ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
วันเวลาผ่านไปก็ให้ปรากฏว่า จากการช่วยกันทำการเกษตรของทหารและราษฎร ได้ทำให้พื้นที่แห่งนั้นมีต้นข้าวโพดที่สูงใหญ่และมีผลที่อวบงาม ผลไม้นานาชนิดให้ผลดกจนดูเหมือนลำต้นแทบจะรับน้ำหนักไม่ไหว เป็ดไก่ก็มีเป็นโขยง ส่วนเล้าหมูก็อัดแน่นไปด้วยจำนวนหมูจนเล้าแทบแตก
ไกลออกไปจากกำแพง แต่ไม่ไกลจนมองไม่เห็นด้วยตา เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของ ชนชาติซย์งหนู ชนชาตินี้ถือเป็นปฏิปักษ์กับชนชาติจีน (ฮั่น) มายาวนาน
อันว่าชนชาติซย์งหนูนี้กล่าวกันว่าเป็นชนชาติที่มีพัฒนาการมาจากชนชาติซวินอี้ว์ โดยซวินอี้ว์นี้ถือเป็นชนชาติเก่าแก่ชนชาติหนึ่งของจีน และเป็นชนชาติแรกๆ ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับชนชาติจีน บางที่ก็เรียกชนชาตินี้ว่า เสียนอวิ่น ครั้นสมัยหลังต่อมาจึงเรียกว่า ซย์งหนู
ในแง่ตัวเขียนแล้วคำเรียกทั้งสองพยางค์ดังกล่าวกลับเขียนเป็นพยางค์เดียวว่า คุน ฉ้วน ฉ่วน ที่แปลว่า คูน้ำหรือร่องน้ำ กับฉ่วนที่แปลว่า สุนัข (ฉ่วนสองคำที่ยกมาในที่นี้มีตัวเขียนคนละแบบ แต่ออกเสียงเหมือนกัน) จนเวลาล่วงเลยไปอีกก็เขียนว่า หู
สำหรับถิ่นฐานของชนชาตินี้อยู่ตรงบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือ หรือที่มณฑลซันซีและสั่นซีในปัจจุบัน จนในชั้นหลังชนชาติซวินอี้ว์จึงถูกเรียกว่า ซย์งหนู และต่อมากลายเป็นชนชาติที่สามารถขึ้นมาท้าทายจักรวรรดิจีนจนส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้ง
อนึ่ง คำว่า ซย์งหนู นี้คำในพยางค์แรกอาจทดลองออกเสียงได้โดยออกว่า ซี-โอง เร็วๆ แล้วจะเป็นเสียง ซย์ง ซึ่งเป็นเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย การออกเสียงทำนองนี้จึงไม่คุ้นกับคนไทย ด้วยเหตุนี้ บางที่จึงออกเสียงง่ายๆ ว่า ซงหนู
ครั้นชาวซย์งหนูเห็นชาวจีนทำการเกษตรเจริญงอกงามและอุดมสมบูรณ์แล้วก็ให้รู้สึกอิจฉา แม้ตนจะมีเนื้อสัตว์ให้บริโภคอยู่มากมาย มีนมให้ดื่ม และมีขนสัตว์ให้สวมใส่กันหนาวไม่ขาดแคลน แต่ซย์งหนูก็ยังคงต้องการธัญพืช เกลือ และชาจากชนชาติจีน
ด้วยความอิจฉาเช่นนั้น หัวหน้าชาวซย์งหนูจึงยกกำลังของตนไปลอบโจมตีทัพจีนและราษฎรจีนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นก็ปล้นชิงหมูเห็ดเป็ดไก่ พืชผลต่างๆ เกลือ ชา และราษฎรจีนไปเป็นแรงงานทาส กองกำลังซย์งหนูปล้นชิงสิ่งเหล่านั้นด้วยความละโมบ พยายามคว้าทุกอย่างเท่าที่มือของตนจะถือไปได้ และเท่าที่ม้าของตนจะบรรทุกได้
จากนั้นก็หนีหายไปอย่างรวดเร็ว
การลอบโจมตีครั้งนี้ของชาวซย์งหนูสร้างความคับแค้นใจให้แก่ขุนศึกจีนยิ่งนัก การที่เขาบูรณะกำแพงและพัฒนาพื้นที่บริเวณนั้นก็เพื่อป้องกันราษฎร และช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่าชาวซย์งหนูจะใจร้ายเช่นนี้
เป็นเวลานานมาแล้วที่ขุนศึกผู้นี้ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวซย์งหนู ว่าได้เลี้ยงฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาบนทุ่งหญ้าและน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์มาโดยตลอด พวกเขามีม้าและโคที่อ้วนท้วน ได้เห็นกระโจมที่พักของพวกเขากระจัดกระจายทั่วทุ่งหญ้า
ที่สำคัญ เขาได้เห็นความสัมพันธ์อันดีของชาวนาจีนกับสัตวบาลซย์งหนู ที่ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่บนทุ่งหญ้าผืนเดียวกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย จนถึงกับมีการแต่งงานระหว่างกัน การกระทำของทัพซย์งหนูในครั้งนี้จึงทำให้ขุนศึกผิดหวังอย่างมาก
