xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กำแพงหมื่นลี้ (14) เรื่องเล่าในกำแพง (ต่อ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ด่านฮว๋างหยา : ภาพวิกิพีเดีย
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล


เมื่อเจรจาถึงขั้นยกองค์จักรพรรดิขึ้นมาอ้างอย่างไรก็ไม่ได้ผล ในที่สุดมหาดเล็กก็ท้อใจและยอมที่จะเป็นฝ่ายถอย ตอนนั้นได้เวลาพลบค่ำแล้ว เหล่าเสนามาตย์ที่ตามเสด็จคังซีก็ให้รุ่มร้อนใจ ด้วยจำต้องค้างแรมในที่โล่งเช่นนั้น ซึ่งจะไม่เป็นที่ปลอดภัยแก่องค์จักรพรรดิ

บรรดาข้าราชบริพารต่างก็ขนสัมภาระลงจากหลังม้า แล้วตั้งที่บรรทมในถ้ำเล็ก ๆ ที่ตรงบริเวณประตูเมืองให้เป็นที่ประทับ แล้วทุกคนต่างก็พร้อมใจถวายการอารักขาคังซีตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้หลับได้นอน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายที่ไม่คาดคิดขึ้นมา

ครั้นประตูกำแพงเปิดอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น คังซีและเหล่าเสนามาตย์จึงได้เข้าเมืองไป ขณะที่ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านนายด่านที่เฝ้าประตูเมืองนั้นเอง เขาก็พบว่านี่คือขบวนเสด็จของจักรพรรดิจริงก็ให้ตกใจเป็นที่ยิ่ง นายด่านรีบคุกเข้าถวายบังคมพร้อมกับทูลด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

“ขอฝ่าบาททรงอภัยโทษด้วย ขอฝ่าบาททรงอภัยโทษด้วย”

คังซีทรงเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกทั้งโกรธและยินดีระคนกัน ที่ทรงโกรธก็ด้วยนายด่านไม่ยอมเปิดประตูเมืองเพราะไม่เชื่อว่าพระองค์คือจักรพรรดิ จนพระองค์ต้องทรงค้างแรมในที่ที่สุ่มเสี่ยงต่ออันตราย และไม่สะดวกต่ออาหารและน้ำท่าทั้งปวง

ส่วนที่ทรงยินดีก็เพราะได้เห็นความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่ของนายด่าน ด้วยความเคร่งครัดในกฎหมายและจงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิง พระองค์ทรงคิดว่า...

 “กำแพงเมืองของราชวงศ์หมิงใหญ่โตและแข็งแกร่ง เหตุใดจึงถูกเราตีแตก ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะจริยธรรมของพวกเขาตกต่ำ เราไม่จำต้องใส่ใจในเสถียรภาพแห่งราชวงศ์เราอีกแล้ว ตราบเท่าที่มีทหารที่ซื่อสัตย์เยี่ยงนี้” 

ส่วนนายด่านที่ยังคงคุกเข่าอยู่นั้น ครั้นเห็นจักรพรรดิทรงนิ่งเงียบอยู่นาน ในใจก็คิดว่า “เราทำให้จักรพรรดิทรงโกรธกริ้ว เห็นทีคราวนี้หัวต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่”

 ในเสี้ยวเวลาที่นายด่านกำลังครุ่นคิดถึงชีวิตของตนนั้นเอง คังซีก็ทรงเลิกพระขนง (คิ้ว) และมองไปยังนายด่านแล้วตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด เจ้าจะได้บำเหน็จจนถึงขนาดจากที่เจ้าเคร่งครัดต่อกฎหมาย เราจะให้ตำแหน่งที่สูงขึ้นอีกหนึ่งขั้นแก่เจ้า พร้อมกับเงินแท่งอีกหนึ่งร้อยตำลึง” 

ครั้นได้ยินเช่นนั้น ความรู้สึกของนายด่านก็พลันเปลี่ยนจากความเศร้าโศกมาเป็นความยินดี ได้แต่ทูลว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อนึ่ง ตอนที่คังซีทรงคิดในใจว่า จริยธรรมของหมิงตกต่ำนั้น พระองค์หมายถึงเมื่อครั้งที่ทัพแมนจูได้ยกมาตีจีนในปลายสมัยหมิง ว่าพอยกมาถึงด่านซันไห่แล้วก็ไม่สามารถตีกำแพงให้แตกได้ แต่เพราะ  ขุนศึกอู๋ซันกุ้ย (ค.ศ.1612-1678)  ของหมิงที่รักษาด่านซันไห่เปิดประตูเมืองให้ทัพแมนจู ทำให้ทัพแมนจูตีจีนได้สำเร็จ และทำให้แมนจูสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้นมาได้ในที่สุด

การเปิดประตูเมืองให้ทัพแมนจูตีจีนของอู๋ซันกุ้ยในครั้งนั้นเป็นที่ถกเถียงมาจนทุกวันนี้ว่า เป็นพฤติกรรมที่ดีและถูกต้องแล้วหรือเป็นพฤติกรรมที่ขายชาติ ฝ่ายที่ว่าดีและถูกต้องให้เหตุผลว่า เวลานั้นจีนกำลังเสื่อมถอยอย่างถึงที่สุด จักรพรรดิอ่อนแอ เหล่าเสนามาตย์ก็ฉ้อฉล สมควรที่จะถูกโค่นล้ม ด้วยพอแมนจูตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นแล้ว ราชวงศ์นี้ก็สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่จีนอีกยาวนาน

