xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

หญิงแม่มาเอง “นางพญาอ้อ” ออกโรง ปั้น “ลูกอิ๊ง ”ชิงนายกฯ - ฝันพา “ทักษิณ” กลับบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งปฐพีการเมืองไทย กับการปรากฎตัวของ “หญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ไปร่วมอีเวินท์ “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ” ของครอบครัวเพื่อไทย ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565

หากมองอย่างไม่คิดลึก ก็เข้าใจได้ว่า “หญิงอ้อ” ต้องการไปให้กำลังใจ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ที่นาทีนี้ก้าวเข้าสู่ถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และคาดหมายว่าจะถูกวางตัวเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ทว่า ระดับ “นางพญาจันทร์ส่องหล้า” ขยับตัวเช่นนี้ ก็คงมองข้าม “นัย” ทางการเมืองไปไม่ได้ ด้วยเป็นที่รู้กันว่า หลังพรรคไทยรักไทยล่มสลาย “เฮียโทนี” ทักษิณ ชินวัตร อดีตสามี ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างแดน ก่อนที่ทั้งคู่จะหย่าร้างกัน “หญิงอ้อ” ก็เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยปรากฎตัวต่อสาธารณะ

ว่ากันว่า อีเว้นท์ครอบครัวเพื่อไทยที่ จ.เชียงใหม่ เป็นการร่วมกิจกรรมทางการเมืองครั้งแรกของ “พจมาน” ในรอบไม่ต่ำกว่า 15 ปีเลยทีเดียว จึงหนีไม่พ้นต้องถูกนำไปตีความถอดรหัสทางการเมือง

“อุ๊งอิ๊ง” เล่าถึง “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่คุณแม่มาให้กำลังใจในงานครอบครัวเพื่อไทยว่า “วันนี้คุณแม่มา ดีใจ ปกติจะให้ออกงานเป็นเรื่อง impossible (เป็นไปไม่ได้) … เพราะท่านไม่ชอบมาอยู่แล้ว แต่เมื่อมาจริงๆ ก็ดีใจมาก … คุณแม่เป็นกำลังใจที่บ้าน ไม่มาการเมืองแน่นอน … และเป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆ เป็นความมั่นคงทางจิตใจของอิ๊ง”

แน่นอน ต้องยอมรับว่า ไม่เพียงแต่กับลูกสาว แต่การออกโรงของ “นายหญิงใหญ่” นำมาซึ่งความกระชุ่มกระชวยใน “ค่ายดูไบ” พอสมควร ด้วยคาดหวังว่า จะเป็นอาณัติสัญญาณปล่อย “กระสุน-น้ำเลี้ยง” ที่ติดขัด-เหือดแห้งมานาน เพื่อฟอร์มทีมให้พร้อมรบในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย

ด้วยเป็นที่รู้กันว่า การบริหารบัญชาการภายในพรรคเพื่อไทยนั้น “คุณหญิงพจมาน” มีสิทธิ์มีเสียงยิ่งกว่า “ทักษิณ” เสียอีก

อย่างไรก็ดี เมื่อมองมุมกลับ อาจไม่ได้ “เป็นบวก” กับเส้นทางทางการเมืองของ “แพทองธาร” อย่างที่ “พ่อษิณ-แม่อ้อ” ตั้งใจก็เป็นได้

อย่างแรกยิ่งเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า “ครอบครัวชินวัตร” มีความสำคัญเหนือกว่า “ครอบครัวเพื่อไทย” หลังถูกวิจารณ์มาตลอด ตั้งแต่แต่งตั้งให้ “ลูกอิ๊ง” ที่เป็นแค่ “ละอ่อน” ทางการเมือง ขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นสถานะที่เหนือพรรคเพื่อไทยที่มี ส.ส.หัวแก่-หัวหงอกอยู่เต็มพรรค

ก่อนนี้ตั้งแต่ “แพทองธาร” เปิดตัวทำงานทางการเมืองเรื่อยมา ก็ได้เห็นพี่น้องอย่าง “เฮียโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร และ “เจ๊เอม” พินทองทา ชินวัตร รวมไปถึงเขยใหญ่-เขยเล็กชินวัตร “เสี่ยพงศ์” ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีของพินทองทา และ “เสี่ยปอ” ปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีแพทองธาร ตามไปให้กำลังใจแทบทุกเวทีอยู่แล้ว

ยังปล่อยคิว “ตัวแม่” ที่เวทีเชียงใหม่ บ้านเกิดของตระกูลชินวัตร พร้อมด้วย “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ที่ควงคู่มากับ “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ที่มาร่วมงานด้วย

