ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
สืบแต่นั้นมา เมิ่งเจียงหนี่ว์ก็เป็นประดุจไข่มุกของสองสกุล เธอจะอยู่ในบ้านของสองสกุลสลับกันไปครั้งละหลายวัน และทั้งสองสกุลก็เลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี ยามใดที่ได้อาหารดี ๆ มาก็จะเก็บให้เธอได้รับประทานอยู่เสมอ จากเหตุนี้ เมิ่งเจียงหนี่ว์จึงเติบโตเป็นหญิงที่งดงามและสุขภาพดี
ครั้นเมื่อเมิ่งเจียงหนี่ว์โตจนถึงวัยเรียน ทั้งสองสกุลก็จัดหาครูมาสอนหนังสือให้เธอ และทำให้เธอกลายเป็นหญิงที่มีวิชาความรู้ เมิ่งเจียงหนี่ว์มีความรู้จนถึงขั้นที่สามารถแต่งกวีและเขียนภาพได้ จนเป็นที่ยินดีแก่ผู้เฒ่าของสองสกุล
เรื่องการเรียนหนังสือของเมิ่งเจียงหนี่ว์นี้ทำให้เห็นว่า เมิ่งเจียงหนี่ว์มิใช่ผู้หญิงธรรมดา ที่ในอดีตหญิงจีนที่มีการศึกษาหาได้น้อย เรื่องที่เธอได้รับการศึกษาที่ดีในด้านหนึ่งหนึ่งจึงสะท้อนว่า แม้ตัวเมิ่งเจียงหนี่ว์จะเป็นสามัญชนคนธรรมดา แต่ก็เป็นหญิงที่มีการศึกษาเยี่ยงบัณฑิต ซึ่งหาได้ยากในอดีต
ครอบครัวสองสกุลมีความสุขอยู่กับเมิ่งเจียงหนี่ว์จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่จักรพรรดิฉินสื่อมีบัญชาให้สร้างกำแพงเมืองจีน พระองค์ทรงให้ทหารไปบังคับเกณฑ์ผู้คนมาเป็นแรงงานเป็นจำนวนมาก จนวันหนึ่งในขณะที่เมิ่งเจียงหนี่ว์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้านพลันก็ได้ยินเสียงจากนอกบ้าน พอมองออกไปก็พบเห็นชายคนหนึ่งกำลังกระโดดข้ามกำแพงบ้านเข้ามา
จากนั้นก็วิ่งไปแอบอยู่ที่โครงลูกไม้ของต้นองุ่น
เมิ่งเจียงหนี่ว์ตกใจกลัวและร้องให้คนในบ้านมาช่วย เมื่อทุกคนกรูกันไปที่ต้นองุ่นก็พบว่าชายที่แอบซ่อนตัวอยู่นั้นเป็นเด็กหนุ่ม เมื่อสอบถามก็รู้ความว่า เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากทางภาคเหนือ และมีชื่อว่า ฟั่นสี่เหลียง (ชื่อของเด็กหนุ่มคนนี้มีที่ว่าต่างกันไปหลายชื่อ) เขากำลังหนีการจับกุมของเจ้าพนักงาน และขอร้องให้ผู้เฒ่าเมิ่งให้เขาซ่อนตัวในบ้าน รอจนกว่าเจ้าพนักงานกลับไปแล้วเขาก็จะจากไป
ผู้เฒ่าเมิ่งอนุญาตให้ฟั่นสี่เหลียงหลบซ่อนตัว พอเวลาผ่านไปผู้เฒ่าก็รู้สึกถูกชะตากับฟั่นสี่เหลียง โดยพบว่า เขาไม่เพียงจะมีรูปร่างหน้าตาดีเท่านั้น หากยังเป็นคนที่ฉลาดอีกด้วย ผู้เฒ่าเมิ่งจึงนำความไปหารือกับผู้เฒ่าเจียงว่า น่าที่จะให้ฟั่นสี่เหลียงได้เรียนหนังสือกับเมิ่งเจียงหนี่ว์ ซึ่งผู้เฒ่าเจียงก็เห็นด้วย
นับแต่นั้นฟั่นสี่เหลียงจึงได้เรียนหนังสือคู่กับเมิ่งเจียงหนี่ว์เรื่อยมา ครั้นเวลาผ่านไปเมิ่งเจียงหนี่ว์และฟั่นสี่เหลียงก็ตกหลุมรักในกันและกัน ผู้เฒ่าสองสกุลซึ่งไร้ทายาทสืบสกุลมาแต่เดิมก็ให้ยินดียิ่ง และอนุญาตให้ทั้งสองได้แต่งงานกัน
