xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทักษิณ”ลั้ลลาเลียบค่าย ปล่อย“บุญทรง”เดียวดาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตรและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะไปเที่ยวลั้ลลาอยู่ที่ปีนัง
ป้อมพระสุเมรุ

ผู้จัดการสุดสัปดาห์
- นับวันยิ่งเล่นใหญ่ “ครอบครัวเพื่อไทย” ที่นำโดย “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งไปจัดอีเวนท์ที่บ้านเกิด “ป๊าษิณ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แล้วยังปล่อยคิวให้ “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยาทักษิณ ผู้มากบารมีแห่ง “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ไปร่วมซีนด้วย

ในงานยัง “อุ๊งอิ๊ง” ยังยึดฟลอร์อู้คำเมืองออดอ้อนคนเชียงใหม่หวังเป้าหมายแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่พลาดไม่ได้เด็ดขาดที่สนามเชียงใหม่ “เมืองหลวงระบอบทักษิณ”

แล้วยังมีบรรดาลูกคู่ ทั้ง “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นไปปราศรัยตอกย้ำเป้าหมายของพรรคในการชนะเลือกตั้งเพื่อพลิกขั้วอำนาจ ประกาศภารกิจสำคัญ “พาทักษิณกลับบ้าน”

ไม่เท่านั้น ทั้ง “ชลน่าน-ณัฐวุฒิ” ยังใช้เวลาราวครึ่งหนึ่งของการปราศรัยในการยกหาง “ครอบครัวชินวัตร” ว่ามีคุณูปการยิ่งยวดแก่ชาวเชียงใหม่ และคนภาคเหนือ ไล่เรียงตั้งแต่ ทักษิณ-พจมาน ยาวไปถึง “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ และ “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สามีเยาวภา ในฐานะเขยเชียงใหม่

เรียกว่าลิ่วล้อแข่งกันเชลียร์ “นายใหญ่-นายหญิง” แบบพื้นเวทีมันแผล่บเลยทีเดียว

ไม่กี่วันต่อมา “เฮียโทนี-ทักษิณ” ก็ได้จังหวะโพสต์ข้อความในโอกาสครบรอบ 16 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย.49 โดยย้อนความว่า “ขณะที่ผมเดินทางไปประชุมสหประชาชาติ ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผมถูกการรัฐประหารลับหลัง (ถูกลอบกัดโดยชายชาติทหาร) ผมเสียดายสิ่งดีๆที่ควรจะเกิด แต่วันนี้กลายเป็นความเลวร้าย”

พร้อมพร่ำเพ้อถึงความเสียดาย 10 ประการที่ประเทศและประชาชนต้องเสียโอกาสในห้วงเวลาห 16 ปีที่ผ่านมา พร้อมขอให้คนไทยช่วยกันสนับสนุนประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการอย่างจริงจัง ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการขอทางอ้อมให้เลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า

และ “ทักษิณ” ก็ยังไม่ลืมหยอดตอนท้ายด้วยว่า “สำหรับส่วนตัวของผมเอง 73 ปีแล้วก็ยังอดห่วงอนาคตประเทศและลูกหลาน ไม่นานคงจะได้กลับไปเลี้ยงหลานและแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับสังคมไทยเท่าที่กำลังกายและกำลังสมองยังดีอยู่”

เป็นการเน้นย้ำว่า “วาระสำคัญ” ในวันนี้ของ “นายห้างดูไบ” ไม่พ้นการได้กลับบ้านของตัวเอง

ล่าสุด “ทักษิณ” ก็จับเครื่องมาที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อพบแพทย์ติดตามอาการหลังการผ่าตัดก่อนหน้านี้ และก็มีบรรดาลูกหลานทั้ง “พี่โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร, “เจ๊เอม” พิณทองทา ชินวัตร รวมถึง “น้องอิ๊ง” ตลอดจนรลูกพรรคเพื่อไทย บินไปหาตามประสาคนมีตังค์

ก่อนที่จะไปโผล่อีกที่เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย พร้อม “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่โพสต์ภาพควง “พี่ษิณ” ขณะลั้ลลา กิน เที่ยว ชอปปิ้ง ที่เมืองปีนัง เลียบค่ายเมืองไทย อย่างเพลิดเพลิน

