xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คดีจีทูเจี๊ยะภาค 2 ดับอหังการ “นายใหญ่” สกัดเป้า “แลนด์สไลด์” ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร | เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ | ทักษิณ ชินวัตร
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จอมยุทธ์การเมืองน้อย-ใหญ่ เช็กข่าวกันให้วุ่น

หลัง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โพล่งออกมาว่า ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 นี้ จะมี “เรื่องใหญ่” ของ “นักการเมืองบิ๊กเนม” รอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ 3-5 เรื่อง แต่เรื่องอะไร และจะเป็นใครนั้น ประธาน ป.ป.ช.ขออุบเอาไว้ก่อน

ทำเอาบรรดานักการเมืองที่มี “ชนัก” คาอยู่ที่ ป.ป.ช.ต่างหวาดผวากับเป็นแทบๆ

ด้วยสัมผัสได้ถึง “รังสีอำมหิต” ที่อาจจะเป็นฤดูกาล “เชือด” นักการเมือง-นักเลือกตั้ง ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จะหมดเทอม และกำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในช่วงไม่เกินเดือน พ.ค.66

มีหนังตัวอย่างให้เห็นทั้งกรณีที่ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด “เสี่ยเอ๋” ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม แกนนำ “กลุ่มปากน้ำ” แห่งพรรคพลังประชารัฐ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรปราการ ในคดีทุจริตเรื่องเงินทอนวัดหลายปีก่อน ซึ่งตามไทม์ไลน์ถือว่าล่าช้าไปพอสมควร แต่เผอิญจังหวะพอดิบพอดีกับที่มีกระแสข่าวที่ “ซุ้มเสี่ยเอ๋” อาจจะตัดสินใจนำพาลูกทีมย้ายค่ายในการเลือกตั้งครั้งหน้า 
หรือกรณี “ผู้ว่าฯ หมูป่า” ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการ จ.ปทุมธานี เซ็นปลด “นายกฯแป๊ะ” สายัณ นพขำ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง อ.เมือง จ.ปทุมธานี หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ จำนวน 7 โครงการ สมัยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านกลาง อ.เมือง จ.ปทุมธานี

โดย “นายกฯ แป๊ะ” ไม่เพียงเป็นพ่อของ "ส.ส.เต๋า" ศุภชัย นพขำ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย เท่านั้น ยังถือเป็น “สายตรง” ของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำคนสำคัญแห่งพรรคเพื่อไทย ที่กำลังมีบทบาทในการจัดตั้งทีมผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี อีกด้วย
ไม่เท่าไรก็มีรายงานข่าวจาก “สำนักข่าว ป.ป.ช.” ที่ออกมาจาก “สำนักข่าวอิศรา” อีกว่า หนึ่งในคดีสำคัญของนักการเมืองที่ ประธาน ป.ป.ช.กล่าวถึงนั้น คือ คดีทุจริตการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ภาค 2 ที่จะมีการเสนอผลการไต่สวนต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณา ในช่วงสิ้นเดือน พ.ย.65

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า คดีทุจริตการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ภาค 2 หรือที่ถูกขนานนามว่า “คดีจีทูเจี๊ยะภาค 2” นี้มีผู้ถูกกล่าวหามากถึง 71 ราย โดยมีชื่อ “บิ๊กเนม” อย่าง “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, “มาดามปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของนายทักษิณ และพี่สาวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็น “ผู้มากบารมี” ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยขณะนั้น เป็นอาทิ