กลายเป็นว่ากิจกรรมของพรรคเพื่อไทย เป็น “งานรวมญาติ” ของ “ตระกูลชินวัตร” อย่างไรอย่างนั้น

และในขณะที่สปอตไลท์จับจ้องแต่กับ “ครอบครัวชินวัตร” ที่นั่งเรียงแผงกันอยู่หน้าเวที ก็ให้แต่ “หมอชลน่าน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แทบจะหลุดเฟรมไม่มีใครสนใจ ทั้งที่ “ชลน่าน” วันนี้ไม่ใช่แค่ ส.ส.ธรรมดา เป็นถึงหัวหน้าพรรค และยังมีตำแหน่งทรงเกียรติอย่างผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเอาเข้าจริงเป็นตำแหน่งที่อยู่ในระนาบเทียบเท่านายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ

หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ต่างจาก “ลูกจ้าง” ที่ต้องหลบซีนให้ “นายใหญ่-นายหญิง-นายน้อย” ตามวัฒนธรรม “ระบอบทักษิณ” ถึงขนาดโค้งคำนับ “หลานอิ๊ง” อย่างนอบน้อมให้เห็นมาแล้ว

ว่ากันตามตรง เห็นสภาพแล้ว ไม่ต่างอะไรจาก “เด็กเปิดประตู” หรือ “เด็กประจำลิฟต์” ในโรงแรมเท่านั้น

ในมุมของคนภายนอก ก็ยิ่งมอง “พรรคเพื่อไทย” เป็นเพียงแค่กิจการในเครือ “ชินวัตร” หาใช่พรรคการเมืองที่คุยเขื่องจะเป็นสถาบันการเมืองแต่อย่างใด เหมือนที่ “ไทยรักไทย-พลังประชาชน” เคยถูกปรามาสในอดีต

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ “เจ้าแม่เพื่อไทยตัวจริง” ออกโรง ยังเป็นการกดทับตัว “อุ๊งอิ๊ง” อีกด้วย เพราะ “คุณหญิงพจมาน” ไม่เพียงเป็น “ความมั่นคงทางจิตใจในบ้าน” ตามลูกสาวว่าไว้เท่านั้น ยังถือเป็น “ความมั่นคงทางจิตใจในพรรค” อีกด้วย

เพราะแค่ “คุณหญิง” ออกงาน ก็มีเสียงลิงโลดใน “ค่ายดูไบ” ว่า เป็นสัญญาณ “ปล่อยของ” หลังจากที่เหี่ยวแห้งกันมานานตามที่ว่าไว้ข้างต้น

ต่างจากการเปิดตัว “แพทองธาร” ในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย บนเวทีที่ จ.ขอนแก่น เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งแรกๆ ก็ทำให้ “ลิ่วล้อ” ลิงโลดว่า “เจ้านาย” ทิ้งไพ่ลูกสาว คงต้องทุ่มหมดหน้าตัก ปรากฎมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เอาเข้าจริง “คุณหนูอิ๊ง” ก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรก ในการมาชูธงนำตามมุมมองของคนในพรรค หากแต่เป็น “คุณแม่อ้อ” ต่างหากที่คนในพรรคเรียกร้อง

ย้อนกลับไปก่อนการเปิดตัว “แพทองธาร” เมื่อปีกลาย ในงานเลี้ยงสังสรรค์แกนนำ และ ส.ส.เพื่อไทย ที่บ้าน “เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล ชื่อของ “หญิงอ้อ” ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง เมื่อ “เฮียเกรียง” เกรียง กัลป์ตินันท์ ขาใหญ่ภาคอีสานของพรรค ยิงคำถามกับ “นายใหญ่ทักษิณ” ที่วิดีโอคอลเข้ามาพูดคุย ถึงความเป็นไปได้ในการขอให้ “คุณหญิงพจมาน” มาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลบูกพรรค รวมทั้งเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดคนเก่าๆ กลับมาด้วย

“ถ้าคุณหญิง (พจมาน) รับปากว่าจะมาเป็นหัวหน้าพรรรค เจ้านาย (นายทักษิณ) จะว่าอย่างไร” นายเกรียง ถาม ทำให้ผู้ร่วมงานต่างปรบมือและส่งเสียงเชียร์” เฮียเกรียง ว่าไว้ในวันนั้น

