นี่เป็น Obama Moment สำหรับประเทศอังกฤษ ที่สังคมส่วนใหญ่ยังเป็นคนผิวขาวเผ่า Anglo Saxon ที่ภูมิใจ (บางคนอาจคลั่งไคล้) ในเผ่าพันธุ์ที่มีผิวขาว, ผมสีทอง (หรือสีอ่อน) และนัยน์ตาสีฟ้า (หรือสีอ่อนๆ) และในวันอังคารที่ 25 ตุลาคมปีนี้เอง ก็ต้องเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ที่ยอมให้คนผิวสีคล้ำ (คือเป็นคนที่ผิวมีสี เพราะผิวไม่ใช่ขาวผ่องแบบทาง Anglo Saxon) ได้เล็ดลอดฝ่าเพดานแก้ว เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีจนได้
ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ นายริชี ซูนัค ซึ่งเป็นคนเชื้อสายอินเดีย (แต่เกิดและเติบโตที่อังกฤษ) คงไม่น่าฝ่าเพดานแก้วได้ง่ายๆ
เปรียบเสมือนนายบารัค โอบามา ที่เป็นคนผิวดำ (แม้จะมีแม่เป็นคนผิวขาวก็ตาม...แต่บารัคมีสีผิวที่ดำเข้มมาก) ซึ่งก็ได้ฝ่าทะลุเพดานแก้วในอเมริกาได้เช่นกัน
และทั้งบารัคและริชี จะเหมือนกันอีกก็คือ พ่อของบารัคเป็นชายแอฟริกันที่เกิดและเติบโตที่ประเทศเคนยา ก่อนได้รับทุนมาเรียนเศรษฐศาสตร์ที่สหรัฐฯ
ขณะที่ปู่ของริชี เป็นชาวอินเดียจากแคว้นปัญจาบ ซึ่งได้อพยพมาทำมาหากินตั้งเนื้อตั้งตัวที่ประเทศเคนยา จนต่อมาพ่อของริชี ซึ่งเกิดที่เคนยา ได้อพยพมาตั้งรกรากที่ประเทศอังกฤษ...พ่อของริชีเป็น GP หรือหมอทั่วไป ขณะที่แม่ของเขาเป็นเภสัชกร โดยพ่อแม่ของริชีเป็นเจ้าของร้านขายยาที่อังกฤษ
ริชีได้เสนอตัวสมัครเข้าเป็นนายกฯ ของอังกฤษ หลังจากที่ตัวเองได้ประสบผลสำเร็จในการเป็นรมต.คลังในช่วงที่อังกฤษกำลังเผชิญกับการระบาดหนักหน่วงจากไวรัสโควิด
แต่เขาต้องผิดหวังในการลงสมัครครั้งแรกเพื่อให้พรรคเลือกเขาเป็นนายกฯ...เพราะแม้ว่าเขาจะมีคะแนนนำมาตลอดในช่วงการดีเบตหลายรอบหน้าจอทีวี และได้คะแนนท่วมท้นจากเหล่า ส.ส.ของพรรค ซึ่งไม่ใช่รอบตัดสินขาด...นั่นคือ เมื่อเหลือผู้สมัคร 2 คนสุดท้าย เขาต้องเผชิญกับหญิงผิวขาวอดีตรมต.ต่างประเทศ ลิซ ทรัสส์ ซึ่งในการลงคะแนนโดยสมาชิก (ที่จ่ายเงินค่าบำรุงพรรครายปีแล้ว) ในการคัดเลือกรอบสุดท้าย เขาก็ต้องพ่ายแพ้ต่อลิซ ทรัสส์ ซึ่งเหตุผลก็คือ สมาชิก 1 แสน 7 หมื่นของพรรคอนุรักษ์มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นผู้ชายผิวขาว (เกิน 60%) และมีอายุมาก (เกิน 60% เช่นกัน) ซึ่งน่าจะยังรับไม่ได้ที่จะให้ประเทศอังกฤษมีนายกฯ เป็นคนอังกฤษเชื้อสายอินเดีย ซึ่งอังกฤษเคยปกครอง (อย่างโหดร้าย, แข็งกร้าว) มาถึง 200 ปี (อย่างเป็นทางการ...แต่ที่ไม่เป็นทางการ...คือ บริษัทการค้าของอังกฤษได้ใช้เล่ห์เพทุบายทำทีเข้ามาค้าขาย แต่ก็ได้ทยอยเข้ายึดครองแคว้นต่างๆ ถึง 300 กว่าปี ก่อนที่จะเข้าปกครองอย่างเต็มที่ทั่วทั้งประเทศ)