จากเหตุนี้ ในวันต่อมาเมื่อตั้งหลักได้แล้ว ขุนศึกจึงยกทัพเข้าตีซย์งหนู และเมื่อเห็นว่าซย์งหนูถอยร่นไปไกลราวสิบลี้แล้วจึงหยุดการตีแล้วถอนกำลังกลับไป แม้จะขับไล่ซย์งหนูไปไกลสิบลี้ แต่ก็ใช่ว่าขุนศึกจีนจะวางใจ ความจริงแล้วเขากลับคิดไม่ออกว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป
เช่น คิดไม่ออกว่าจะสร้างขยายกำแพงในช่วงห่างสิบลี้ดีหรือไม่ หรือถ้าจะทำข้อตกลงสงบศึกกับซย์งหนูก็เกรงว่าซย์งหนูจะไม่รักษาข้อตกลงดังที่ผ่านๆ มา เป็นต้น
จากเหตุนี้ ขุนศึกจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน แต่ละวันผ่านไปด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว แม้ภรรยาของเขาจะทำอาหารจานโปรดของเขาคือหมูตุ๋นกับเห็ด อาหารจานนั้นก็ยังคงถูกปล่อยวางบนโต๊ะจนเย็นชืด ครั้นพอภรรยานำไปอุ่นใหม่แล้วนำกลับไปวางบนโต๊ะอีก ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม คือเขาก็ยังคงไม่แตะอาหารจานนั้น
วันเวลาผ่านไป ขุนศึกจีนผู้นี้ก็เริ่มมีร่างกายที่ผ่ายผอม หนวดเครายาวเฟื้อย พอภรรยาเห็นเข้าเช่นนั้นก็ไม่สบายใจ จึงได้กล่าวกับเขาว่า
“ไยท่านจึงไม่ล้อมรั้วให้กับพืชผักมาขวางเล้าหมูเห็ดเป็ดไก่ขึ้นมาใหม่เสียเล่า โดยล้อมให้ไกลจากกำแพงออกไปสักสิบลี้”
“เหตุใดข้าจะไม่คิด แต่ล้อมรั้วเช่นนั้นก็ใช่จะหยุดยั้งการบุกโจมตีของพวกซย์งหนูได้” ขุนศึกตอบภรรยา
“งั้นก็ยิงพวกซย์งหนูด้วยปืนใหญ่เสียสิ” ภรรยาเสนอแนะ
ผลคือ ข้อเสนอแนะเรื่องปืนใหญ่ทำให้ขุนศึกฉุกคิดได้ว่า ปืนใหญ่สำริดที่ใช้และตั้งอยู่ที่ป้อมแต่ละกระบอกมีขนาดเล็ก ลำพังดินปืนที่ใช้ก็ไม่มาก หากใช้ยิงแล้วก็ไม่ได้ผล เพราะลำกล้องที่สั้นนั้นเมื่อยิงออกไปแล้วจะมีความเร็วไม่เพียงพอ ปืนใหญ่ขนาดเช่นนี้เหมาะที่จะยิงตอบโต้ศัตรูในระยะใกล้เท่านั้น
ถ้าเช่นนั้นมันเป็นไปได้ไหม หากเราจะสร้างป้อมให้ใหญ่กว่าเดิมเพื่อที่จะสามารถตั้งปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะหากทำได้เราก็จะสามารถยิงถล่มทัพซย์งหนูที่อยู่ไกลสิบลี้ได้ โดยระยะเช่นนี้จะไม่กระทบต่อสัตวบาลซย์งหนูที่เป็นราษฎรแม้แต่น้อย
คิดได้เช่นนั้นขุนศึกจีนก็ให้ยินดีปรีดาเป็นที่ยิ่ง จนทำให้เขาหันกลับมากินดื่มได้อย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง ค่ำคืนวันนั้นเขานอนหลับด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เช้าวันรุ่งขึ้น ขุนศึกจีนจึงเรียกเหล่าเสนาฝ่ายปืนใหญ่และช่างโลหะที่เป็นราษฎรละแวกนั้นมาหารือ โดยขอให้พวกเขาช่วยหล่อปืนใหญ่ให้มีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะกล่าวถึงเรื่องดินปืนไปด้วย ทุกคนต่างก็ไม่ขัดข้องที่จะผลิตปืนใหญ่และดินปืนให้ได้ตามที่เขาต้องการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุนศึกจีนก็มีภารกิจที่ทำให้เขาไม่ว่างอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เขาได้บูรณะกำแพงไปเมือก่อนหน้านี้ แต่ภารกิจครั้งนี้ทำให้เขาต้องเดินทางไปยังเมือง จังหวัด และเมืองหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้บังคับบัญชาและเหล่าสหายของเขา
หลังจากผ่านการทดลองหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดปืนใหญ่ที่หล่อด้วยโลหะคุณภาพสูงที่มีขนาดตามที่ขุนศึกจีนต้องการก็สำเร็จ ส่วนดินปืนก็ได้ในจำนวนที่มากพอ ปรากฏว่า ปืนใหญ่รุ่นใหม่นี้สามารถหล่อได้ถึง 9,999 กระบอก และถูกนำไปตั้งประจำการยังป้อมต่างๆ อย่างทั่วถึง โดยถ้าหากเห็นพวกซย์งหนูเคลื่อนไหวมาใกล้กำแพงน้อยกว่าสิบลี้แล้วก็ให้ยิงทันที โดยลูกปืนไม่ได้ทำอันตรายราษฎรซย์งหนูที่เป็นสัตวบาลแม้แต่น้อย
ปืนใหญ่นี้ต่อมาถูกเรียกว่า ปืนใหญ่แสนวิเศษของท่านขุนศึก