xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กำแพงหมื่นลี้ (11) เรื่องเล่าในกำแพง (ต่อ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 เมิ่ง เจียงหนี่ว์ สตรีในตำนานจีนอันลือลั่นและถูกเล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน
คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

เหตุดังกล่าวทำให้มหาอำมาตย์แห่งรัฐเซินซึ่งเป็นบิดาของอดีตมเหสีขุ่นเคืองยิ่ง มหาอำมาตย์ผู้นี้เคยช่วยราชวงศ์โจวในการขยายเขตแดนด้านตะวันออกมาก่อน จนถูกแต่งตั้งจากโจวให้ปกครองเขตแดนด้านนี้

แต่เมื่อกษัตริย์โยวทรงก่อปัญหาขึ้นมา มหาอำมาตย์แห่งรัฐเซินผู้ขุ่นเคืองจึงเข้าร่วมกับ “ชนป่าเถื่อนแห่งตะวันตก”  ซึ่งก็คือ  ชนเผ่าเฉี่ว์ยนหญงหรือชนเผ่าสุนัขเถื่อน (Dog barbarians) ยกกำลังเข้าโจมตีราชวงศ์โจว ในแง่นี้จึงเท่ากับว่ากษัตริย์โยวทรงเป็นฝ่ายยั่วยุศัตรูให้เข้าโจมตีด้วยพระองค์เอง

ควรกล่าวด้วยว่า ก่อนที่กษัตริย์โยวจะทรงครองราชย์นั้น ศัตรูที่เป็นชนเผ่าต่างๆ ได้มีมาก่อนอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นครองราชย์ศัตรูเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ จากเหตุนี้ การศึกที่มีกับชนเผ่าเหล่านี้จึงมักจะเกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์โยวอยู่เสมอ

แต่จากพฤติกรรมที่ทรงก่อขึ้นก็ดี หรือความขุ่นเคืองของมหาอำมาตย์แห่งรัฐเซินที่นำมาสู่การศึกกับราชวงศ์โจวก็ดี จึงหาได้ทำให้กษัตริย์โยวรู้สึกตนมากไปกว่าความคุ้นชินที่มีต่อภัยคุกคามดังกล่าวมากนัก ด้วยทรงเห็นว่าเป็นภัยที่ต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่ก็ด้วยเหตุที่ทรงรู้สึกเช่นนี้กษัตริย์โยวจึงก่อปัญหาจากภัยคุกคามที่ว่าด้วยความประมาทขึ้นมาอีก

 ปัญหาที่ทรงก่อขึ้นใหม่นี้ยังคงมีสาเหตุมาจากความหลงใหลในสนมเปาซื่อ 

โดยเมื่อกษัตริย์โยวทรงเห็นสนมเปาซื่อเป็นหญิงที่ยิ้มยาก พระองค์จึงคิดอ่านที่จะให้นางยิ้มให้ได้ จึงได้ปรึกษาเหล่าขุนนางว่าจะทำอย่างไรให้นางยิ้ม และแล้วก็มีขุนนางผู้หนึ่งเสนอให้กษัตริย์โยวทรงบัญชาให้จุดไฟขึ้นที่หอสังเกตการณ์ของกำแพง เพื่อส่งสัญญาณว่ามีข้าศึกบุกเข้ามา แต่ไม่มีข้าศึกบุกมาจริง

และเมื่อสัญญาณไฟถูกจุดขึ้น กองทัพโจวที่อยู่ตามเมืองต่างๆ ที่เห็นสัญญาณไฟก็จะยกกำลังมาช่วย แต่เมื่อมาถึงโดยที่ไม่มีข้าศึกจริงก็จะทำให้แม่ทัพนายกองเหล่านี้มาเก้อ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เปาซื่อยิ้มออกมาได้ และจะเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์โยวอย่างแน่นอน พระองค์ทรงเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าวและให้ปฏิบัติตามแผนนั้น ไฟสัญญาณจึงถูกจุดขึ้น

แต่ทว่าไฟสัญญาณที่กษัตริย์โยวทรงจุดขึ้นนั้นหาใช่เพราะมีศัตรูมารุกรานไม่ แต่จุดขึ้นเพื่อให้ทัพของโจวจากรัฐอื่นยกมาให้สนมเปาซื่อได้เห็นเท่านั้น ครั้นสนมเปาซื่อได้เห็นทัพโจวยกมาเก้อเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกเกษมสำราญเป็นที่ยิ่งจนยิ้มออกมาได้ในที่สุด และเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์โยวไปด้วย