เมื่อ “ทักษิณ” ได้ฟัง ก็อมยิ้มก่อนจะตอบว่า “คุณหญิงเป็นคนไม่ชอบการเมืองที่สุด แต่ที่ผ่านมาตกกระไดพลอยโจน ถ้าไม่จำเป็นอย่างยิ่งยวด คุณหญิงจะไม่ขอลงการเมือง เพราะไม่ชอบ ปราศรัยไม่ถนัด ไม่ถนัดที่จะพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ นั่งเป็นประธานในที่ประชุมได้ แต่ว่าไปขึ้นปราศรัย ขึ้นเวทีทักทายประชาชนทำไม่เป็น”

การรบเร้าของลูกพรรคครั้งนั้น ก็น่าจะปัจจัยเร่งนำมาซึ่งการเปิดตัว “ลูกอิ๊ง” ที่คล้ายกับเป็น “มวยแทน” ของ "นายใหญ่-นายหญิง” ในเวลาต่อมาไม่นาน

อีกประการสำคัญ การให้ “ลูกสาวคนเล็ก” มาถือธงนำพรรคร่วมปี ก็ต้องถือว่ายังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาภาวะ “เลือดไหลออก” ที่ขนาดพะยี่ห้อ “ลูกนายใหญ่” ก็ยังเอาไม่อยู่

ซ้ำร้ายยังมี ส.ส.เพื่อไทย แปลงกลายเป็น “งูเห่า” เพิ่มขึ้น แล้วยังกล้าเปิดหน้ากว่าก่อนที่ “อุ๊งอิ๊ง” จะเข้ามาเสียอีก แล้วยังมีอีกไม่น้อยที่มีกระแสข่าวเนืองๆ ว่า คงไม่

อยู่กับพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน ไม่ได้หวั่นไหวกับคำขู่ “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” แต่อย่างใด

สังเกตได้จาก การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ทั้งภาคเหลือ-อีสาน-กลาง รวมไปถึง กทม. ที่ยังมีการ “เว้นว่าง” ไว้อีกเป็นร้อยเขต และหลายพื้นที่ ส.ส.ปัจจุบัน กลับไม่มีชื่อเป็นว่าที่ผู้สมัคร

ยิ่งใกล้ช่วง “สุกดิบ” ปลายเดือนกันยายน 2565 เป็นต้นไป จะเข้าสู่ช่วง 180 วันสุดท้ายก่อนครบวาระสภาผู้แทนราษฎรในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2566 จะเป็นช่วงที่ ส.ส.เขตสามารถลาออกได้โดยไม่ต้องเลือกตั้งซ่อม เป็นโอกาสเหมาะของ ส.ส.ที่จะเปลี่ยนสีเสื้อพรรคเพื่อไปทำพื้นที่ล่วงหน้า

จนทำให้ “นายหญิงใหญ่” ต้องโดดลงมาเพื่ออุดแผลเลือดไหลออก

กลายเป็นการขยี้ตัว “อุ๊งอิ๊ง” ให้เห็นว่า “พรรษาไม่ถึง” เพราะไม่ต้องอะไรมาก หลังเปิดตัวมาร่วมปี กระแสความนิยมในพรรคเพื่อไทย และ “แพทองธาร” ที่เคยพุ่งในช่วงแรก กลับอยู่ในภาวะ “ทรงๆ” หลังจากนั้น


เอาแค่ผลการสำรวจ “อีสานโพล” ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งสำรวจความคิดเห็นคนในภาคอีสาน พื้นที่หากินของพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับบุคคลที่อยากให้เป็นนายกฯ ที่ออกมา 2 หนล่าสุด ปรากฏว่า “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ก็ยังมีคะแนนความนิยมนำ “แพทองธาร” อยู่

กลายมาเป็นวาระสำคัญของพรรคเพื่อไทย มิเช่นนั้น “หมอชลน่าน” คงไม่ใช้เวทีที่เชียงใหม่หันไป “แซะ” พรรคคู่แข่งว่า ต้องไม่เลือก “พรรคที่แอบอ้างว่าเป็นพรรคเดียวกัน หรืออ้างว่าเป็นพรรคพี่พรรคน้อง” แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อออกมาตรงๆ แต่ก็รู้กันว่า ไม่พ้นพรรคไทยสร้างไทยของ “หญิงหน่อย”

สอดรับกับก่อนหน้านี้ “ทักษิณ” เองเคยที่พยายาม “ด้อยค่า” พูดถึง “พรรคเจ๊หน่อย” ในทำนองนี้มาหลายวาระแล้ว

