งานวิจัยในปี 2554 เสนอผ่านวารสารการเสพติดยาและแอลกอฮอล์ Drug and Alcohol dependence เป็นงานวิจัยที่ศึกษากลุ่มประชากรขนาดใหญ่ โดยมีการสำรวจตัวอย่างผู้สูบบุหรี่ 15,918 คน, แอลกอฮอล์ 28,907 คน และกัญชาก็มีการสำรวจมากถึง 7,389 คนพบว่า นับตั้งแต่ใช้ครั้งแรกที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสจะเสพติดบุหรี่สูงสุด 67.5%, ครั้งแรกที่ดื่มเหล้ามีโอกาสติดเหล้าสูงสุด 22.7% และหากสูบกัญชาครั้งแรกจะมีโอกาสติดกัญชาสูงสุดเพียง 8.9%[1]
ข้อมูลข้างต้นเป็นมิติเพื่อชวนท่านผู้อ่านคิดว่าถ้ากัญชามีโอกาสติดได้ 8.9% น้อยกว่าการติดเหล้า 2.5 เท่าตัว และน้อยกว่าบุหรี่ 7.5 เท่าตัว อีกทั้งเหล้ารวมทั้งบุหรี่สามารถซื้อขายได้ตามร้านค้าทั่วไปและร้านสะดวกซื้อ อะไรจะน่าวิตกกังวลมากกว่ากัน
แม้กัญชา และ สุรา จะทำให้มึนเมา (ออกฤทธิ์ทางจิตประสาท) ได้เหมือนกัน แต่ออกฤทธิ์ตรงกันข้ามหาก “บริโภคเกิน” คือ กัญชามีรสยา“เมาเย็น”[2] แต่ สุรามีรสยา “เมาร้อน” ดังนั้นการดื่มและ“เมาสุรา”จึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทได้ง่าย และมีโอกาสก่ออาชญากรรมได้มากกว่าการเมากัญชาอย่างเทียบกันไม่ได้เลย เพราะกัญชาหากบริโภคเกินจะทำให้เกิด“ความหวาดกลัว” และ “ทำให้นอนหลับ”
สอดคล้องกับงานค้นคว้าและงานเขียนของ“นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว”ซึ่งได้ทำงานค้นคว้าภาษิตโบราณของคนนครศรีธรรมราช ซึ่งทำให้เห็นว่าการดื่มเหล้ากระตุ้นทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือความรุนแรงได้ง่าย แต่ผู้ที่ใช้กัญชาเป็นผู้ที่ไม่ต้องการก่อความรุนแรงกับใครความว่า
“เหล้าว่าเอาวา กัญชาว่าอย่าก่อน ฝิ่นว่าคิดให้แน่นอน ท่ม(กระท่อม)ว่าหาบคอนยกให้ฉาน”[3]
โดยผลการศึกษาในปี พ.ศ. 2560 พบว่าคนไทยดื่มแอลกอฮอล์ 7.1 ลิตร/คน/ปี เป็นอันดับ 3 ของเอเชีย คนที่ดื่มอายุน้อยที่สุดคือ 9 ปี โดยการดื่มสุราเป็นประตูไปสู่ปัญหาอย่างอื่นที่รุนแรง[4] โดยผลการศึกษาเทียบกับนักเรียนที่ดื่มสุรากับนักเรียนที่ไม่ดื่มสุราพบว่า
“นักเรียนดื่มสุราเพิ่มความเสี่ยงในการพกพาอาวุธ 2.96 เท่า, นักเรียนดื่มสุราเพิ่มความเสี่ยงชกต่อยตบตีทะเลาะวิวาท 3.38 เท่า, คนที่ถูกแฟนของนักเรียนดื่มสุราตบตีทำร้ายโดยจงใจ 3.08 เท่า, โดยเฉพาะเด็กเยาวชนดื่มเหล้ามีผลทำให้มีการกระทำที่รุนแรงรวมถึงคดีทำร้ายร่างกาย และโทรมหญิงถึงในระหว่างการดื่มแอลกอฮอล 34.8% และมากกว่า 50% กระทำความผิดหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ภายใน 5 ชั่วโมงซึ่งขณะทำผิดยังมีอาการมึนเมาด้วย”[4]
ประเด็นสำคัญคือพฤติกรรมความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้มากในการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีความแตกต่างจากกัญชาที่จะไม่พบพฤติกรรมความรุนแรงเช่นนี้