นี่ถ้ามิใช่การดำเนินนโยบายของนายกฯ หญิงผิวขาวลิซ ทรัสส์ ที่ทำเอาตลาดเงินตลาดทุนของอังกฤษเกิดอาการทรุดดิ่งอย่างหนัก เพราะนักลงทุนตกใจสุดขีด ที่รัฐบาลของเธอประกาศลดภาษีคนรวยอย่างสวนทางกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์ ที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจถดถอย และคนกำลังตกงาน, ด้วยแรงซื้อที่ลดน้อยถอยลง ขณะที่เงินเฟ้อก็กำลังทำลายสถิติในรอบ 40 ปี แต่รัฐบาลกลับลดภาษีให้กับคนรวย (และกลุ่มคนรวยสุดๆ) แทนที่จะนำเงินรายได้จากภาษีคนรวยนี้มาช่วยประคับประคองกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะในเรื่องพลังงานกำลังราคาสูงลิ่ว รวมทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ซึ่งรัฐมีความจำเป็นต้องเข้าไปช่วยอุดหนุนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
ปฏิกิริยาต่อนโยบายลดภาษีคนรวยของนายกฯ ลิซ ทรัสส์ ทำให้ค่าเงินปอนด์ดิ่งลงต่ำสุดมีค่าเพียง 1 ดอลลาร์กับอีก 3 เซ็นต์ เป็นสถิติที่ต่ำสุดๆ ในประวัติศาสตร์
ตลาดพันธบัตรรัฐบาลก็ดิ่งลงฮวบฮาบ และกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนบำเหน็จบำนาญ ที่จะต้องสิ้นเนื้อประดาตัวในยามแก่ จนธนาคารกลางอังกฤษต้องเข้ามาแทรกแซงถึง 3 ครั้ง ไม่ให้กองทุนเหล่านี้ต้องล้มละลาย
นี่จึงเป็นโอกาสทองสำหรับประตูที่เปิดให้กับริชี ในเมื่อปัญหาเศรษฐกิจกำลังรุมเร้าอย่างหนัก และทำให้เกิดแรงกดดันให้นายกฯ ลิซ ทรัสส์ ต้องจำใจลาออก หลังจากสร้างความเสียหายแก่ตลาดเงินตลาดทุน และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างไม่น่าให้อภัยได้
เหล่า ส.ส.พรรคอนุรักษ์ ได้เห็นการพยากรณ์ของริชีในช่วงดีเบตกับลิซ ทรัสส์ โดยเขาเตือนว่า ถ้าลิซมาลดภาษีคนรวยตอนนี้ จะทำให้เกิดความโกลาหลในตลาดเงินตลาดทุน เพราะรัฐบาลจะต้องกู้เงินมหาศาลเพื่อนำมาใช้จ่าย โดยเฉพาะเพื่ออุ้มกลุ่มเปราะบางในยามที่เศรษฐกิจถดถอย
คำเตือนของริชี ปรากฏกลายเป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ได้ดีดตัวรับข่าวการลดภาษีตัวใหม่ไปอยู่สูงถึง 7% และเกิดความโกลาหลมากขึ้นต่อดอกเบี้ยการกู้ยืมมาจำนองบ้าน ที่กระทบอย่างหนัก
ทำให้ ส.ส.พรรคอนุรักษ์ เทเสียงสนับสนุนให้ริชีเป็นนายกฯ (ในรอบที่สองนี้) ชนิดถล่มทลาย โดยเขาได้เสียงสนับสนุนในคณะกรรมการ 1922 สูงมากถึง 202 เสียง ขณะที่บอริส จอห์นสัน ได้ไม่ถึง 100 (แต่เจ้าตัวประกาศถอนตัวจากการแข่งขัน พร้อมพูดแก้หน้าว่า ตนมีเสียงสนับสนุนถึง 102 เสียง!)
