โครงการ คือ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (อาคาร F) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 บริษัทเดินรถและซ่อมบำรุงมอเตอร์เวย์ระหว่างเมือง (M81) และระบบจำหน่ายไฟฟ้า-ทำความเย็น โครงการวัน-แบงก์คอก
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ยังคงทำรายได้หลักให้กับกัลฟ์ โดยโรงไฟฟ้าในกลุ่มกัลฟ์ทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานลม โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลง ทั้งในและต่างประเทศ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเมื่อปี 2564 อยู่ที่ 7,875 เมกะวัตต์ ส่วนปี 2565 วางเป้าหมายไว้ที่ 9,422 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ นิตยสาร Forbes เผยผลการจัดอันดับมหาเศรษฐีในไทย ผ่านทางเว็บไซต์ The World’s Real-time Billionaires เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2565 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GULF ครองอันดับเศรษฐีเบอร์ 1 ในประเทศไทย ด้วยความมั่งคั่งกว่า 420,000 ล้านบาท (11,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) ส่วนอันดับที่ 2 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าสัวเบียร์ช้าง มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 4.17 แสนล้านบาท (11,700 ล้านเหรียญสหรัฐ) และอันดับที่ 3 นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 4.1 แสนล้านบาท (11,500 ล้านเหรียญสหรัฐ)
การต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจจากพลังงานสู่ Digital Infrastructure รวมถึงธุรกิจ New Space เป็นการเปิดพรมแดนธุรกิจแห่งอนาคตที่จะสร้างความมั่งคั่งให้ GULF ชนิดที่ต้องจับตาเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ไทยคมยังมีธุรกิจร่วมทุนอื่นกับบริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด ให้บริการดิจิทัลผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทางทะเล และร่วมทุนกับบริษัท เอทีไอ เทคโนโลยีส์ จำกัด ภายใต้ความร่วมมือของบริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอากาศยานไร้คนขับหรือโดรน รวมทั้งให้บริการแบบครบวงจร
การซื้อไทยคมของกัลฟ์ มีโอกาสที่ GULF จะใช้ความเชี่ยวชาญธุรกิจดาวเทียมของ THCOM ให้บริการธุรกิจเทคโนโลยีดาวเทียมใหม่ๆ เช่น การให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม IOT สายการบิน ขนส่ง หรือการนำเทคโนโลยีดาวเทียมไปสำรวจพื้นที่ ตลอดจนการวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ THCOM ประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรกับ Orbital Insight ซึ่งบริษัทชั้นนำด้านการให้บริการข้อมูลภูมิสารสนเทศ (Geospatial) จากสหรัฐอเมริกา โดยจะร่วมกันให้บริการนำข้อมูลทางเทคโนโลยีอวกาศต่างๆ มาวิเคราะห์ข้อมูลกิจกรรมบนพื้นโลก ผ่านแพลตฟอร์ม Geospatial Analytics แก่ลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การขนส่ง การบริหารจัดการสาธารณูปโภคเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน รวมถึงการใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สำหรับภาคธุรกิจ
ทั้งนี้ ประมาณการว่ามูลค่าตลาด Geospatial Analytics การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ทั่วโลกอยู่ที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1.75 ล้านล้านบาท
กัลฟ์ วางแผนการเติบโตของอาณาจักรธุรกิจ โดยสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงาน พร้อมกับรุกสู่ธุรกิจใหม่คือธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล นับเนื่องจากการเข้าซื้อหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เมื่อปี 2564 กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 42.25% และอินทัชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส
จากนั้นกัลฟ์ ขยับมาร่วมมือกับกลุ่มไบแนนซ์ (Binance) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับหนึ่งของโลก ตั้งบริษัทกัลฟ์ ไบแนนซ์ พัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและธุรกิจเกี่ยวเนื่องในไทย พร้อมกับรุกสู่ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ โดยร่วมกับสิงคโปร์เทเลคอมมูนิเคชันส์ (SINGTEL) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ลงทุนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย
ส่วนอาณาจักรธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มกัลฟ์และพันธมิตร กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง 5 โครงการ คือ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 (อาคาร F) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 บริษัทเดินรถและซ่อมบำรุงมอเตอร์เวย์ระหว่างเมือง (M81) และระบบจำหน่ายไฟฟ้า-ทำความเย็น โครงการวัน-แบงก์คอก
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ยังคงทำรายได้หลักให้กับกัลฟ์ โดยโรงไฟฟ้าในกลุ่มกัลฟ์ทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ พลังงานลม โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลง ทั้งในและต่างประเทศ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเมื่อปี 2564 อยู่ที่ 7,875 เมกะวัตต์ ส่วนปี 2565 วางเป้าหมายไว้ที่ 9,422 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ นิตยสาร Forbes เผยผลการจัดอันดับมหาเศรษฐีในไทย ผ่านทางเว็บไซต์ The World’s Real-time Billionaires เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2565 นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GULF ครองอันดับเศรษฐีเบอร์ 1 ในประเทศไทย ด้วยความมั่งคั่งกว่า 420,000 ล้านบาท (11,800 ล้านเหรียญสหรัฐ) ส่วนอันดับที่ 2 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าสัวเบียร์ช้าง มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 4.17 แสนล้านบาท (11,700 ล้านเหรียญสหรัฐ) และอันดับที่ 3 นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัวซีพี มีความมั่งคั่งอยู่ที่ 4.1 แสนล้านบาท (11,500 ล้านเหรียญสหรัฐ)
การต่อจิ๊กซอว์ธุรกิจจากพลังงานสู่ Digital Infrastructure รวมถึงธุรกิจ New Space เป็นการเปิดพรมแดนธุรกิจแห่งอนาคตที่จะสร้างความมั่งคั่งให้ GULF ชนิดที่ต้องจับตาเลยทีเดียว