แต่ในขณะที่งานแต่งงานกำลังดำเนินไปอยู่นั้น ก็ปรากฏมีกำลังทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมบ้านสกุลเมิ่งเอาไว้ ทหารกลุ่มนี้มาจับกุมตัวฟั่นสี่เหลียงเพื่อดำเนินคดีในข้อหาหนีการเกณฑ์ไปสร้างกำแพง
แท้จริงแล้วนายทหารที่นำกำลังมาจับกุมตัวฟั่นสี่เหลียงนั้นได้ข้อมูลมาว่า ฟั่นสี่เหลียงหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านสกุลเมิ่ง โดยก่อนหน้านี้นายทหารผู้นี้ถูกตำหนิจากผู้บังคับบัญชาอย่างหนักที่ปล่อยให้ฟั่นสี่เหลียงหนีไปได้ ครั้นพอรู้ว่าฟั่นสี่เหลียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เขาจึงนำกำลังมาจับกุมด้วยความโกรธที่ฟั่นสี่เหลียงทำให้เขาถูกตำหนิ
และจากความโกรธนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าฟั่นสี่เหลียงกำลังอยู่ในพิธีแต่งงาน เขาสั่งให้ทหารที่ไปด้วยกันทำการมัดตัวฟั่นสี่เหลียงแล้วนำตัวไปดำเนินคดี ข้างเมิ่งเจียงหนี่ว์ก็ร่ำไห้อย่างหนักปิ่มว่าจะขาดใจต่อการถูกพรากจากคนรัก
วันคืนผ่านไปด้วยความโศกเศร้าและขมขื่น หนึ่งปีผ่านไปก็แล้ว สองปีผ่านไปก็แล้ว สามีของเมิ่งเจียงหนี่ว์ไร้วี่แววที่จะกลับมา เธอรอคอยจนถึงห้าปีผ่านไปก็ยังคงไร้ข่าวคราวจากผู้เป็นสามี จนเมื่อรู้สึกรอไม่ได้อีกต่อไป เมิ่งเจียงหนี่ว์จึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปตามหาฟั่นสี่เหลียงในที่สุด
ก่อนเดินทาง เมิ่งเจียงหนี่ว์ได้เย็บเสื้อหนาวให้กับฟั่นสี่เหลียงหนึ่งตัว เธอใส่ใจกับการเย็บเสื้อตัวนี้อย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่ต้องปูสำลีที่อยู่ด้านในของเสื้อนั้น เธอจะจัดวางสำลีให้มีความหนาที่เสมอกันตลอดทั้งตัวเสื้ออย่างพิถีพิถัน เพื่อให้แน่ใจว่าสามีของเธอจะได้คลายหนาว ครั้นเย็บเสื้อแล้วเสร็จ เธอก็จัดหาข้าวปลาอาหารแห้งสำหรับฟั่นสี่เหลียงอีกด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เมิ่งเจียงหนี่ว์จึงร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสี่แล้วออกเดินทางจากบ้านด้วยความโดดเดี่ยวเดียวดาย เธอมุ่งหน้าไปทางทิศเหนืออันเป็นทิศที่สามีจากไปเพื่อสร้างกำแพงเมืองจีน
เมิ่งเจียงหนี่ว์ใช้เวลาเดินทาง 49 วัน ข้ามภูเขาไป 99 ลูก เธอเดินทางในเวลากลางวันและนอนพักในตอนกลางคืน นับเป็นการเดินทางที่ทุกข์ยากทรมาน แต่เธอก็อดทนจนมาถึงที่กำลังมีการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนในที่สุด
