ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ในขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเล ทันใดนั้นเองเมิ่งเจียงหนี่ว์ก็กระโจนลงจากเรือโดยที่ทหารที่อยู่ในเรือมิอาจรั้งตัวได้ทัน จากนั้นร่างของเธอก็จมหายไปในทะเล
เล่ากันว่า ณ ชายหาดป๋อไห่อันเป็นที่ตั้งของด่านซันไห่ (ซันไห่กวาน) ในมณฑลเหอหนันมีโขดหินสีดำสองก้อนตั้งอยู่ หินก้อนหนึ่งมีรูปทรงออกไปในทางสี่เหลี่ยมดูคล้ายกับป้ายหลุมฝังศพ ส่วนหินอีกก้อนหนึ่งมีรูปทรงโค้งกลมคล้ายกับหลุมฝังศพ
ว่ากันว่า รูปทรงและที่ตั้งของหินทั้งสองก้อนนี้คือ หลุมฝังศพของเมิ่งเจียงหนี่ว์
และไม่ไกลจากหินสองก้อนนี้มีเนินเขาเล็กๆ อยู่ลูกหนึ่งเป็นที่ตั้งของอารามหลังหนึ่ง อารามแห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสีแดง ในอารามจะมีรูปเคารพของเมิ่งเจียงหนี่ว์ตั้งอยู่ด้วย รูปเคารพนี้เรียกกันว่า “มองหาสามี”
นอกจากนี้ ศาลาหลังหนึ่งของอารามนี้ก็ถูกสมมติให้เป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าของเมิ่งเจียงหนี่ว์ (เพื่อไว้ทุกข์ให้สามี) อีกด้วย
อารามนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานแก่เมิ่งเจียงหนี่ว์ โดยตั้งห่างจากด่านซันไห่ราว 5-6 กิโลเมตร และเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนกันจนทุกวันนี้
เรื่อง เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้ถล่มกำแพงหมื่นลี้ จากที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่องเล่าในแบบโศกนาฏกรรมที่จบลงด้วยความเศร้าโศก และในชั้นหลังต่อมาจีนได้จัดให้เป็นหนึ่งในสี่เรื่องเล่าหรือนิทานที่โดดเด่น แต่เป็นนิทานที่มีขนาดค่อนข้างยาว โดยอีกสามเรื่องที่เหลือคือ...
ตำนานงูขาว (ไป๋เสอจ้วน, Legend of the White Snake) หรือที่ไทยเรามักจะเรียกว่า นางพญางูขาว เหลียงซันป๋อกับจู้อิงไถ (เหลียงซันป๋ออี่ว์จู้อิงไถ, The Butterfly Lovers) หรือที่ไทยเรามักเรียกกันว่า ม่านประเพณี และ หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า (หนิวหลังจือหนี่ว์, The Cowherd and the Weaver Girl)
สามเรื่องแรกเคยสร้างเป็นหนังและเคยนำเข้ามาฉายในไทยมาก่อน จึงมีชื่อไทยตั้งขึ้นมาเฉพาะจนเรียกขานกันเช่นนั้น แต่ก็มีการสร้างมากกว่าหนึ่งครั้ง ชื่อในชั้นหลังจึงเปลี่ยนไปบ้าง ส่วนเรื่องที่สามก็เคยสร้างเป็นหนังและฉายในไทยเช่นกัน แต่ชื่อไทยมิได้ติดหูเหมือนสองเรื่องแรก ในที่นี้จึงเรียกชื่อไทยตามที่แปลจากชื่อจีน
อย่างไรก็ตาม กล่าวเฉพาะเรื่อง เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห่ถล่มกำแพงหมื่นลี้ แล้ว ต้องนับว่าคนที่ผูกเรื่องขึ้นมาเล่านี้ผูกได้ดี คือจับเอาเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผู้คนจำนวนมากมาประมวลเข้าด้วยกัน แล้วก็ร้อยเรียงให้เป็นเนื้อเดียวกันในรูปของโศกนาฏกรรมอันน่าสะเทือนใจ จนหากคิดถึงอกเขาอกเราหรือเป็นตัวเราแล้วคงยากที่จำทำใจเช่นกัน
ที่สำคัญ เรื่องเล่านี้ทำให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์นับพันปีของจีนจากที่ผ่านมา เป็นประวัติศาสตร์ที่มีเรื่องราวของสามัญชนคนธรรมดาแทรกปนอยู่ด้วยเสมอ หลายครั้งก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ชวนให้ขมขื่นอยู่ไม่น้อย
จักรพรรดิถูกห้ามเข้ากำแพงหมื่นลี้
เรื่องเล่านี้จับเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) มาเป็นฉากหลังของเรื่อง ซึ่งพอฟังเรื่องที่เล่าแล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะจริงแค่ไหนก็คงต้องชั่งใจเอา เพราะฟังแล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