ไคลแม็กซ์อยู่ที่คดีดังกล่าวมีการกันชื่อ “เสี่ยฮุก” บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และจำเลยที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีภาคแรก โทษจำคุกรวมกว่า 42 ปี และ “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาติ จันทร์สกุลพร ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และจำเลยที่ถูกพิพากษาจำคุก 48 ปีในคดีจีทูจีภาคแรกเช่นกัน ไว้เป็น “พยาน” ในคดี
นอกจากนี้ “สำนักข่าวอิศรา” ยังรายงานรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาใน “คดีจีทูเจี๊ยะภาค 2” ทั้ง 71 ราย โดยสามารถจำแนกออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 นักการเมือง-ข้าราชการการเมือง รวม 5 ราย ได้แก่ 1.นายบุญทรง, 2.น.ส.ยิ่งลักษณ์, 3.นางเยาวภา, 4. “หมอโด่ง” พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ที่ถูกพิพากษาจำคุก 72 ปีในคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีภาคแรก และอยู่ระหว่างการหลบหนี และ 5.นายทักษิณ

กลุ่มที่ 2 ข้าราชการประจำ 3 ราย ได้แก่ 1.นางปราณี ศิริพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, 2.นายฑิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และ 3.นายอัครพงศ์ หรืออัฐฐิติพงศ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักบริหารการค้าข้าว

ขณะที่ กลุ่มที่ 3 เป็น รัฐวิสาหกิจจีน-ผู้รับมอบอำนาจจากรัฐวิสาหกิจจีน 18 ราย, กลุ่มที่ 4 เครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำนวน 14 ราย และกลุ่มที่ 5 เอกชนภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง จำนวน 31 ราย

ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจไปอีกเมื่อ นิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ยืนยันข้อมูลข่าว ป.ป.ช.เตรียมกันชื่อนายบุญทรง และเอกชน ไว้เป็นพยานในคดีจีทูจี ภาค 2 โดยอ้างว่า รายละเอียดยังอยู่ในสำนวนคดีของ ป.ป.ช. ที่จะเสนอให้กรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา เนื่องจากจะกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ที่เกี่ยวข้องอีกทั้งยังเป็นความลับทางราชการ

ถอดรหัสคำพูดของ “นิวัติไชย” ที่แม้ไม่ยอมรับ แต่ก็เป็นการยืนยันว่า มีสำนวน “คดีจีทูเจี๊ยะภาค 2” อยู่ในชั้นการไต่สวนของ ป.ป.ช.จริงๆ

โดย “คดีจีทูเจี๊ยะภาค 2” นั้นเคยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มีการขยายผลจากคดีระบายข้าวแบบจีทูจีล็อตแรก จากคำให้การของ “เอกชนบางราย” ที่ให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการไต่สวนว่า เคยบินไปพบ “นักการเมืองใหญ่” ที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อเจรจาซื้อขายข้าวจากโครงการรับจำนำของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขณะนั้น โดยนักการเมืองใหญ่รายนี้บอกว่า ให้ไปติดต่อซื้อข้าวกับ “เสี่ยเปี๋ยง” ได้โดยตรง ขณะเดียวกันก็มีการเชื่อมโยงถึง “เจ๊” ผู้ทั้งเป็น “เจ้านาย” และผู้ผลักดันให้ “บุญทรง” ได้เป็น รมว.พาณิชย์ รวมทั้งยังส่งมือทำงานอย่าง “หมอโด่ง-พ.ต.นพ.วีระวุฒิ” มาเป็นเลขาฯ รมว.พาณิชย์ ด้วย

ช่วงปี 2561 “บุญทรง” ถูกพิพากษาให้รับโทษจำคุกใหม่ๆ ก็มีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ช. เข้าไปสอบปากคำเพิ่มเติมในเรือนจำเพิ่มเติม และมีการ “ซัดทอด” ผู้อยู่เบื้องหลังหลายราย

สอดรับกับรายงานข่าวที่ว่า “จำเลยสำคัญ” ในคดี “ซัดทอด” ว่า “นายใหญ่” ได้โฟนอินเข้ามาสั่งการเกี่ยวกับการระบายข้าวจีทูจีในระหว่างการประชุมระดับแกนนำพรรคการเมืองใหญ่ครั้งหนึ่ง และมีการมอบคลิปวีดีโอเป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญให้แก่ ป.ป.ช.ด้วย