โดย “หนูปู” ยังบรรยายด้วยสว่า “มาปีนังเป็นครั้งที่ 2 หลังจากไม่ได้มานาน มาตามหาความทรงจำเก่ากับพี่ชาย เมืองที่นี่เปลี่ยนไปเยอะ ดูบรรยากาศคล้ายภูเก็ตบ้านเราเลย คิดถึงค่ะ อาหารการกินก็คล้ายกัน และที่แปลกขึ้นคือเมืองเขามักจะมีจุดถ่ายรูปตามทางเดิน หรือร้านค้า เพื่อให้คนถ่ายรูปเก็บเป็นภาพความทรงจำ อยากให้เมืองท่องเที่ยวของเราได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้มีจุดจดจำและถ่ายภาพประทับใจมากขึ้น เวลาใครไปถ่ายภาพคนก็จะนึกถึงและจำได้ถือเป็นการประชาสัมพันธ์ไปในตัวแบบเบาๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังโควิดที่คนนิยมท่องเที่ยวตามเทรนด์โซเชียลมีเดียเพื่อถ่ายภาพเช็คอินค่ะ และจากนั้นดิฉันกับพี่ชายก็ เลยถือโอกาสแวะไปหาขนมโบราณเก่าๆ ทานก็ทำให้หายคิดถึงบ้านเราไปบ้าง ยังไงช่วงนี้ทุกท่านก็โปรดดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ”

ในอารมณ์ว่า 2 พี่น้องหนีคดีคิดถึงเมืองไทย จึงเลือกไปเที่ยวปีนัง เพราะบรรยากาศคล้ายภูเก็ตนั่นเอง

นอกจากนี้ “น้องปู” ยังโพสต์คลิปใน Reels ของ Instagram เป็นภาพที่ทั้งคู่เดินกางร่มไปด้วยกัน โดย “พี่ษิณ” ได้ประคองกอดน้องสาวไปตลอดทาง โชว์ภาพความรักความอบอุ่นที่มีให้กันอย่างเต็มกลืน

ดูเหมือนว่า ทั้ง “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ก็ยังคงท่องเที่ยว ใช้ชีวิตกินดีอยู่สบาย มีอิสระเดินทางไปได้แทบทุกที่ทั่วโลก ตามประสาคนมีตังค์ เพียงแต่มี “ทุกข์ในใจ” ที่ไม่สามารถกลับมาเหยียบประเทศไทยได้เท่านั้น

ตอกย้ำว่า “ทักษิณ” และตระกูลชินวัตร ก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองและครอบครัว โดยไม่เคยแวะคิดถึงคนอื่นแม้แต่น้อย

สังเกตได้ว่าทุกครั้งที่โพสต์ข้อความ หรือพูดในการไลฟ์สดคลับเฮ้าส์ “ทักษิณ” โอดครวญว่า ตัวเอง และน้องสาว ว่าเป็นผู้ถูกกระทำจากการรัฐประหารปี 2549 และรัฐประหารปี 2557 แต่ไม่ยักเคยพูดถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบคนอื่นๆ โดยเฉพาะ “ลิ่วล้อ” ในระบอบชินวัตร ที่ตกระกำลำบาก ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปลี้ภัยต่างแดน หรือหลายรายที่ต้องโทษจองจำอยู่ในคุกเมืองไทย

และในขณะที่ “เฮียโทนี” สั่งกองทัพเพื่อไทยตีธงไปข้างหน้า ช่วงชิงอำนาจรัฐ เพื่อหวังพาตัวเองกลับบ้าน

บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยุคยิ่งลักษณ์
ก็สะท้านใจไม่น้อยกับชะตากรรมของ “อดีตลูกน้อง” อย่าง “เสี่ยฮุก” บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีต ส.ส.เชียงใหม่ มือทำงานคนสำคัญของครอบครัวชินวัตร ที่ไม่เคยได้รับการพูดถึงแต่อย่างใด

เป็น “บุญทรง” ที่เพิ่งมีประเด็นดรามาหลังสังคมออนไลน์เผยแพร่ภาพตัวเขาไปปรากฎตัวในงานศพมารดา ในขณะที่สังคมรับรู้กันว่า ยังคงเป็นนักโทษถูกคุมขังในคดีทุจริตระบายข้าวแบบจีทูจี