คำถามมีอยู่ว่า “กัญชา”ซึ่งมีโอกาสติดยากกว่า “เหล้า”ประมาณ 2.5 เท่าตัว[1] แต่กัญชากลับไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการ “ก่อความรุนแรง” หรือเสี่ยง “ก่ออาชญากรรม” เหมือนการติดเหล้าด้วย เราควรจะเป็นห่วงเรื่องอะไรมากกว่ากันระหว่าง “แอลกอฮอล์” หรือ “กัญชา”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยใช้เวลา 4.5 นาที ในการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีระยะทางเฉลี่ย 342 เมตร อีกทั้งรอบสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร มีร้านจำหน่ายเฉลี่ยมากถึง 57 ร้านในทุกๆ 1 ตารางกิโลเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี สามารถซื้อแอลกอฮอล์สำเร็จ 98.7%[4]
อย่างไรก็ตาม “กัญชา” ไม่เพียงติดได้ยากกว่า “แอลกอฮอล์” เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม “กัญชายังอาจจะมีโอกาสส่วนช่วยในการลดการดื่มแอลกอฮอล์”ได้ด้วย
โดยงานวิจัยตีพิมพ์ในเว็บไซต์ Sciencedirect ผ่านวารสารเกี่ยวกับนโยบายยาระหว่างประเทศชื่อว่า International Journal of Drug Policy ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งได้เผยแพร่งานวิจัยของคณะวิจัยชาวแคนนาดา พบว่าผู้ที่ใช้กัญชาทางการแพทย์ในแคนนาดานั้นมีแนวโน้มที่จะลดการดื่มสุราลงด้วย[5]
โดยผลสำรวจพบว่าผู้ที่ใช้กัญชาทางการแพทย์ประมาณ 44% ลดความถี่ในการดื่มแอลกอฮอล์ตลอด 30 วัน, อีกประมาณ 34% ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์จากมาตรฐานที่เคยดื่มในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา, และประมาณ 8% ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลยตลอด 30 วันที่ผ่านมา[5]
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวสรุปความเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
“คำแนะนำจากการค้นพบของพวกเราพบว่าการเริ่มใช้กัญชาทางการแพทย์อาจสัมพันธ์กับการลดและการเลิกการดื่มแอลกอฮอล์ โดยที่แอลกอฮอล์คือสิ่งมีการใช้เพื่อนันทนาการอย่างชุกชุมที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ และการดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการก่ออาชญากรรม อัตราการป่วย และอัตราการเสียชีวิต การค้นพบครั้งนี้อาจจะช่วยทำผลลัพธ์ต่อสุขภาพดีขึ้นในกลุ่มผู้ที่ใช้กัญชาทางการแพทย์ ควบคู่ไปกับการทำให้การสาธารณสุขและความปลอดภัยของสาธารณะโดยภาพรวมดีขึ้น”[5]
ข้อยืนยันดังกล่าวตรงกับสิ่งที่มีการอภิปรายในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ…. สภาผู้แทนราษฎร ที่พบว่ากรรมาธิการฯผู้ที่ใช้ประโยชน์จากกัญชาลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงอย่างชัดเจน
จึงเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่า“แพทย์บางคนที่เป็นกรรมการในบริษัทขายเหล้าและเบียร์” ที่ออกหน้ามาเป็นหัวขบวนต่อต้านกัญชาอย่างเต็มที่ในประเทศไทยโดยอ้างเด็กและเยาวชนบังหน้านั้น เป็นเพราะอยู่ในองค์กรที่มีการขัดแย้งผลประโยชน์กับกัญชา จริงหรือไม่?