เรื่องเล่านี้เริ่มเกริ่นนำว่า หลังจากที่ ชนชาติแมนจู ยึดอำนาจการปกครองจีนแล้วตั้ง ราชวงศ์ชิง ขึ้นแล้ว ชนชาตินี้ก็ยึดเอาปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของตนสืบต่อจากราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) ที่ตนโค่นลงไป
แต่ด้วยเหตุที่พื้นเพเดิมของแมนจูอยู่ทางภาคอีสานของจีนมาก่อน ครั้นเรืองอำนาจขึ้นมาก็ตั้งเมืองหลวงมีชื่อว่า เซิ่งจิง หรือที่ภาษาแมนจูเรียกว่า มุกเดน ปัจจุบันเมืองนี้ก็คือ เมืองเสิ่นหยัง ครั้นยึดจีนได้แล้วแมนจูก็ย้ายเมืองหลวงมาที่ปักกิ่ง แต่ทว่าเมื่อถึงฤดูร้อนคราใด จักรพรรดิของชิงก็จะหนีอากาศร้อนของปักกิ่งมาพักอยู่มีเมืองเซิ่งจิงครานั้น จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปทุกปี
ครั้นแล้วก็มีอยู่ปีหนึ่ง จักรพรรดิคังซี (ค.ศ.1654-1722) ได้เสด็จไปพักผ่อนยังเมืองเซิ่งจิงเพื่อหนีร้อนจากปักกิ่ง พระองค์อยู่ที่เมืองหลวงเดิมนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อเซ่นไหว้สุสานบรรพชน เมื่อเสร็จพิธีเซ่นไหว้แล้วก็เสด็จกลับปักกิ่งโดยผ่านด่านซันไห่พร้อมด้วยข้าราชบริพาร
ด่านซันไห่ถือเป็นด่านสำคัญทางยุทธศาสตร์ และเป็นด่านสำคัญแห่งหนึ่งของกำแพงเมืองจีนมาแต่แรกเริ่ม ความสำคัญที่ว่านี้มาจากการที่ด่านแห่งนี้เป็นเสมือนกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่กรุงปักกิ่ง จากเหตุนี้ ด่านซันไห่จึงเป็นที่ตั้งของกองกำลังทหารจำนวนมาก เพื่อคอยป้องกันศัตรูของจักรวรรดิที่มาจากภายนอก ครั้นมาถึงราชวงศ์ชิง ราชวงศ์นี้ก็ยังคงให้ความสำคัญแก่ด่านนี้โดยไม่มีข้อยกเว้น
ตอนที่จักรพรรดิคังซีเสด็จกลับปักกิ่งนั้น พระองค์ประสงค์ที่จะเสด็จให้ถึงโดยเร็วเพื่อที่จะได้ทรงงานที่คั่งค้างในวังหลวง โดยขบวนเสด็จใช้เวลากลางวันในการเดินทาง แล้วค้างแรมในเวลากลางคืน แต่พอมาถึงด่านซันไห่เวลาก็ล่วงสู่ยามดึก อันเป็นเวลาที่ประตูของด่านซันไห่ได้ปิดลงแล้ว
อนึ่ง ที่ตั้งของด่านซันไห่นี้จะอยู่ระหว่างภูเขาเอียน (เอียนซัน) กับอ่าวทะเลป๋อ (ป๋อไห่) โดยมีกำแพงเมืองจีนขวางกั้นเป็นเสมือนจุดตัดระหว่างเหนือกับใต้ ไม่ว่าใครก็ตามหากจะเดินทางสู่ปักกิ่งแล้วจะต้องผ่านด่านนี้เท่านั้น เช่นนี้แล้วขบวนเสด็จจึงมาหยุดชะงักลงที่ด่านนี้ และหากมิอาจผ่านด่านนี้ไปได้ก็มิอาจไปถึงปักกิ่งได้เช่นกัน
ด้วยเหตุดังกล่าว มหาดเล็กคนหนึ่งจึงลงจากหลังม้าแล้วเดินไปเคาะประตูด่านเพื่อเรียกทหารที่เฝ้าด่านให้มาเปิดประตู แต่ทหารผู้นั้นปฏิเสธที่จะเปิดประตูให้ มหาดเล็กจึงกล่าวขึ้นว่า “เรากำลังเร่งรีบที่จะไปให้ถึงปักกิ่งโดยเร็ว ได้โปรดเปิดประตูให้เราด้วยเถิด”
ทหารเฝ้าด่านตอบกลับว่า “เราปิดประตูกำแพงตามเวลาที่กำหนดโดยคำสั่งของเบื้องบน เราไม่อาจฝ่าฝืนกฎระเบียบนี้ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใดก็ตาม”
“แต่เราเร่งรีบจริงๆ หนา” มหาดเล็กกล่าวเชิงวิงวอน
“ไม่ได้! เรามิอาจเปิดมันได้โดยเด็ดขาด” ทหารตอบกลับยืนกรานเสียงแข็ง
“แต่นี่เป็นขบวนเสด็จ และจักรพรรดิของอยู่ในขบวนเสด็จนี้ด้วย” มหาดเล็กเริ่มอ้างถึงจักรพรรดิ
ถึงตอนนี้ทหารบนกำแพงจึงตอบว่า “บ้านเมืองมีขื่อแป บ้านเรือนมีระเบียบ คำสั่งเปิดปิดประตูกำแพงที่ด่านนี้มาจากจักรพรรดิ เราจึงถือเคร่งในคำสั่งนี้”
คราวนี้มหาดเล็กใช้เสียงที่กร้าวขึ้นว่า “จักรพรรดิอยู่ตรงนี้แล้ว รีบเปิดบัดเดี๋ยวนี้”
“เรามองไม่เห็นองค์จักรพรรดิในยามวิกาล ท่านคิดว่าเราโง่จนยอมเชื่อท่านให้เปิดประตูแก่จักรพรรดิเชียวหรือ” ทหารบนกำแพงตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
มิไยที่มหาดเล็กจะยกจักรพรรดิมาอ้างอย่างไร ทหารบนกำแพงของด่านซันไห่ก็ยังคงไม่ยอม