เฉกเช่นเดียวกับ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่ถูก “หมอชลน่าน” กล่าวถึงอ้อมๆ เรียกร้องให้ประชาชนไม่เลือกพรรคที่สนับสนุนรัฐบาล ซึ่งนอกจาก “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ แล้วก็คงไม่พ้นหมายถึง “ค่ายเซราะกราว” ด้วย

อาจพูดได้ว่า พรรคภูมิใจไทยถูกยกให้เป็น “ศัตรูเบอร์ 1” ของพรรคเพื่อไทย แทนที่ “ค่ายหลวงพ่อป้อม” ไปแล้วด้วยซ้ำ

เพราะที่ผ่านมาต้องถือว่า พรรคภูมิใจไทยรุกหนักทั้งการทำพื้นที่ หรือการดูด ส.ส.เพื่อไทย ไปหลายชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคอีสาน ที่หากพรรคภูมิใจไทยได้ ส.ส.ในอีสานมากขึ้น ก็เท่ากับพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.น้อยลง การแข่งขันจึงเข้มข้นตั้งแต่ระฆังยังไม่ดัง

และเมื่ออาการของพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ “ลูกอิ๊ง” ทำท่าไม่ดี ก็จำเป็นต้องทิ้งไพ่ใหญ่อย่าง “คุณหญิงอ้อ” ลงมาเล่นเอง

นอกเหนือจากนั้น แม้จะแน่นอนแล้วว่า จะส่ง “แพทองธาร” เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ก็ยังมีความพยายามโยนหินสอดแทรกชื่ออื่นๆออกมาเป็นระยะ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯเบอร์ 2-3 ของพรรค ตามกฎหมายที่เปิดให้แต่ละพรรคเสนอได้ 3 รายชื่อ

อาทิ รายของ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กบอสบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล แกนนำพรรคคนสนิทของทักษิณ หรือ “หมอชลน่าน” ในฐานะหัวหน้าพรรคเอง

กระทั่ง “ผู้ว่าฯทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่วันนี้ก็ยังมีชื่อคาอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย เมื่อการเลือกตั้ง 2562 ก็ยังมีการโยนชื่อออกมาหยั่งกระแสว่า อาจได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง แม้จะเพิ่งชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาไม่นานก็ตาม

สะท้อนให้เห็นว่า ขนาด “เจ้าของพรรค” เองก็ไม่เชื่อมั่นในตัว “ลูกสาวเถ้าแก่” ว่า จะสามารถปลุกกระแส สร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินได้จริง จนอาจต้องใส่ชื่อ “ตัวขาย” คนอื่นมาช่วยดึงคะแนน

การเปิดหน้าของ “แม่อ้อ” ก็ยิ่งทำให้ภาพจำของ “อุ๊งอิ๊ง” ยังคงเป็น “ลูกคุณหนู” ที่จำเป็นต้องมีคนมาคอยประคบประหงมดูแล เป็นคุณสมบัติที่ห่างไกลจากคนที่จะมาเป็นนายกฯ

หนักที่สุดเห็นจะเป็นการที่ “ทักษิณ” ออกมาพูดถึงการออกงานของ “อดีตเมีย” พ่วงกับอนาคตการก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯของ “ลูกอิ๊ง” ที่ว่าต้องรอ “ฟ้าลิขิต” หรือไม่ว่า

“คนจะเป็นนายกฯ ไม่ใช่ว่าใครจะจับมาเป็นก็ได้ มันต้องแข่งขันทางการเมือง แล้วให้ประชาชนเลือก นี่คือระบบประชาธิปไตย … ผมว่าอยู่ที่พรรคเพื่อไทยเลือก และเขาจะเสนอ 3 รายชื่อ เพราะใช้สิทธิเต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าอิ๊งจะได้เลือกไหม … ถ้าอิ๊งจะเป็นนายกฯ ประชาชนต้องเป็นคนเลือก แต่ก่อนที่จะให้ประชาชนเลือก อิ๊งต้องชนะใจแม่ให้ได้ก่อน คือ ตัวผมก็แล้วแต่ลูก แต่ว่าแม่เขา รักลูกมาก และอิ๊งยังมีลูกเล็กอีก เขาคงไม่อยากให้เป็นหรอก เพราะการเมืองที่ผ่านมามันแรงมาก คนเป็นแม่ก็คงคิดหนัก ผมเลยบอกไงว่า ต้องชนะใจแม่ก่อน”

เป็นคำพูดที่รู้ทั้งรู้ว่า อย่างไรเสียหาก “นายใหญ่-นายหญิง” กดปุ่ม ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ย่อมต้องมีชื่อ “แพทองธาร” อยู่อย่างแน่นอน

