xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ขอบเขตพระราชอำนาจและบทบาท ของสถาบันพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร (ตอนที่ ๒)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


the English Constitution เขียนโดย Walter Bagehot
 คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร

ในตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึง  หนังสือชื่อ the English Constitution (ค.ศ. ๑๘๖๗)  ที่เขียนโดย  วอลเตอร์ แบจอจ์ท (Walter Bagehot)   ที่เป็นหนังสือที่ใช้อ้าอิงในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับขอบเขตพระราชอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร และมีข้อถกเถียงว่า ตกลงแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษใช้หนังสือเล่มนี้ในการเปลี่ยนแปลงขอบเขตพระราชอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือพระมหากษัตริย์อังกฤษเปลี่ยนแปลงขอบเขตพระราชอำนาจและบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์เอง (ผู้สนใจดูข้อถกเถียงนี้ได้ในตอนที่แล้ว) เพราะอังกฤษมีการเปลี่ยนแปลงขอบเขตพระราชอำนาจในครึ่งหลังของรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้คือ การลดพระราชอำนาจที่เคยมีมาก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สัมพันธ์กับการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ผ่านการตราพระราชบัญญัติกำหนดเขตเลือกตั้งและผู้มีสิทธิเลือกตั้งใหม่ 

ถ้าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เกิดขึ้นจากพระราชดำริและพระราชวินิจฉัยของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเอง ก็ถือว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ปรับตัวจากภายในราชสำนักเอง แต่ถ้าการปรับตัวนี้เกิดจากการอ่านหรือฟังสาระสำคัญของหนังสือ the English Constitution ของนายแบจอจ์ท ก็ถือว่า การปรับตัวหรือการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเกิดจากการฟังเสียงประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่ถือได้ว่าเป็นปัญญาชนชั้นนำของอังกฤษ (นายแบจอจ์ทเป็นปัญญาชนชั้นนำอย่างไร ผู้สนใจอ่านย้อนตอนที่แล้วได้ครับ) 
 
จะว่าไปแล้ว การที่สถาบันพระมหากษัตริย์รับฟังเสียงประชาชนและมีการปรับตัวหรือตอบสนองต่อเสียงประชาชน จะช่วยให้สถาบันฯ มีความยั่งยืนยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ


 สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ 

 ส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์เดนมาร์กเป็นตัวอย่างที่ดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เดนมาร์กภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีอายุยืนยาวมาก นั่นคือ ตั้งแต่ ค.ศ. 1665-1849 (184 ปี) 


และการรับฟังเสียงของประชาชนในช่วงทศวรรษ 1840 ก็ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของเดนมาร์กเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการใช้กำลังความรุนแรงและบาดเจ็บเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด ถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างสงบสันติ ถ้าไม่นับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของภูฏานในปี ค.ศ. 2008 เพราะก่อนที่ภูฏานจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง เดนมาร์กถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างสงบราบรื่น จนนักรัฐศาสตร์อเมริกันที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันอย่าง ฟรานซิส ฟูคุยามา  เห็นว่า นักรัฐศาสตร์ในสาขาการพัฒนาการเมืองและการเมืองเปรียบเทียบควรศึกษาพัฒนาการทางการเมืองของเดนมาร์กในฐานะที่เป็นต้นแบบที่สำคัญ (ผู้สนใจศึกษาการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเดนมาร์กจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ สามารถอ่านได้จากหนังสือชื่อ “ปิยกษัตริย์ : เส้นทางสู่ระบอบกษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก, 1849” ของสำนักพิมพ์คบไฟครับ)

พระเจ้าชารล์สที่สิบสอง

 พระเจ้ากุสตาฟที่สี่
 ส่วนที่ผมกล่าวไปข้างต้นว่า  “สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั่นคือ ในสมัย  พระเจ้าชาร์ลสที่หนึ่ง ที่ไม่ทรงประนีประนอมกับข้อเรียกร้องสิบเก้าข้อในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์จากฝ่ายรัฐสภา นอกจากไม่ประนีประนอมแล้ว พระองค์ยังเป็นฝ่ายประกาศสงครามกับฝ่ายรัฐสภาด้วย ส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1642-1649 ลงเอยด้วยฝ่ายพระเจ้าชาร์ลสที่หนึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และถูกนำตัวขึ้นศาลด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏและถูกตัดสินบั่นพระเศียร และฝ่ายรัฐสภาได้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบปี กองทัพและรัฐสภาก็ตัดสินใจฟื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่ และดำรงอยู่เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ 

 ขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดนก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เพราะพระมหากษัตริย์องค์ที่สองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนไม่สนใจรับฟังคำทัดทานจากฝ่ายสภาฐานันดร โดยเฉพาะอัครเสนาบดีที่ท้วงติงเรื่องการทำสงครามอย่างไม่หยุดหย่อนของ  พระเจ้าชารล์สที่สิบสอง  จนทำให้ทหารเสียชีวิตล้มตายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งปัญหาการคลังที่ถูกใช้ไปในการทำสงคราม เพราะพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองต้องการรักษาความเป็นมหาอำนาจในยุโรปของสวีเดน พระองค์มีพระราชปณิธานที่จะทำให้  “ทะเลบอลติกเป็นทะเลสาบของสวีเดน” พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่เคร่งครัดในวินัยอย่างยิ่ง ไม่แตะต้องสุรา นารี แต่เน้นไปที่การทำสงคราม

