xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กำแพงหมื่นลี้ (16) เรื่องเล่าในกำแพง (ต่อ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ด่านเจียอี้ว์ (Jiayuguan) ของกำแพงเมืองจีนฝั่งตะวันตกซึ่งสร้างในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) : ภาพ-สำนักข่าวซินหัว
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 นกนางแอ่นบินชนประตูป้อมจนตาย 

เห็นชื่อเรื่องเล่าเรื่องนี้แล้วคงไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริงแน่ ๆ ไม่ต้องอื่นไกล เรื่องเล่านี้แค่ขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แต่จะตรงกับราชวงศ์ไหนก็ไม่มีใครจำได้แล้ว...”

ก็ชัดเจนว่า คงมีใครสักคนผูกเรื่องขึ้นมาอย่างแน่นอน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ด่านเจียอี้ว์ ที่ซึ่งเป็นด่านเดียวกับเรื่อง อิฐก้อนที่ 99,999 ก้อนที่ด่านเจียอี้ว์ ที่เล่าไปแล้ว โดยเรื่องนี้เล่าว่า นกนางแอ่นคู่หนึ่งจะบินออกจากด่านเจียอี้ว์ไปหาอาหารยามเช้าและบินกลับมาที่ด่านนี้ในยามเย็น ทั้งคู่ปฏิบัติเช่นนี้มาปีแล้วปีเล่าจนเป็นกิจวัตรและปกติสุข

ข้างฝ่ายข้าราชการทหารและพลเรือนที่ประจำอยู่ที่ด่านนี้ต่างก็เห็นกิจวัตรของนกนางแอ่นคู่นี้จนคุ้นชิน บางช่วงก็เห็นทั้งคู่จับตัวหนอนมาป้อนให้แก่ลูกน้อยในรัง โดยไม่เคยคิดทำร้ายนกนางแอ่นคู่นี้เลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุนี้ ทั้งข้าราชการและทหารที่ด่านนี้จึงมักได้ยินเสียงร้องของนกนางแอ่นคู่นี้เป็นประจำ โดยที่ต่างก็เห็นว่านกนางแอ่นคู่นี้รักกันดี

จนวันหนึ่ง นกนางแอ่นคู่นี้ได้บินออกไปหาอาหารเช่นเคย แต่วันนี้ทั้งสองบินไปไกลมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา ครั้นถึงเวลากลับก็เป็นช่วงพลบค่ำที่ตะวันตกดิน และนายด่านก็ได้ปิดประตูด่านไปแล้ว ทำให้ทั้งสองไม่อาจกลับเข้าไปภายในด่านได้ จากเหตุนี้ นกนางแอ่นจึงร้องเรียกออกไปว่า

“ได้โปรดเปิดประตูด้วย เราคือนกนางแอ่นที่ประจำอยู่ที่ด่านนี้ ให้เราเข้าไปข้างในเถิด”

แต่ทหารที่เฝ้าด่านอยู่ตอบกลับไปว่า “ไม่ได้ ไม่มีทางโดยเด็ดขาด ด่านนี้เปิดตอนกลางวันและปิดตอนกลางคืนด้วยเวลาที่แน่นอน นี่คือคำสั่งจากเบื้องบน เรามิอาจขัด”

“แต่เราเป็นเพื่อนบ้านกัน” นกนางแอ่นตอบด้วยน้ำเสียงวิงวอน “เรารู้จักท่าน ท่านก็รู้จักเรา ได้โปรดเปิดประตูให้เราเข้าไปด้วยเถิด นายของท่านคงไม่ตำหนิท่านดอก”

“ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะนี่เป็นคำสั่งที่สำคัญทางการทหาร หากมิได้รับอนุญาตจากเบื้องบน ไม่ว่าใครก็มิอาจเปิดประตูได้หลังจากที่มันปิดไปแล้ว ใครฝ่าฝืนจักมีโทษถึงตาย” ทหารตอบกลับ

นกนางแอ่นจึงตอบกลับไปว่า “แต่เราเป็นเพียงนกนางแอ่น ท่านจะปฏิบัติต่อเราดังที่ปฏิบัติต่อมนุษย์หาได้ไม่”
ทหารตอบโต้กลับไปว่า “แต่ตามคำสั่งทางการทหารแล้ว ไม่ว่านกหรือมนุษย์ต่างก็ถูกปฏิบัติด้วยความเท่าเทียมกัน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ นกนางแอ่นจึงได้แต่วิงวอนร้องขอต่อทหารบนด่านอย่างน่าสงสาร แต่ทหารที่อยู่บนด่านก็ยังยืนกรานเสียงแข็งที่จะไม่เปิดประตูให้ ตราบจนมืดค่ำ นกนางแอ่นทั้งคู่ก็ยังคงอยู่นอกกำแพงโดยที่มิอาจหาที่พักพิงค้างแรมได้ เพราะบริเวณนอกด่านนั้นไม่มีต้นไม้หรือบ้านใครตั้งอยู่เลย

ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี นกนางแอ่นทั้งคู่บินไปมาอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทาง เมื่อถึงคราวชะตาขาดนั้นเอง ทั้งคู่ได้บินชนเข้ากับกำแพงของด่านเจียอี้ว์เข้าอย่างจังจนเสียชีวิตไปในที่สุด

 เล่ากันว่า ทุกวันนี้หากใครเอาก้อนหินไปเคาะกำแพงด้านตะวันตกของที่ด่านเจียอี้ว์แล้ว ก็จะได้ยินเสียงแหลมเล็กคล้ายกับเสียงร้องของนก เสียงนั้นก็คือเสียงจากวิญญาณของนกนางแอ่นทั้งคู่ที่ตายไป 