และดู “ทักษิณ” ให้น้ำหนักไปที่ “ไฟเขียว” ของ “อดีตเมีย” เหนือกว่าเรื่องอื่น เป็นประเด็นหลักเสียยิ่งกว่าการได้รับเลือกจากประชาชนด้วยซ้ำ

กลายเป็นว่า อนาคต “ว่าที่นายกฯอิ๊ง” ขึ้นอยู่กับ “แม่ลิขิต” เหนือกว่า “ฟ้าลิขิต”

เป็น “ฟ้าลิขิต” คำสำคัญที่ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ว่าไว้ถึงโอกาสการเป็นนายกฯ ในการเปิดตัวเป็นประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ก่อนนั้นไม่นาน

จนพอสรุปได้ว่า การเข็น “หญิงอ้อ” ออกจากถ้ำมาโชว์ตัวในอีเว้นท์การเมืองครั้งแรกในรอบ 15 ปีครั้งนี้ หาได้เป็นพลังหนุนส่งให้ “ลูกอิ๊ง” ดูดีขึ้น แต่เป็นการกดทับมากกว่า เช่นเดียวกับการกดทับพรรคเพื่อไทยให้เป็นแค่กิจการของครอบครัวชินวัตร และอาจมองได้ว่า กดทับประชาชนผู้ออกสิทธิ์เลือกตั้งด้วยตามคำพูดของ “ทักษิณ”

ทว่า คงดูเบาการขยับตัวของ “นางพญาจันทร์ส่องหล้า” รอบนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะอ่านไม่ยากว่า “ทุ่มสุดตัว-เทหมดหน้าตัก” โดยแท้

เพราะขนาดสมัยเลือกตั้งปี 2554 ที่พรรคเพื่อไทยผลักดันให้ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่มีวี่แววที่ “คุณหญิงพจมาน” จะออกตัวสนับสนุนแต่อย่างใด

ด้วยรู้ดีถึง “ต้นทุนทางสังคม” ของตัวเอง ที่ไม่อาจให้เกิดความสุ่มเสี่ยงได้

อย่าลืมว่า ชื่อของ “คุณหญิงพจมาน” ยังถูกมองเป็น “ดีลเมกเกอร์” คนสำคัญ ผ่านดีลปรองดอง-รัฐบาลแห่งชาติในอดีต ในฐานะที่เข้าถึง “ฝ่ายอำนาจ” ในระดับต่างๆ ได้ แม้กับ “พี่ใหญ่ 3 ป.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายกฯรักษาการ ก็มีข่าวเนืองๆว่า มีการพูดคุยผ่าน “คนกลาง” บ่อยครั้ง

ระดับ “เซียนเหยียบเมฆ” อย่าง “คุณหญิงอ้อ” ที่อ่านการเมืองทะลุ และกล้าวิพากษ์ก้าวย่างทางการเมืองของ “ทักษิณ” ว่าล้วนแล้วแต่ผิดพลาด ก็รู้แก่ใจว่า การออกหน้าเช่นนี้ย่อมนำมาซึ่ง “ความหวาดระแวง” ของ “ฝ่ายอำนาจ”

สุ่มเสี่ยงขนาดนี้แล้ว “หญิงอ้อ” ยังเปิดหน้า-ออกตัวรอบนี้ ก็ย่อมชี้ให้เห็นว่า งานนี้ “เดิมพันสูง”

เป็นเดิมพันสูง ที่เป็นอนาคตของ “ลูกในไส้” ที่หมายปั้นให้ถึงฝั่งฝันนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศ และที่สำคัญยังเป็นการชี้ชะตา “อดีตสามี” ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเหยียบมาตุภูมิอีกหรือไม่ด้วย

เป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดของ “นายหญิงจันทร์ส่องหล้า” เพราะอาจจะเป็น “ไฟต์สุดท้าย” ของ “ระบอบทักษิณ” ที่หากแพ้เลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ได้เป็นรัฐบาล ส่ง “ลูกอิ๊ง” เป็นนายกฯกุมอำนาจรัฐไม่สำเร็จ

ก็เท่ากับ “ไพ่หมดมือ” ไร้ตัวเล่นในสงครามชิงอำนาจ

จนน่าสนใจว่า การที่ “ทักษิณ” เลือกตีไพ่ใหญ่สุดในบ้านชินวัตรอย่าง “ไพ่พจมาน” สุดท้ายจะกลายเป็น “ได้น็อก” หรือ “โดนน็อก” กันแน่.




กำลังโหลดความคิดเห็น