งานวิจัยที่นำเสนอจากประเทศแคนนาดาคาดหวังต่อกัญชาในการลดการดื่มแอลกออล์และนำไปสู่การก่อความรุนแรงและลดอาชญากรรมในสังคมนั้น ยังได้ปรากฏตัวอย่างกรณีศึกษามาแล้วที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ที่มีการให้ใช้กัญชาจัดให้เป็น“ยาอ่อน”(Soft drug) ทั้งพื้นที่ทางการแพทย์และนันทนาการ เพื่อไปลดยาเสพติดที่ส่งผลกระทบรุนแรง(Hard Drug) และนำไปสู่การลดปัญหาการก่ออาชญากรรมในท้ายที่สุด จนกระทั่ง“คุกร้าง”และประเทศเนเธอร์แลนด์ถึงขั้นต้องมีการนำเข้านักโทษจากต่างประเทศ [6]
นอกจากการลดการดื่มแอลกอฮอล์แล้ว “กัญชา”อาจมีบทบาทสำคัญต่อการลด “ยาบ้า”ลงด้วยเช่นกัน
โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2565ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น บรรยายงานมหกรรม “เดินหน้า…กัญชาเสรี แก้เจ็บแก้จน” ถึงกรณีศึกษา“คุณไก่ เดินวนฟาร์ม”จังหวัดขอนแก่น ความว่า
“คนนี้ติดยาบ้ามาก หนักเลย สุดท้ายนี่ถึงขนาดจะทำร้ายแม่ด้วยนะ แม่ห้ามปรามนะฮะ สุดท้ายแก้ด้วยการสูบกัญชา หายเลย ทีนี้ทำมาหากินได้ ทำการทำงานได้ เป็นผู้นำในการที่จะปลูกผักออกานิค ปลอดสารพิษ ขายดีมาก เรียกว่าลูกค้ามาหาถึงบ้านเลย แล้วก็ชวนคนอื่นที่ติดยาบ้ามาเลิกได้ด้วยกัญชา 5 คนแล้ว เป็นวิทยากรให้กับโรงเรียน ครูประถมก็ชื่นชมชวนให้มาเป็นวิทยากรให้กับเด็กๆเรียนรู้เรื่องนี้ เข้าไปดูยูทูปให้แกหน่อยนะฮะ”[7]
สำหรับความคิดในการใช้กัญชาซึ่งออกฤทธิ์“เมาเย็น”เพื่อนำไปสู่การลดหรือเลิกยาเสพติดที่รุนแรงหรือเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรม ไม่ใช่เกิดขึ้นในกรณีของ “คุณไก่ เดินวนฟาร์ม” ดังที่ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ นำเสนอเท่านั้น แต่ยังปรากฏในคัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ เล่ม 3 โดย ขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อําพัน กิตติขจร) ที่บันทึกตำรับยาในการใช้ “กัญชา และกระท่อม” ปรุงเป็นตำรับยาในการ“อดฝิ่น” ด้วยความว่า
“ยาทำให้อดฝิ่น เอาขี้ยา ๒ สลึง เถาวัลย์เปรียงพอประมาณ กันชาครึ่งกรัม ใบกระท่อมเอาให้มากกว่ายาอย่างอื่น ต้มกิน ให้กินตามเวลาที่เคยสูบฝิ่น เมื่อกินไป ๑ ถ้วย ให้เติมน้ำ ๑ ถ้วย ให้ทำดังนี้จนกว่าจะจืด เมื่อกินจนน้ำจืดแล้วยังไม่หาย ให้ต้มกินหม้อใหม่ต่อไป”[8]
โดยคัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ ของขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อําพัน กิตติขจร) เล่ม 3 นี้ ได้รับการยอมรับโดยนายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การประกาศกําหนดตําราการแพทย์แผนไทยของชาติและตํารับยาแผนไทยของชาติ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2561 ให้เป็น “ตำรายาแผนไทยของชาติ” ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561[9]
