"โสภณ องค์การณ์"
สงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ และยังไม่มีใครประเมินได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ได้สร้างความเสียหายให้ประเทศยูเครนอย่างย่อยยับ ทหารของทั้ง 2 ฝ่ายเสียชีวิตมากมาย พลเรือนหลายหมื่นคนก็เป็นเหยื่อของสงครามโหดด้วย
ตราบใดที่ยังไม่มีการหยุดยิง จะต้องมีการสูญเสียต่อไป ที่รับเละคือยูเครนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนเกือบ 10 ล้านคนต้องอพยพหนีตายออกนอกประเทศ คาดว่าประมาณ 20-30 ล้านคนกำลังไร้ที่อยู่ในประเทศของตนเอง
ระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบระบายน้ำเสีย ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ใช้การไม่ได้ คาดว่าประชาชนยูเครนอีก 7 แสนคนจะอพยพไปสู่ยุโรปตะวันออกในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้เพราะหนีหนาว เพราะไฟฟ้าดับเกือบทั่วประเทศ
เป็นความทุกข์ของคนยูเครนและคนรัสเซียเพราะสงครามโหดแท้ๆ
ล่าสุด พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ ประเมินเมื่อวันที่ 9 เดือนนี้ว่า กองทัพรัสเซียมีทหารบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแล้วกว่า 100,000 นาย จากการทำสงครามรุกรานยูเครน ถือว่าเป็นตัวเลขสูงมาก
การรบเพียง 9 เดือนกว่า เท่ากับว่ามีทหารตายกว่า 1 หมื่นในแต่ละเดือน
พล อ. มิลลีย์ ประเมินว่ากองกำลังฝ่ายยูเครน “อาจจะ” บาดเจ็บล้มตายในจำนวนที่มากพอๆ กัน ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ เพราะแสนยานุภาพต่างกัน
ทั้งยังประเมินว่าพลเรือนยูเครนประมาณ 4 หมื่นคนเสียชีวิตด้วย
เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงความจริงหรือเกินเหตุ ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ ฝ่ายรัสเซียได้ระดมพล 3 แสนคนจากกองกำลังสำรองเพื่อเข้าคุมพื้นที่ 15 เปอร์เซ็นต์ของยูเครนที่รัสเซียยึดได้ รวมเป็น 4 แคว้น เป็นแหล่งอุตสาหกรรม พลังงานและพื้นที่เกษตร
ล่าสุดรัสเซียประกาศถอนทหารออกจากแคว้นเคอร์ซัน โดยให้เหตุผลว่าต้องการรักษาชีวิตของหน่วยรบในช่วงฤดูหนาวจัด และมีความยากลำบากในการส่งเสบียงกองกำลังบำรุง และเลี่ยงจากการโดนโอบล้อมของกองทัพยูเครน
รัสเซียคงจะใช้โดรน หรืออากาศยานไร้คนขับซึ่งกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำคัญในสงคราม และได้ทำลายโครงสร้างแหล่งผลิตไฟฟ้าของยูเครนได้มากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ ทำให้ประชาชนกว่า 3 ล้านคนอาจต้องอพยพออกจากเมืองหลวง
พล อ. มิลลีย์ คงไม่รู้สึกว่าทหารที่เสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่าย รวมทั้งพลเรือนยูเครนนั้นเป็นเพราะสหรัฐฯ เป็นตัวการมาตั้งแต่ต้น นับจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ช่วงนั้น ผู้นำสหรัฐฯ จอร์จ บุช ผู้เป็นพ่อ ได้ให้คำมั่นแก่ผู้นำรัสเซีย นายมิคาอิล กอร์บาชอฟว่า ถ้ารัสเซียยอมให้เยอรมนีตะวันตก ตะวันออกรวมตัวกัน ดังที่เกิดขึ้นในปี 1991 กองกำลังนาโตจะไม่ขยายพื้นที่ออกไปด้านตะวันออก “แม้แต่ตารางนิ้วเดียว”
นั่นเป็นการยุบตัวขององค์กรสนธิสัญญาวอร์ซอว์ที่นำโดยสหภาพโซเวียตและมีกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกเป็นสมาชิกเพื่อต้านนาโตในยุคที่เรียกว่า “สงครามเย็น”
เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายภายไต้ผู้นำรัสเซีย นายกอร์บาชอฟ และ บอริส เยลต์ซิน ทำให้สหรัฐภายไต้ประธานาธิบดี บิล คลินตัน และ จอร์จ ดับบลิว บุช เหิมเกริม มองว่าเป็นการสิ้นสภาพของระบอบคอมมิวนิสต์ ตัวเองจะทำอะไรก็ได้
สหรัฐฯ มองว่าตัวเองเป็นผู้นำ 1 เดียวของโลก รัสเซียเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่จีนยังมีเพียงชุดเหมาเจ๋อตุง และจักรยาน ยังไร้การพัฒนาอย่างทุกวันนี้