และเพนนี มอร์ดอนท์ ได้แค่ไม่ถึง 30 เสียงเท่านั้น
การฝ่าทะลุเพดานแก้วของริชีครั้งนี้ ก็ด้วยเขาได้แสดงความสามารถในช่วงโควิดระบาด และเขารับบทเป็นรมต.คลังพอดี โดยได้ให้งบสูงถึง 3 แสน 5 หมื่นล้านปอนด์เพื่อช่วยพยุงไม่ให้เกิดการปลดงานครั้งใหญ่ (เพราะร้านค้าต้องปิดตามคำสั่งล็อกดาวน์) โดยขอให้นายจ้างไม่ไล่ลูกจ้างออก แต่ให้จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทางรัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการรายย่อย
และยังมีการเพิ่มเงินให้เหล่าแพทย์ พยาบาลที่ต้องโหมดูแลผู้ป่วยที่ล้นโรงพยาบาล เป็นต้น
เขาได้กล่าวยอมรับว่า ปัญหาที่อังกฤษกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้สาหัสสากรรจ์นัก ซึ่งก็เป็นความท้าทายที่เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาใช้สติปัญญาในการพยายามแก้ไข...ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือ การโยนทิ้งนโยบายของลิซ ทรัสส์ แทบทั้งหมด แล้วกลับไปดำเนินนโยบายที่คงภาษีคนรวยไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องให้การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางต่างๆ ในช่วงที่กำลังเกิดเศรษฐกิจถดถอยที่อังกฤษขณะนี้
เป็นไปได้อย่างสูงที่เขาจะนำเอาภาษีลาภลอยกลับมาใช้กับบริษัทพลังงานอีกครั้งหนึ่งด้วย! และจะกลับไปคว่ำบาตรห้ามขุดน้ำมันด้วยระบบ Facking ตามเดิม
ด้วยวัยหนุ่มที่ทำให้เขาทำลายสถิตินายกฯ อายุน้อยสุดในรอบ 200 กว่าปี (อดีตนายกฯ เดวิด คาเมรอน และอดีตนายกฯ โทนี แบลร์ เริ่มเป็นนายกฯ ขณะอายุ 43 ปี) คืออายุแค่ 42 ปี และยังเป็นนายกฯ คนแรกที่มีเชื้อสายเอเชีย ขณะเดียวกัน ก็เป็นนายกฯ คนแรกของอังกฤษที่นับถือศาสนาฮินดูด้วย (เป็นศาสนาเดียวกันกับนายกฯ อินเดีย-นเรนทรา โมดี)
แม้จะถูกกดดันอย่างหนักหน่วงจากพรรคแรงงาน (ที่กำลังสนับสนุนให้สหภาพแรงงานหลายแห่งนัดหยุดงานประท้วง ขอขึ้นค่าแรงเพื่อสู้กับเงินเฟ้อที่ทำให้สินค้าแพงทุกรายการถีบตัวสูงมาก) เพื่อให้มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เพราะคะแนนนิยมของพรรคอนุรักษ์ กำลังดิ่งไปอยู่แค่ 20% แต่ริชีก็กำลังพยายามประคองเศรษฐกิจให้อยู่รอดท่ามกลางคลื่นลมแรงสุดทางการเมืองที่มีการนัดหยุดงานเต็มไปหมด
เพราะถ้าคะแนนนิยมของพรรคอนุรักษ์ จะดีดตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดจากการแก้ปัญหาของเขา ก็น่าจะถึงเวลายุบสภา และเลือกตั้งใหม่นั่นเอง