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า นับตั้งแต่มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ ปี พ.ศ. 2562 รวมไปถึงสุญญากาศกระท่อมในปี พ.ศ. 2564 จำนวนการบำบัดความผิดปกติทางจิตและพฤติกรรมที่เกิดจากการใช้ยาเสพติดทั่วประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี พ.ศ. 2562 มีผู้ที่เข้าบำบัดรักษายาเสพติดทั่วประเทศจำนวน 263,730 ราย ตัวเลขผู้ที่เข้าบำบัดรักษายาเสพติดทั่วประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากให้มีการใช้กัญชาทางการแพทย์และมีการใช้กัญชาใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ผ่านไป 2 ปี ปรากฏว่าในปี พ.ศ. 2564 ตัวเลขผู้ที่เข้าบำบัดรักษายาเสพติดทั่วประเทศลดลงเหลือ 156,632 ราย และในปี 2565 (ลดลงไปมากถึง 40.61%) จนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2565 ลดลงเหลือ 80,938 ราย และการลดลงนี้รวมไปถึงการลดลงของ ยาบ้า กัญชา และกระท่อมด้วย[10]
ทั้งนี้จากการสํารวจครัวเรือนระดับชาติเพื่อประมาณการจํานวนผู้ใช้สารเสพติดในปี พ.ศ. 2562 พบว่าประเทศไทย ในรอบ 1 ปี 2562 ประชากรที่เคยใช้สารเสพติดชนิดใดชนิดหนึ่งมีจำนวน 1,966,827 ราย เรียงลำดับจากมากที่สุด คือ กัญชา 668,157 ราย, ยาบ้า 652,873 ราย, กระท่อม 490,704 ราย, และยาไอซ์ 372,294 ราย, น้ำต้มใบกระท่อม 221,300 ราย, ยาอี/ยาเลิฟ 220,777 ราย, ยาเค 126,453 ราย, สารระเหย 101,875 ราย, ผงขาว/เฮโรอีน 93,101 ราย, โคเคน 32,523 ราย[11]
แต่ในขณะที่ “กัญชา” และ “กระท่อม รวมน้ำกระท่อม” ได้มีการใช้มากที่สุดในปี 2562 กลับมี “สัดส่วน” ผู้ที่ต้องได้รับการบำบัดน้อยกว่ายาบ้า/ยาไอซ์, น้อยกว่าเฮโรอีนอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่ากัญชา และกระท่อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพจนต้องได้รับการบำบัดน้อยกว่ายาบ้า ยาไอซ์ และเฮโรอีนอย่างชัดเจน
โดย “ยาบ้า” และ “ยาไอซ์” มีผู้ใช้รวมกันในรอบ 1 ปี 2562 ประมาณ 1,025,167 คน[11] มีผู้ที่ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาจาการใช้ “ยาบ้า” และ “ยาไอซ์” ในปี 2562 จำนวนสูงถึง 212,276 ราย[10] คิดเป็นสัดส่วนของผู้ที่ต้องรับการบำบัด “ร้อยละ 20.70” ของประมาณการจำนวนผู้ที่ใช้ยาบ้าและยาไอซ์ในรอบ 1 ปี
“เฮโรอีน” มีผู้ใช้ในรอบ 1 ปี 2562 ประมาณ 93,101 คน[11] มีผู้ที่ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาจาการใช้ “เฮโรอีน” ในปี 2562 จำนวน 4,855 คน[10] คิดเป็นสัดส่วนของผู้ที่ต้องรับการบำบัด “ร้อยละ 5.21” ของประมาณการจำนวนผู้ที่ใช้เฮโรอีนในรอบ 1 ปี
“กัญชา” มีผู้ใช้ในรอบ 1 ปี 2562 ประมาณ 668,157 คน[11] มีผู้ที่ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาจากการใช้กัญชาในปี 2562 จำนวน 18,180 ราย[10] คิดเป็นสัดส่วน “ร้อยละ 2.7” เทียบกับจำนวนผู้ที่ใช้กัญชาในรอบ 1 ปี
“กระท่อม” และ“น้ำต้มใบกระท่อม”มีผู้ใช้ในรอบปี 2562 รวมกัน ประมาณ 712,004 ราย[11] โดยมีผู้ที่ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาจาการใช้กระท่อม และ 4 x 100 ในปี 2562 จำนวน 5,389 ราย[10] คิดเป็นสัดส่วนของผู้ที่ต้องรับการบำบัด “ร้อยละ 0.75” ของประมาณการจำนวนผู้ที่ใช้กระท่อมในรอบ 1 ปี