จนทาง กรมราชทัณฑ์ ต้องออกมาชี้แจงว่า การออกนอกพื้นที่เรือนจำฯ ของ “บุญทรง” เพื่อไปร่วมงานศพดังกล่าว เป็นไปอย่างถูกต้องตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และระเบียบ กรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการลาของนักโทษเด็ดขาด พ.ศ. 2561 รวมถึง ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการลาของนักโทษเด็ดขาด (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563

เป็นการให้โอกาส “นช.บุญทรง” ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 48 ปี ได้แสดงความกตัญญูและการไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

โดย “บุญทรง” ที่วันนี้อายุ 61 ปี เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ศาลพิพากษา ปี 2560 กำหนดโทษ 48 ปี ได้รับอภัยโทษ ลดวันต้องโทษ ปี 2564 ในรอบแรก เหลือวันต้องโทษจำคุก 16 ปี ได้รับอภัยโทษ ลดวันต้องโทษ ปี 2564 ในรอบสอง เหลือวันต้องโทษ 10 ปี มีกำหนดพ้นโทษในเดือน เม.ย.2571

ไม่เพียงแต่สภาพซูบผอม ผมหงอกขาวไปตามวัย และหลายโรคที่รุมเร้า รวมทั้งแววตาที่ดูมีแต่ความทุกข์ตรมของ “บุญทรง” ที่หลายคนเห็นใจในชะตากรรมของเขาเท่านั้น

ยังมีคนสังเกตด้วยว่า ภายในงานศพของมารดา “บุญทรง” กลับไม่พบว่ามีคนในครอบครัวของชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง “ครอบครัวพรรคเพื่อไทย” ปรากฏตัวไปร่วมแสดงความเสียใจเลย

รวมไปถึงก่อนหน้านี้ตลอดระยะเวลา “บุญทรง” รวมถึง ภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ อยู่ในคุกในคดีเดียวกัน ก็ไม่มีข่าวคราวว่า มีการหยิบยื่นน้ำใจการดูแลใดๆ จาก “นายใหญ่-นายหญิง” แม้แต่น้อย

และต้องไม่ลืมด้วยว่า ในคดีเดียวกันนี้ก็มี “ยิ่งลักษณ์” เป็นหนึ่งในจำเลย ซึ่งในวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาเมื่อปี 2560 นาทีสุดท้ายก่อนที่ “บุญทรง” จะเข้าห้องพิจารณาคดีก็ยังได้คุยสายกับ “นายปู” ที่ยืนยันว่ากำลังเดินทางมาที่ศาล ให้ “บุญทรง” และพวกเข้าไปรอในห้องได้เลย

ซึ่งมาวันนี้ก็เป็นรู้กันแล้วว่า “ยิ่งลักษณ์” ไม่ได้ไปที่ศาล แต่หลบหนีออกนอกประเทศทางช่องทางธรรมชาติไปก่อนหน้านั้นแล้ว

เรียกว่า “บุญทรง” ทั้งถูกหลอกให้เป็น “แพะ” ในขบวนการทุจริตระบายข้าว ซึ่งขณะนี้สำนวนในชั้น ป.ป.ช.กำลังสาวไปถึง “ตัวการ” ที่แท้จริง และยังถูก “นายปู” หลอกจนนาทีสุดท้าย

จนหลายคนมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “บุญทรง-ภูมิ” เป็นกระทำที่เข้าขั้น “เลือดเย็น”

แม้กระทั่งบนเวทีครอบครัวเพื่อไทยที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ “บุญทรง” เช่นกัน ก็ไม่มีใครปริปากถึง “บุญทรง” แม้แต่น้อย

เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ทายาททางการเมืองของเสี่ยฮุกที่วันนี้สังกัดพรรคพลังประชารัฐหลังจากไม่ได้รับการเหลียวแลจากพรรคเพื่อไทย
ต่างจากเวทีที่เชียงราย ที่ “อุ๊งอิ๊ง” พรั่งพรูถึงคุณงามความดีของ “อ้ายยุทธ” ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ซึ่งออกจากพรรคเพื่อไทย ไปทำพรรคเพื่อชาติ ที่มีฐานเสียงแน่นหนาใน จ.เชียงราย ก็เพราะต้องการคะแนนเสียงจากคนเชียงรายนั่นเอง