สหรัฐฯ จึงได้ขยายพื้นที่ เพิ่มสมาชิกนาโต เริ่มแรก 3 ชาติคือ สาธารณรัฐเช็ก ฮังการี และโปแลนด์ จากนั้นได้เพิ่มอีก 7 ประเทศในยุคของ จอร์จ ดับบลิว บุช จนรุกหนักบอกว่าจะเอายูเครนและจอร์เจียเป็นสมาชิกด้วย ตลอดเวลารัสเซียค้านเต็มที่
แต่สหรัฐฯ ไม่ฟัง ไม่รักษาคำมั่น ไม่สนใจรัสเซียเมื่อมองว่าไร้แสนยานุภาพ
มาถึงยุคผู้นำรัสเซียใหม่ วลาดิเมียร์ ปูติน จึงเริ่มมีคำเตือนว่าการขยายตัวของนาโตเป็นการคุกคามรัสเซีย ในช่วงปี 2013-2014 ยูเครนมีผู้นำชื่อ วิคเตอร์ ยานูโควิช ซึ่งประกาศว่ายูเครนจะเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมกับสมาชิกนาโต
นั่นทำให้สหรัฐฯ ยอมไม่ได้ จึงปลุกระดมฝ่ายขวาจัดและกลุ่มนาซีใหม่ รวมทั้งประชาชนได้ต่อต้านรัฐบาล ชุมนุมประท้วงที่เรียกว่า การปฏิวัติไมดาน ขับไล่ยานูโควิชออกจากตำแหน่ง เป็นการรัฐประหารที่ก่อโดยสหรัฐฯ เพื่อเอายูเครนเข้านาโต
เมื่อดาวตลกทีวีมาเป็นผู้นำยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี อยากเข้านาโตเต็มที่ สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนด้านอาวุธและงบประมาณตั้งห้องแล็บทดลองชีวภาพในยูเครน ลูกชายโจ ไบเดน นายฮันเตอร์ ไบเดน เป็นประธานบริษัทพลังงานบิวริสมาของยูเครน
รัสเซียเตือนแล้วว่าอย่าเข้านาโต เอาทหารมาชุมนุมชายแดน เตือนเซเลนสกีว่าอย่าเข่นฆ่าชาวรัสเซียในแคว้นโดเนตย์และลูกานส์ ตายไปกว่า 1.4 หมื่นคน แต่ไม่ฟัง
สหรัฐฯ และนาโต รวมทั้งพันธมิตรในประชาคมยุโรป เตือนรัสเซียว่าอย่าบุกเข้ายูเครน มิฉะนั้นจะเผชิญกับผลพวงที่เลวร้ายที่สุด ขู่แล้วขู่อีกว่าจะโดนมาตรการคว่ำบาตรทำให้เศรษฐกิจรัสเซียพังพินาศ จะไม่ซื้อพลังงาน ก๊าซ น้ำมันจากรัสเซีย
สุดท้าย รัสเซียอ้างปฏิบัติการพิเศษ บุกเข้ายูเครนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สหรัฐซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจ ผู้นำนาโต แทนที่จะทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย กลับประกาศหนุนยูเครนด้วยอาวุธและเงินงบประมาณ ดึงนาโต ประชาคมยุโรปเข้าร่วมเล่นงานรัสเซีย
ทุกวันนี้ ประมาณ 50 ประเทศพันธมิตร นำโดยสหรัฐฯ รบกับรัสเซียโดยใช้ยูเครนเป็นตัวแทน ความพินาศย่อยยับจึงเกิดขึ้นกับยูเครน รัสเซียก็เสียหาย แต่ไม่ล่มสลายภายใน 2 เดือนตามความคาดหมายของสหรัฐฯ และพันธมิตร ซ้ำยังแข็งแกร่งกว่า
เศรษฐกิจของยุโรป อังกฤษ และสหรัฐฯ ต้องเผชิญปัญหารุนแรง ค่าพลังงานแพง เงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพพุ่ง ประชาชนยากลำบาก ในยุโรปและอังกฤษ คนต้องประหยัด อดมื้อ กินมื้อ เก็บเงินไว้จ่ายค่าก๊าซและไฟฟ้าซึ่งเพิ่มราคาหลายเท่าตัวทั้งขาดแคลน
คนยุโรปในหลายประเทศเริ่มเดินขบวนประท้วงสงคราม ขับไล่ผู้นำรัฐบาล เรียกร้องให้ออกจากองค์กรนาโต เลิกส่งอาวุธช่วยเหลือยูเครน คงมีผู้นำตัวตลกยูเครนที่จำเป็นต้องรับบทหุ่นเชิดของสหรัฐ และยอมให้บ้านเมืองพินาศย่อยยับ
คนยูเครน รัสเซีย และทหารทั้ง 2 ฝ่ายเสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ มีทหารรับจ้าง อาสาสมัครเข้าช่วยยูเครนรบ ล้วนเป็นเหยื่อของสงครามที่สหรัฐฯ ต้องการทำลายรัสเซีย
พล อ. มิลลีย์ คงดีใจที่ทหารอเมริกันไม่ได้เข้าร่วมรบ เหมือนกับการทำลายล้างเวียดนาม อิรัก ลิเบีย ซีเรีย เยเมน อัฟกานิสถาน และประเทศอื่นๆ แต่ไม่เคยรบชนะ
คงไม่รู้สึกด้วยว่าสหรัฐฯ ที่เป็นชาติกระหายสงครามเพราะความอยากเป็นเจ้าโลก ต้องรับผิดชอบกับการเสียชีวิตคนกว่า 2 แสนคน ถ้าตัวเลขเป็นจริง
ถ้าสหรัฐฯ ไม่ขยายพื้นที่นาโต ทั้งที่รัสเซียยุบองค์กรสนธิสัญญาวอร์ซอว์ คงไม่มีวันนี้ และยูเครนคงไม่ใช่สมรภูมิสุดท้ายที่สหรัฐฯ มีส่วนให้เกิดการนองเลือด