ดังนั้นสัดส่วนผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการบำบัดจากการใช้กัญชา และ การใช้กระท่อมนั้นอยู่ในระดับที่น้อยมาก โดยกัญชา ไม่เกินร้อยละ 2.7 กระท่อมไม่เกินร้อยละ 0.75 เทียบกับกลุ่มยาที่รุนแรงอื่นๆ
ดังนั้นการเติบโตของกัญชาและกระท่อม นอกจากจะมาทดแทนยาเสพติดที่รุนแรงดังเช่น ผู้ที่ต้องบำบัด“ยาบ้า”ที่ทยอยลดลงไป จึงส่งผลทำให้“ราคายาบ้าลดลง”อย่างต่อเนื่องด้วย และเมื่อราคายาบ้าลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงแค่ 15 บาทต่อเม็ด แรงจูงใจในการขนย้ายหรือการชักชวนทางการตลาดของยาบ้าย่อมลดลงไปเพราะไม่คุ้มต่อโทษทางอาญาในคดียาเสพติด จริงหรือไม่?
ทิศทางดังกล่าวนี้เป็นทิศทางเดียวกับประเทศแคนนาดาซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
โดยผลการศึกษาวารสารสาธารณสุขของอเมริกัน ชื่อ American Journal of Public Health (AJPH) ได้เผยแพร่งานวิจัยเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 ในการศึกษาที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนนาดาระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2559-2561 พบว่า 25%ของผู้ที่ใช้กัญชานั้นเพื่อลดยาที่อันตรายหรือรุนแรงอย่างอื่น (เช่น เฮโรอิน, ฝิ่น, โคเคน, ยาบ้า, หรือแอลกอฮอล์) และพบเหตุผลที่มากที่สุดคือใช้กัญชาเพื่อทดแทนยาเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทถึง 50% และการทดแทนกลุ่มฝิ่นที่ผิดกฎหมายอีก 31%[12]
ดังนั้นการเดินทางของกัญชาที่เริ่มต้นจากทางการแพทย์ และสุขภาพนั้นกำลังนำไปสู่การลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดที่รุนแรงอื่นๆ จึงย่อมมีศัตรูทั้งกับธุรกิจแอลกอฮอล์และยาเสพติดทั้งหลายโดยธรรมชาติ
และปรากฏการณ์สุดท้ายคือเมื่อกัญชามาอาจจะกระทบผลประโยชน์ของกลุ่มทุนแพทย์และยาบางกลุ่มด้วย
โดยผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น หนึ่งในแพทย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมานานนับสิบปี ได้เคยประเมินเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ว่า ยากัญชามีศักยภาพในการเยียวยาคนไทยมากถึง 6,000,000 คน
“โดยการใช้เกณฑ์ของคณะกรรมการ กระทรวงสาธารณสุขเอง ซึ่งประเมินว่าการใช้กัญชาซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี 4 อาการ คือ 1) คลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด 2) ลมชักรักษายาก 3) เกร็งในปลอกหุ้มประสาทอักเสบ 4) ปวดระบบประสาท และประเมินว่าน่าจะได้ประโยชน์ 6 อาการคือ 1) พาร์กินสัน 2) อัลไซเมอร์ 3) ปลอกประสาทอักเสบ 4) วิตกกังวล 5) มะเร็งระยะท้าย 6) โรคอื่นๆของผู้ป่วยระยะสุดท้าย และต้องวิจัยเพิ่มเติม 1 กรณีคือโรคมะเร็ง
ทั้งนี้โดยอาจารย์หมอได้คำนวณโดยใช้สัดส่วนความชุกของโรค เช่น โรคลมชัก (Epilepsy) คนไทยมีอัตราความชุกของโรค 7.2 คนต่อ 1,000 ของประชากร ดังนั้นคนไทยมีโอกาสเป็นโรคลมชักประมาณ 475,200 คน เป็นต้น เมื่อรวมโรคต่างๆที่ยาจากกัญชามีศักยภาพ เช่น โรคปวดประสาท พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ฯลฯ แล้ว พบว่ามีคนไทยที่ควรจะได้ประโยชน์จากยากัญชามากถึง 6,000,000 คน”[13]