แต่ด้วยปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็ได้ทำให้สถานที่ที่ว่ากลายเป็นหนึ่งในแหล่งทัศนศึกษาที่น่าสนใจของเมืองซูโจวมาจนทุกวันนี้

แต่หากไม่นับเรื่องเล่าที่ผูกกันขึ้นมาเองของคนจีนแล้ว เสียงแหลมเล็กที่เกิดจากการใช้หินเคาะกำแพงนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากลักษณะทางสถาปัตยกรรมกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของกำแพงในช่วงนี้ นั่นคือ กำแพงนี้ที่ตั้งอยู่ในที่ต่ำในขณะที่บางส่วนตั้งอยู่ในที่สูง ที่ตั้งเช่นนี้ทำให้กำแพงเกิดเป็นแนวโค้งขึ้นมา

นอกจากนี้ อิฐที่ใช้สร้างกำแพงในบริเวณดังกล่าว ยังเป็นอิฐที่มีคุณภาพมากพอที่จะทำให้กำแพงมีความแข็งแรงคงทนด้วยแล้ว เสียงเคาะกำแพงจึงเป็นเสียงที่หนักแน่น จนปรากฏเป็นเสียงสะท้อนที่มาจากแนวโค้งของกำแพง
 
เหตุดังนั้น หากเราเคาะกำแพงด้วยก้อนหินในขณะที่มีลมพัดมาแม้เพียงแผ่ว เราก็จะได้ยินเสียงดังคล้ายกับเสียงนกร้อง เสียงที่ว่าส่วนหนึ่งก็มาจากการสะท้อนจากลักษณะและที่ตั้งของกำแพงดังที่ได้กล่าวไปนั้นเอง ในขณะเดียวกันก็ตอกย้ำให้เห็นถึงการเป็นนักเล่าเรื่องของชาวจีนไปอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน

ดีที่เรื่องนี้ฟังดูยังไง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ให้อารมณ์ที่ชวนเศร้าเสียจริง ๆ

 ขุนศึกปืนใหญ่ 

เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ต้องการสะท้อนความซื่อสัตย์สุจริต รักชาติบ้านเมือง และความกล้าหาญชาญชัยของทหาร ผ่านการผูกเรื่องโดยให้ขุนศึกนายหนึ่งเป็นตัวละครหลัก ขุนศึกผู้นี้ใช่แต่จะเก่งในการศึกเท่านั้น หากยังมีจิตใจที่รักและเป็นห่วงมวลชนอีกด้วย

เรื่องนี้เล่าว่า ขุนศึกผู้นี้เกิดที่ภาคใต้ แล้วไปโตที่ภาคเหนือ พอเป็นหนุ่มได้สมัครเป็นทหารและมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนได้เป็นนายพล จนเมื่อเขาได้มาเป็นผู้เฝ้ากำแพงเมืองจีนนั้นเอง เรื่องเล่านี้จึงเกิดขึ้น
 

ขุนศึกผู้นี้เฝ้าระวังศัตรูภายนอกอยู่ที่กำแพงเมืองจีนมายาวนาน จนครั้งหนึ่งเขาและขุนนางได้ทำการสำรวจกำแพงตลอดแนวที่เขาประจำการอยู่ แล้วพบว่ามีหลายจุดของกำแพงเกิดชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา เขาจึงให้ทหารใต้บังคับบัญชาและแรงงานที่อยู่แถบนั้นมาช่วยกันซ่อมกำแพง เวลาผ่านไปนานหลายเดือน กำแพงที่เขาซ่อมก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
 
ปรากฏว่า กำแพงที่ซ่อมแล้วเสร็จนี้มิอาจเรียกว่าซ่อมได้ แต่ควรเรียกว่าบูรณะและสร้างต่อเติมขยายขึ้นมาใหม่จึงจะถูก เพราะกำแพงที่สร้างแล้วเสร็จนี้มีความสูงมากกว่ากำแพงเดิม อีกทั้งยังแข็งแรงคงทนมากขึ้น จุดใดหรือป้อมใดที่แต่เดิมดูไม่แข็งแรงก็ถูกทำให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

จะว่าไปแล้วกำแพงที่เขาซ่อมนี้ก็คือ กำแพงใหม่ดี ๆ นี้เอง

หลังจากที่บูรณะกำแพงจนกลายเป็นกำแพงใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว ขุนศึกผู้นี้ก็จัดวางกำลังทหารตามจุดต่าง ๆ ของกำแพงขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก คันธนูกับลูกธนู ปืนใหญ่ ตลอดจนก้อนหินที่ใช่ทุ่มเข้าใส่ศัตรูล้วนถูกเตรียมพร้อมขึ้นมาใหม่เสร็จสรรพ

ส่วนด้านนอกกำแพง เขาก็บัญชาให้ทำการทั้งขุดทั้งสร้างค่ายคูประตูหอรบขึ้นใหม่ จนมั่นใจได้ว่ายากที่ข้าศึกจะเจาะเข้ามาได้

 ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อให้ทหารใต้บังคับบัญชามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาก็ยังได้ให้ทหารของเขาใช้พื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำให้พื้นที่ที่ว่าให้เป็นพื้นที่ทางการเกษตร ด้วยเหตุนี้ ผักหญ้าและผลไม้นานาชนิดจึงอุดมสมบูรณ์ในค่ายทหารแห่งนี้ 


กำลังโหลดความคิดเห็น