กระทั่งเดือน ต.ค. 2561 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติอย่างเป็นทางการ ให้ไต่สวน “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เยาวภา” และมีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปแล้ว

ไม่นานหลังจากนั้น ช่วงต้นปี ก็กระแสข่าวหนาหูว่า ป.ป.ช.เตรียมที่ส่งคำฟ้องคดีจีทูจีภาค 2 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ลือกันกระหึ่มว่า “เจ๊” ได้ประกาศขายคฤหาสน์มูลค่าเกือบ 600 ล้านบาท ในราคาเพียง 300 ล้านบาท และเตรียมหนีออกนอกประเทศ ไปพำนักที่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งครอบครัวมีสัมพันธ์อันดีอยู่พักใหญ่

อ่านกันว่า “เจ๊” ไม่ได้กริ่งเกรงต่อโทษทางอาญา หากถูกพิพากษาว่ามีความผิดแต่อย่างใด เพราะเส้นทางคงไม่ต่างจาก “พี่ชาย-น้องสาว” ที่หลบหนีโทษจำคุกไปพำนักอยู่ในต่างประเทศตามประสามหาเศรษฐีมีอันจะกิน หากแต่กลัวจะถูกพิพากษาว่า “ร่ำรวยผิดปกติ” ที่นำไปสู่การยึดทรัพย์ จนเป็นที่มาของการผ่องถ่ายทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด รวมทั้งยังมีการกระแสข่าวว่า ก่อนประกาศขายคฤหาสน์นั้น ได้มีการต่อเติมบ้านอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะ “สระว่ายน้ำ” ที่มีการทุบทำลาย ทั้งที่ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดี

จากนั้น “เจ๊และสามี” ที่ไม่ติดโทษทางการเมืองก็ “โลว์โปรไฟล์” และแทบไม่มีบทบาทในการเลือกตั้งปี 2562 เท่าที่ควร ยิ่งเพิ่มน้ำหนักถึงความหวาดผวาที่มีต่อคดีจีทูจี ภาค 2 ได้เป็นอย่างดี

มองได้ว่าการที่ “คดีจีทูเจี๊ยะภาค 2” เวียนกลับมาอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่หลอกหลอนคนที่ติดชนักอยู่เท่านั้น ยังเป็นไทม์มิ่งเหมาะเจาะที่จะปัก “ชนัก” สกัดเป้าหมายแลนด์สไลด์ของ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ไปในตัว

ด้วยเป้าหมายแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินนั้นก็มีเป้าประสงค์เพื่อเปิดทางปูพรมแดงให้ “เฮียโทนี่-ทักษิณ” และ “น้องปู-ยิ่งลักษณ์” ซึ่งเป็นจำเลยหลบหนีโทษจำคุกจากหลายคดี ได้ “กลับบ้านเท่ๆ” ตามคำประกาศของ “ทักษิณ” ที่แสดงความมั่นอกมั่นใจว่า จะได้กลับเมืองไทยหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าบ่อยครั้ง

ไม่เพียงแต่คดีจีทูเจี๊ยะ ภาค 2 ที่ใกล้จะปล่อยออกมา หลังจากซุ่มไว้นาน “2 พี่น้องชินวัตร” ก็ยังมี “ชนัก” รออยู่อีกเพียบ

กล่าวคือในส่วนของ “ทักษิณ” นอกเหนือจากโทษจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่หมดอายุความไปตั้งแต่เดือน ต.ค.61 แล้ว ก็ยังมีคดีที่ถูกพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิดอยู่ 3 คดี รวมมีโทษจำคุก 10 ปี

ประกอบด้วย โทษจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ “คดีหวยบนดิน”, โทษคุก 3 ปี

คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4 พันล้านบาทแก่รัฐบาลพม่า และโทษจำคุก 5 ปี คดีให้บุคคลอื่นถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แทน โดยบริษัท ชินคอร์ปฯ เป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐ 
นอกจากนี้ “ทักษิณ” ยังมีอีก 2 คดีซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. อยู่ 2 คดี นอกจากคดีจีทูจี ล็อต 2 ก็ยังมีถูกกล่าวหาการอนุมัติสั่งซื้อเครื่องบินแบบ A340-500 และ A340-600 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปี 2545-2547 ทำให้การบินไทยมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น อยู่ด้วย 
ขณะที่ “ยิ่งลักษณ์” นอกจากถูกพิพากษาจำคุก 5 ปี คดีปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เมื่อปี 2560 ซึ่งเจ้าตัวหลบหนีไปตั้งแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษา และมีหมายจับในคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต เอื้อประโยชน์ให้สื่อบางสำนักเข้าเป็นคู่สัญญาการจัดงานโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย วงเงิน 240 ล้านบาทโดยมิชอบ ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไปเมื่อเดือน เม.ย.65 แล้ว

อดีตนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย ยังมีคดีในชั้นการไต่สวนของ ป.ป.ช. ตั้งแต่คดีทุจริตจีทูจีภาค 2, คดีโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมิชอบ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้ต้องพ้นจากเก้าอี้ และนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อ 22 พ.ค.57 และถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้ว และคดีถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กรณีปกปิดไม่แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน เป็นอาทิ 
ทั้งโทษจำคุกค้างเก่า มาถึงคดีทุจริตจีทูเจี๊ยะ ภาค 2 ที่จ่อขึ้นเขียง แล้วยังมีคดีสำคัญที่อยู่ในกระบวนการ ของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ทำให้มองได้ว่า โอกาสกลับเมืองไทยอย่างเท่ๆ ของ “สองศรีพี่น้องชินวัตร” ค่อนข้างริบหรี่

เพราะแม้พรรคเพื่อไทยจะ “แลนด์สไลด์” ถึงขั้นพลิกขั้วอำนาจจัดตั้งรัฐบาลได้จริง ก็ไม่เกี่ยวกับโทษจำคุกและคดีความที่ค้างคาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เว้นเสียแต่จะกล้าลุยไฟ “นิรโทษกรรมสุดซอย” ซึ่งบทสรุปก็คงไม่ต่างจาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เมื่อปี 2557

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า พรรคเพื่อไทย ถือเป็น “เต็งหนึ่ง” ในสนามเลือกตั้ง ซึ่งก็นำมาซึ่งความมั่นอกมั่นใจของ “ทักษิณ” และพลพรรคเพื่อไทย ถึงขั้นกล้าเข็น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของ “พ่อษิณ” ลงสังเวียน ลุ้นเป็นนายกฯหญิงคนที่ 2 ต่อจาก “อาปู” พร้อมย้ำภารกิจในหลายวาระ ในการนำพา “พ่อบังเกิดเกล้า” กลับมาเลี้ยงหลานที่เมืองไทย

ทว่า เมื่อคดีทจุริตจีทูจีล็อต 2 โผล่ขึ้นมาเป็น “ชนักใหม่” ก็น่าจับตาว่า “นายใหญ่ดูไบ” จะปรับโหมดพรรคเพื่อไทย ที่เคยตีธงเดินหน้าล่าเป้าหมายแลนด์สไลด์หรือไม่อย่างไร เพราะถือเป็นการลดความอหังการของพรรคเพื่อไทย ที่มั่นใจใน “กระแส” ที่จะพลิกขั้วอำนาจผ่านการเลือกตั้งครั้งต่อไป และมีเป้าหมายสำคัญในการนำ “เฮียโทนี่-น้องปู” กลับบ้านอย่างเท่ๆ

สู้ปรับโหมด “ประนีประนอม” รอเคลียร์ “ชนัก” ให้หมดจดก่อน โอกาสกลับแบบเท่ๆ ได้เลี้ยงหลานที่บ้าน ดีกว่า “แตกหัก” กลับมาแล้วต้องตีตั๋วเข้า “ห้องกรง”.


กำลังโหลดความคิดเห็น