ส่วนฝ่ายที่ว่าอู๋ซันกุ้ยขายชาติให้เหตุผลว่า ถึงแม้หมิงจะเสื่อมถอยอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่อู๋ซันกุ้ยจะต้องไปเปิดประตูเมือง เพราะเป็นที่รู้กันว่า ด่านซันไห่เป็นด่านที่แข็งแกร่งอย่างมาก ทั้งมีระบบการทำลายศัตรูหากศัตรูรุกเข้ามาอีกด้วย (ดังที่งานศึกษานี้เคยกล่าวไปแล้ว) โดยจะเห็นได้ว่า ทัพแมนจูมาจ่ออยู่ตรงด่านซันไห่มานานนับเดือนแล้วก็ไม่สามารถตีให้แตกได้ หากอู๋ซันกุ้ยไม่เปิดประตูเมืองให้แล้วก็ยากที่ทัพแมนจูจะตีให้แตกดังที่เห็น

ที่สำคัญ ฝ่ายหลังนี้เห็นว่า แมนจูมิใช่ชนชาติจีน หากเป็นไท้ต่างด้าวท้าวต่างแดนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากจีนอย่างมาก พฤติกรรมของอู๋ซันกุ้ยจึงถูกมองว่าขายชาติด้วยเหตุนี้

 ป้อมแม่หม้ายที่ด่านฮว๋างหยา 

กำแพงเมืองจีนในช่วงที่เป็นด่านฮว๋างหยา (ฮว๋างหยากวาน) ที่อยู่ในจี้โจวอันเป็นเมืองที่ขึ้นต่อนครเทียนจิน และไกลจากเทียนจินขึ้นไปทางเหนือ 126 กิโลเมตรนั้น มีป้อมอยู่ป้อมหนึ่งที่เรียกว่า  ป้อมแม่หม้าย (กว่าฟู่โหลว, Widow Tower)  คำเรียกนี้ย่อมมีที่มาและเรื่องเล่า

 ด่านฮว๋างหยาเป็นด่านที่สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉีเหนือ (เป่ยฉี, ค.ศ.550-577) แห่งราชวงศ์ใต้เหนือ (หนันเป่ยเฉา, ค.ศ.386-589) ครั้นถึงสมัยราชวงศ์หมิงก็ได้รับการบูรณะและต่อเติมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีขุนศึกชีจี้กวางเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง 

เล่ากันว่า ตอนที่ชีจี้กวางให้ทหารใต้การบังคับบัญชาของตนมาเป็นแรงงานในการก่อสร้างนั้น ก็ให้ปรากฏมีภรรยาของแรงงานทหาร 12 คนเกิดความเป็นห่วงเป็นไยในสามีของตน ภรรยาทั้ง 12 จึงได้เดินทางมาเยี่ยมสามีของเธอ ระหว่างทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เหล่าภรรยาก็ไม่ย่อท้อและต่างก็เดินทางด้วยความทุกข์ยาก

เดินทางถึงบริเวณใดที่มีการสร้างกำแพง ก็จะถามหาสามีจากแรงงานเกณฑ์ที่กำลังสร้างกำแพงมาตลอดทาง

จนเมื่อมาถึงด่านฮว๋างหยาก็รู้จากแรงงานที่ด่านนี้ว่า สามีของเธอทั้งหมดได้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งยังความเศร้าโศกเสียใจให้แก่เหล่าภรรยายิ่งนัก หลังจากนั้นแม่หม้ายทั้ง 12 คนก็เดินทางไปยังสุสานอันเป็นที่ฝังศพสามีของตนเพื่อเคารพสักการะ

ในระหว่างนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่ชีจี้กวางออกสำรวจการสร้างกำแพง จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาก็รายงานว่าได้มีหญิงหม้ายมาตามหาสามีของตน และกำลังไปเคารพสุสานสามีของเธออยู่ ครั้นทราบความชีจี้กวางก็รีบเดินทางไปยังสุสานดังกล่าวโดยไม่รอช้า

เมื่อไปถึงก็พบกับเหล่าแม่หม้าย ชีจี้กวางได้กล่าวแสดงความเสียใจพร้อมกับปลอบประโลมแม่หม้ายทั้ง 12 คน และสัญญาว่าจะปูนบำเหน็จให้แก่เธอทั้งหมดอย่างถึงขนาด

แต่ขณะเดียวกันชีจี้กวางก็กล่าวยกย่องว่า สามีของเธอเสียชีวิตในหน้าที่ และสมควรที่จะภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างกำแพง โดยขอให้เธอทั้งหมดยับยั้งความเศร้าโศกเสียใจ จากนี้ไปเมื่อกลับไปยังบ้านเกิดแล้วให้ดูแลลูกและบุพการีให้ดี หลังจากนั้นต่างก็ร่ำลาจากกันไป

ในคืนนั้นเอง แม่หม้ายทั้ง 12 คนได้ปรึกษาหารือกันว่า เธอควรสานต่องานสร้างกำแพงของสามีเธอต่อไปให้แล้วเสร็จ เมื่อตกลงเช่นนั้นก็บริจาคเงินบำเหน็จไว้เป็นทุนสร้างกำแพง จากนั้นก็ช่วยลงแรงในการสร้างกำแพงร่วมกับแรงงานชายอีกด้วย แม่หม้ายเหล่านี้ทำงานตั้งแต่แบกอิฐแบกปูน ผสมดินกับปูน และช่วยก่ออิฐโบกปูนในการสร้างกำแพง

 แม่หม้ายทั้ง 12 คนทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลางวันทำงาน กลางคืนนอนพัก โดยไม่บ่นสักคำ จนป้อมและกำแพงของด่านฮว๋างหยาแล้วเสร็จ และเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่หม้ายทั้ง 12 คน ทุกคนจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อป้อมแห่งนี้ว่า ป้อมแม่หม้าย 

และเมื่อมีการบูรณะป้อมแห่งนี้ในชั้นหลังได้มีการค้นพบข้าวของเครื่องใช้ของเหล่าแม่หม้ายด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น