หากจะบอกว่า ในสายตาของตระกูลชินวัตรนั้น “บุญทรง” หมดประโยชน์ไปนานแล้วก็คงไม่เกินจริง

เป็นชะตากรรมที่ไม่น่าเชื่อของ “บุญทรง” อดีตแกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย รวมไปถึงเป็นคนที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดกับ “ครอบครัวชินวัตร” โดย “ทักษิณ” มอบหมายให้ช่วยงาน “น้องแดง-เยาวภา” ตั้งแต่ยังไม่ประสีประสาทางการเมือง แต่ได้รับการเชิดให้เป็นแม่ทัพภาคเหนือ

จนทำให้ “เจ๊แดง” ยิ่งใหญ่ก่อกำเนิด “มุ้งวังบัวบาน” ที่มี “บุญทรง” เป็นหัวเรี่ยวคนสำคัญ

ตัดมาที่ครั้ง “รัฐบาลชายจืด” ที่มี สมชาย น้องเขยทักษิณเป็นนายกฯ “บุญทรง” ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะได้เป็น รมช.คลัง ในช่วงต้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอัปเกรดเป็น รมว.พาณิชย์ เพื่อดูแลโครงการจำนำข้าว

กระทั่งเกิดเรื่องทุจริต และเป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ล่มสลาย “ระบอบทักษิณ” ถูกยึดอำนาจมายาวนานกว่า 8 ปี

หลังต้องเข้ารับโทษ กลายเป็น “เสี่ยฮุก” ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เป็นเหตุให้ต้องจำใจส่ง “เสี่ยป้ำ” เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ที่วางให้เป็นทายาททางการเมือง ไปเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 2562

และแม้ “ลูกป้ำ” จะพลาดการลงสมัคร ส.ส.เขตที่เชียงใหม่ในนามพรรคพลังประชารัฐ โดยเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เท่านั้น แต่ “บุญทรง” กลับถูกตราหน้าว่า “คนทรยศ” ทั้งที่มีเหตุผลในการส่งลูกชายไปร่วมกับฝ่ายอำนาจที่ควรรับฟังได้แท้ๆ

อีกทั้งยังมีการพูดคุยเพื่อขอให้ “เดชนัฐวิทย์” กลับพรรคเพื่อไทย เพื่อไปลงสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ ที่ในพื้นที่ อ.แม่ริม, อ.แม่แตง ,อ.สะเมิง และ อ.กัลยาณิวัฒนา พื้นที่เดิมของ “พ่อฮุก” แต่ประตูพรรคเพื่อไทยก็ไม่เปิดรับ “ลูกบุญทรง”

ย้ำให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยของตระกูลชินวัตร ไม่ดูดำดูดี “บุญทรง” แม้แต่น้อย

จึงไม่น่าแปลกใจที่วันนี้ “เดชนัฐวิทย์” ที่ชื่อยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศเดินหน้าทำงานทางการเมือง โดยใช้สโลแกน “อาสาทำงานแทนพ่อ” พร้อมแฮชแทก #ไม่แบ่งแยกไม่ทอดทิ้งใคร ซึ่งคีย์เวิร์ด “ไม่ทอดทิ้งใคร” ก็ถอดมาจากถึงชะตากรรม และรับรู้ถึงความขมขื่นของ “ป๋าฮุก” นั่นเอง

ถือเป็นความโหดร้ายที่เกินบรรยาย เมื่อเทียบภาพ “นายใหญ่-นายหญิง” ที่ลั้นลาอย่างมีความสุขอยู่นอกประเทศ กับชะตากรรมของ “บุญทรง” ในฐานะ “ลิ่วล้อ” ที่ทำงานแบบถวายหัว ที่ต้องอยู่ในสภาพ “เดียวดาย” ไร้การเหลียวแลใดๆ

ที่ในขณะที่บรรดาลิ่วล้อตกระกำลำบาก “นายใหญ่-นายหญิง-นายน้อย”กลับห่วงแต่เรื่องของตัวเอง.


กำลังโหลดความคิดเห็น