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังถกเถียงกันในเรื่อง“นันทนาการ” แต่งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารเศรษฐกิจสุขภาพ Health Economics ฉบับตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2565ในการสำรวจการจ่ายยาในมลรัฐของสหรัฐอเมริกาหลังได้ดำเนินการให้“การนันทนาการเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย” พบว่ามีการลดการจ่ายยาต่างๆ ลงดังต่อไปนี้
ประชากรใช้ยาแก้อาการซึมเศร้าลดลงไป 11.1%, ประชากรใช้ยาแก้วิตกกังวลลดลงไป 12.2%, ประชากรลดการใช้ยาแก้ปวดไป 8%, ประชากรลดการใช้ยาโรคลมชักไป 9.5%, ประชากรลดยาโรคจิตไป 10.7%, ประชากรลดการใช้ยานอนหลับไป 10.8%[14]
อย่างไรก็ตาม “กัญชา” ได้เป็นหนึ่งในตำราสรรพคุณยาในตำรา “แพทย์ประจำบ้าน” ที่ พระทิพจักษุสาสตร์ หรือ พระยาแพทย์พงศาพิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) แพทย์ประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้รวมรวมตำรายาเพื่อเรียบเรียงเอาไว้ให้พ่อบ้านแม่เรือนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องไปพึ่งพาหมอเมื่อ 107 ปีที่แล้ว โดย “กัญชา” เป็นหนึ่งในตำรา“แพทย์ประจำบ้าน”ความว่า:
“Tincture Cannabis Indica ทิงเจอร์ แคนนาบิส อินดิก้า
เป็นยาน้ำสีเขียว ทำจากยอดกันชาโดยใช้แอลกอฮอล์กัด รับประทานได้ ๕ ถึง ๑๕ หยด เป็นยาสงบเส้นประสาท แก้ปวด และแก้เนื้อกระตุก แก้ลงท้องและปวดท้อง ใช้ในโรคสมองพิการ คลั่งเพ้อ และโรคบิด ใช้ใบหั่นสูบในการรักษาโรคหืด”[15]
ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่ากัญชามีความปลอดภัย ไม่ใช่ยาอันตรายที่ต้องห่างมือประชาชนที่ต้องการจะพึ่งพาตัวเอง การสูบเป็นกระบวนการหนึ่งของการรักษา โดย “กัญชา” เป็นสมุนไพรที่มีหลายสรรพคุณให้ชาวบ้านสามารถเป็น “แพทย์ประจำบ้าน”ได้ด้วยตัวเอง
เมื่อผนวกกับงานวิจัยในช่วงหลังแสดงให้เห็นว่ากัญชาไม่เพียงจะช่วยลดปัญหายาเสพติดที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังจะช่วยทำให้ลดการใช้ยาและการพึ่งพาแพทย์ในหลายโรคด้วย กัญชาจึงเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่จะเป็นความมั่นคงทางยาของพ่อบ้านแม่เรือนไทย
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข
29 กันยายน 2565
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=635235847970119&id=100044511276276
อ้างอิง
[1] Catalina Lopez-Quintero, et al, Probability and predictors of transition from first use to dependence on nicotine, alcohol, cannabis, and cocaine: Results of the National Epidemiologic Survey on Alcohol and Related Conditions (NESARC),Drug and Alcohol dependence, Volume 115, Issues 1-2, May 2011, Pages 120-130
https://www.sciencedirect.com/.../pii/S0376871610003753...