เธอกวาดสายตามองหาฟั่นสี่เหลียงไปทั่วทุกหนทุกแห่งที่มีการก่อสร้าง แต่ก็ไม่พบสามีของเธอแม้แต่เงา จนแรงงานคนหนึ่งได้สนทนากับเธอจนรู้ความ จึงได้บอกเธอไปว่า สามีของเธอได้ตายไปแล้วขณะสร้างกำแพง โดยศพถูกฝังอยู่ตรงมุมหนึ่งของตีนกำแพง พลันที่รู้เช่นนั้น หัวใจของเมิ่งเจียงหนี่ว์ก็พลันแตกสลาย
เธอรี่ตรงไปยังหลุมฝังศพของสามีผู้เป็นที่รัก จากนั้นก็ร่ำไห้ออกมาเต็มเสียงเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก เสียงร่ำไห้ของเมิ่งเจียงหนี่ว์ได้สั่นสะเทือนกำแพงจนพังทลายลงมา และในจุดที่กำแพงทลายลงได้ทำให้หลุมศพของฟั่นสี่เหลียงแยกออกจนทำให้เห็นซากศพของเขา
และแล้วข่าวที่เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้จนกำแพงทลายก็รู้ไปถึงจักรพรรดิฉินสื่อ
จักรพรรดิฉินสื่อทรงกริ้วที่เกิดเหตุการณ์นี้ พระองค์จึงให้ทหารจับกุมตัวเมิ่งเจียงหนี่ว์หมายจะลงโทษ แต่เมื่อทหารนำตัวเมิ่งเจียงหนี่ว์มาอยู่ต่อหน้าแล้ว พระองค์กลับตะลึงในความงามของเมิ่งเจียงหนี่ว์จนไม่อาจลงโทษเธอได้ ขณะนั้นพระองค์ทรงมีนางสนมอยู่แล้ว 3,000 คน แต่ไม่สนมคนใดที่งามสู้เมิ่งเจียงหนี่ว์ไปได้
ใช่แล้ว จักรพรรดิฉินสื่อต้องการที่จะได้เมิ่งเจียงหนี่ว์มาเป็นนางสนมของพระองค์
เมื่อเมิ่งเจียงหนี่ว์รู้เช่นนั้น เธอจึงยื่นเงื่อนไขสามข้อต่อจักรพรรดิฉินสื่อ ข้อแรก จักรพรรดิฉินสื่อจักต้องมีแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อสามีของเธอ ข้อสอง จักรพรรดิฉินสื่อจักต้องแต่งกายไว้ทุกข์ให้แก่สามีของเธอ ข้อสาม ให้จัดเตรียมเรือหนึ่งลำให้เธอแล่นลอยอยู่กลางทะเลเป็นเวลาสามวัน
จักรพรรดิฉินสื่อยอมรับเงื่อนไขข้อหนึ่งกับข้อสาม แต่กับข้อสามแล้วกลับทรงลังเลด้วยว่า หากพระองค์ทรงแต่งชุดไว้ทุกข์ และไปแสดงความเคารพต่อศพของฟั่นสี่เหลียงแล้ว ก็จะเท่ากับว่าพระองค์เป็นบุตรของฟั่นสี่เหลียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นจักรพรรดิ
แต่ครั้นได้ฟังคำโน้มน้าวและเห็นความงามที่ชวนให้หลงใหลของเมิ่งเจียงหนี่ว์แล้ว จักรพรรดิฉินสื่อก็ทรงใจอ่อนและยอมทำตามเงื่อนไขของเธอในที่สุด
หลังจากพิธีศพของฟั่นสี่เหลียงผ่านไป การจัดเตรียมเรือให้เมิ่งเจียงหนี่ว์ได้แล่นลอยอยู่ที่ทะเลก็ตามมา เรือของเมิ่งเจียงหนี่ว์ได้แล่นลอยอยู่ที่ทะเลป๋อ (ป๋อไห่) ส่วนจักรพรรดิฉินสื่อก็ได้แต่เฝ้ารอให้ครบสามวันเพื่อจะได้อภิเษกสมรสกับเมิ่งเจียงหนี่ว์
ส่วนเมิ่งเจียงหนี่ว์ก็อยู่ในเรือด้วยอาการที่สงบ แต่ใจหาได้สงบไม่ เพราะจักรพรรดิฉินสื่อได้พรากสามีของเธอ และทำให้ชีวิตของเธอต้องตกอยู่ในความทุกข์ เช่นนี้แล้วเธอจะแต่งงานกับจักรพรรดิฉินสื่อได้อย่างไรเล่า