พระองค์เสด็จสวรรคตในสนามรบในปี ค.ศ. 1718 โดยมีข่าวลือว่า พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยฝีมือของทหารของพระองค์เอง เพราะภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การจะเปลี่ยนพระราโชบายการทำสงครามของพระมหากษัตริย์ที่ไม่ฟังเสียงผู้ใด มีวิธีการเดียวคือ ถ้าไม่ก่อการกบฏเปลี่ยนตัวพระมหากษัตริย์ก็ต้องลอบปลงพระชนม์ ซึ่งการลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์สวีเดนไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียวในกรณีของพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสอง(หากไม่ได้เป็นข่าวลือ) แต่สวีเดนมีการลอบปลงพระชนม์อีกครั้งในปี ค.ศ. 1792 ในรัชสมัยพระเจ้ากุสตาฟที่สาม


การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดนก็เกิดจากการที่พระมหากษัตริย์ไม่ฟังเสียงสภาฐานันดรในเรื่องการทำสงครามเช่นกัน นั่นคือ ในรัชสมัยของ พระเจ้ากุสตาฟที่สี่ ในปี ค.ศ. 1809 โดยเกิดจากการที่ผู้นำกองทัพได้นำนายทหารจำนวนไม่กี่คนเดินทางเข้าไปในพระราชวังและจับตัวพระเจ้ากุสตาฟที่สี่และบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ และกราบบังคมทูลเชิญพระปิตุลาให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

การสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนในปี ค.ศ. 1718 นอกจากจะมีสาเหตุจากพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองเสด็จสวรรคตแล้ว พระองค์ยังไม่มีพระโอรสและพระธิดา เพราะพระองค์ไม่อภิเษกสมรสด้วยไม่สนใจในเรื่องดังกล่าว แต่ทรงหมกมุ่นแต่การทำสงคราม ทำให้การสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีปัญหา เพราะกฎมณเฑียรบาลในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำหนดให้พระโอรสหรือพระธิดาพระองค์ใหญ่เป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์โดยอัติโนมัติ เมื่อไม่มีพระโอรสและพระธิดา อำนาจในการตัดสินหรือกำหนดตัวผู้สืบราชสันตติวงศ์จึงกลับมาที่สภาฐานันดรสวีเดน เพราะก่อนหน้าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้สืบราชสันตติวงศ์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาฐานันดร ซึ่งขณะนั้น ผู้ที่อยู่ในฐานะจะสืบราชสันตติวงศ์ต่อจากพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองได้ คือ พระขนิษฐาและพระนัดดา จึงเกิดการต่อรองกันขึ้นระหว่างสภาฐานันดรและกองทัพกับพระขนิษฐา โดยสภาฐานันดรและกองทัพจะรับรองพระขนิษฐาให้ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีนาถก็ต่อเมื่อพระองค์ยอมสละพระราชอำนาจตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และยอมรับการถูกจำกัดพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1720 ที่ออกโดยสภาฐานันดร
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า การรับฟังเสียงประชาชนหรือขุนนางเสนาบดีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความยั่งยืน (แต่ก็นั่นแหละ คงต้องรู้จักเลือกฟังด้วย !)

ที่จริงในยุโรปในช่วงฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ หรือที่เรียกว่า ยุคเรเนซอง (Renaissance)  มีนักคิดนักเขียนจำนวนไม่น้อยนิยมเขียนงานประเภทที่เรียกว่า  “the Mirror of the Prince”  ถ้าจะแปลเป็นไทยให้ได้ความดี ก็ต้องขอยืมชื่อหนังสือของท่าน  อาจารย์ ส. ศิวรักษ์ นั่นคือ “คันฉ่องส่องเจ้า”  (เข้าใจว่าตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2525 และก่อนหน้านั้น อาจารย์ ส. ศิวรักษ์ได้เขียนหนังสือ  “คันฉ่องส่องพระ” ในปี พ.ศ. 2522 และยังเขียนหนังสือคันฉ่องส่องอะไรต่างๆ อีกหลายเล่ม)



หนังสือเรื่อง “The Prince” ของนิโกโล มาคีอาเวล
 งานเขียนในแนว  “คันฉ่องส่องเจ้า”  ของนักคิดนักเขียนชาวยุโรปในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เป็นการเขียนเพื่อสะท้อนให้เจ้าหรือพระมหากษัตริย์ได้เห็นตัวตนของพระองค์จากสายตาของนักคิดนักเขียนเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนก็มีสถานะทางสังคมแตกต่างกันไป 

 แต่หนังสือ “คันฉ่องส่องเจ้า” ของนักคิดนักเขียนยุโรปที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและดังที่สุดจนถึงทุกวันนี้ คือ หนังสือเรื่อง “The Prince” ของนิโกโล มาคีอาเวลลี นักคิดนักเขียนที่เป็นข้าราชการสายการทูตชาวอิตาเลียน 


ในแง่หนึ่ง มีผู้กล่าวว่า พระมหากษัตริย์ที่ฟัง (อ่านงานของ) มาคิอาเวลลี จะประสบความสำเร็จในการรักษาอำนาจและรัฐของพระองค์ไว้ได้อย่างมีเสถียรภาพมั่นคง

แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งแย้งว่า พระมหากษัตริย์พระองค์ใดที่เชื่อมาคิอาเวลลี ก็จะมีแต่ประสบความหายนะล่มสลาย !


กำลังโหลดความคิดเห็น