[2] จากการสัมภาษณ์ อ.ชุบ แป้นคุ้มญาติ ครูแพทย์แผนไทย จังหวัดอุดรธานี
[3] นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว, กัญชากับภูมิปัญญาชาวบ้านไทย, นิตยสารสารคดีฉบับที่ 404, ตุลาคม 2561
[4] เมตตา คำพิบูลย์ สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค, การประเมินและจัดการพฤติกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, สไลด์ลำดับที่ 9
http://envocc.ddc.moph.go.th/uploads/ประชุม/20-21_11_61/AL_01.pdf
[5] Philippe Lucasab, et al., Reductions in alcohol use following medical cannabis initiation: results from a large cross-sectional survey of medical cannabis patients in Canada., Siencedirect, International Journal of Drug Policy, Volume 86, December 2020, 102963
https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0955395920303017
[6] ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, กัญชา” กับ “เนเธอร์แลนด์โมเดล” ลดปัญหาอาชญากรรม “เรือนจำร้าง”จนต้องนำเข้านักโทษจากต่างประเทศ!?, ผู้จัดการออนไลน์, เผยแพร่: 1 ก.ค. 2565 17:15, ปรับปรุง: 1 ก.ค. 2565 17:15 น.
https://mgronline.com/daily/detail/9650000062568
[7] ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์, บรรยายเสวนาเรื่อง การใช้กัญชาตามภูมิปัญญาไทย, ในงานมหกรรม “เดินหน้า…กัญชาเสรี แก้เจ็บแก้จน” และการอบรมเรื่อง การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวที่ดีของพืชกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการส่งออก, ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพ, วันที่ 15 มิถุนายน 2565, Facebook กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข, คลิปวีดีโอชั่วโมงที่ 1:11:42 -1:12:60
https://www.facebook.com/dtam.moph/videos/760289735130337
[8] ขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อําพัน กิตติขจร), ตำรับยาอดฝิ่น, คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ เล่ม 3 พ.ศ. 2504
[9] ราชกิจจากนุเบกษา, ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การประกาศกําหนดตําราการแพทย์แผนไทยของชาติและตํารับยาแผนไทยของชาติ (ฉบับที่ ๑๖) พ.ศ. ๒๕๖๑, วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑, เล่ม ๑๓๕ ตอนพิเศษ ๑๒๘ ง, หน้า ๒๕
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/E/128/25.PDF
[10] จากฐานข้อมูล การบำบัดรักษายาเสพติดทั่วประเทศ ของกระทรวงสาธารณสุข ข้อมูลถึงปี 2565 (10 กรกฎาคม 2565)
[11] เครือข่ายพัฒนาวิชาการและข้อมูลสารเสพติด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. รายงานผลการสํารวจครัวเรือนเพื่อ คาดประมาณจํานวนประชากรผู้ใช้สารเสพติดของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2562. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการบริหารเครือข่ายองค์กรวิชาการ สารเสพติด สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม; 2562, หน้า 136
https://nctc.oncb.go.th/ebook_print.php?ebook_id=B0720
[12] Janice Mok, et al, Use of Cannabis for Harm Reduction Among People at High Risk for Overdose in Vancouver, Canada (2016–2018), American Journal of Public Health (AJPH) May 2021,
https://ajph.aphapublications.org/doi/abs/10.2105/AJPH.2021.306168?journalCode=ajph
[13] มูลนิธิชีววิถี (BioThai), การบรรยายของ ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ เรื่องความก้าวหน้าในการวิจัยเรื่องกัญชา, วัดโคกพระ จ.สิงห์บุรี วันที่ 1 มิถุนายน 2562, เผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊ค BioThai วันที่ 30 พฤษภาคม 2562
https://web.facebook.com/biothai.net/photos/a.467826533255873/2329841273721047/
[14] Shyam Raman, Ashley C. Bradford, Health Economics, Recreational cannabis legalizations associated with reductions in prescription drug utilization among Medicaid enrollees First published: 15 April 2022 https://doi.org/10.1002/hec.4519
https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/hec.4519
[15] พระยาแพทย์พงศาพิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช), แพทย์ประจำบ้าน, พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๕๘ หน้า ๑๗๒