กำแพงเมืองจีนด่านปาต๋าหลิ่ง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณกรุงปักกิ่ง (ภาพซินหัว)
ส่วนแม่ทัพนายกองที่ยกทัพมาด้วยเข้าใจว่ามีข้าศึกรุกรานจริงก็ให้รู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้นอกจากจะเป็นตัวตลกให้แก่กษัตริย์โยวและสนมเปาซื่อ แม่ทัพนายกองเหล่านี้จึงได้แต่ยกทัพกลับไปยังที่ตั้งของตน

จากพฤติกรรมของกษัตริย์โยวที่ไม่ต่างกับ  “เด็กเลี้ยงแกะ” ในนิทานอิสป ดังกล่าว เมื่อทัพของมหาอำมาตย์แห่งรัฐเซินและชนเผ่าเฉี่ว์ยนหญงกรีธามาตีเมืองหลวงของโจว ไฟสัญญาณที่กษัตริย์โยวทรงให้จุดขึ้นเพื่อเรียกให้ทัพโจวจากที่ต่างๆ ยกมาช่วย จึงไม่มีทัพใดมาช่วย

ด้วยต่างก็คิดไปว่าไฟสัญญาณที่จุดขึ้นนั้นก็คงล้อเล่นดังคราวก่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้ทัพข้าศึกจึงรุกเข้าตีได้โดยสะดวก และในปีที่ 11 แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์โยวหรือ ก.ค.ศ.771 ทัพของชนเผ่าเฉี่ว์ยนหญงและมหาอำมาตย์แห่งรัฐเซินก็บุกเข้าเมืองหลวงของโจวได้สำเร็จ โดยกษัตริย์โยวทรงถูกสำเร็จโทษ สนมเปาซื่อถูกจับกุม โจวที่มีเมืองหลวงอยู่ทางตะวันตกก็ถึงแก่เสียเมือง จากนั้นกองกำลังที่เหลือของโจวก็ไปตั้งเมืองหลวงอยู่ทางตะวันออกเพื่อกอบกู้วงศ์ต่อไป

เรื่องเล่านี้ปรากฏอยู่ในพงศาวดารของจีน และเป็นเรื่องที่ถูกเล่าขานให้เป็นนิทัศน์อุทาหรณ์เพื่อย้ำเตือนว่า กษัตริย์ที่อ่อนแอจะนำมาซึ่งความล่มสลายของราชวงศ์ได้อย่างไร และเหตุการณ์สัญญาณไฟบนกำแพงเมืองจีนเพื่อสนมสุดที่รักก็ชี้ให้เห็นว่า ความลุ่มหลงในสตรีสามารถทำลายราชวงศ์ลงได้ด้วยเช่นกัน

 เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้ถล่มกำแพงหมื่นลี้ 

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นในสมัย  ฉินสื่อฮว๋างตี้ (จิ๋นซีฮ่องเต้)  แห่งราชวงศ์ฉินเมื่อกว่า 2,200 ปีก่อน เรื่องเล่านี้แม้จะเป็นนิยายหรือนิทานก็จริง แต่ก็เล่าบนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างที่มีการสร้างกำแพงเมืองจีน พอเล่าสืบต่อกันมานานๆ เข้า ผู้คนไม่น้อยก็พลอยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ข้อเท็จจริงที่ว่านี้ก็คือ การเกณฑ์แรงงานนับแสนนับล้านมาสร้างกำแพง แรงงานเหล่านี้ล้วนเป็นราษฎรที่ส่วนใหญ่ก็คือชาวนา

เมื่อถูกเกณฑ์มาสร้างกำแพงก็หมายความว่า แรงงานเหล่านี้จะต้องถูกแยกจากครอบครัว และที่แยกนี้ก็มิใช่แยกเพียงไม่กี่เดือน หากแยกนานหลายปีโดยที่ทางครอบครัวของแรงงานเหล่านี้ไม่มีวันรู้ชะตากรรมของพวกเขาเลย การพรากจากครอบครัวเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่เจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก เรื่องเล่านี้จึงถูกผูกขึ้นด้วยการสมมติตัวละครหญิงที่เป็นภรรยาที่สามีของเธอถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพง ครั้นนานวันเข้าก็ให้คิดถึงและเป็นห่วงสามี นางจึงคิดออกตามหาสามีตามจุดต่างๆ ที่มีการสร้างกำแพงเมืองจีน นางผู้นี้มีชื่อเรียกขานกันว่า เมิ่งเจียงหนี่ว์ 

และเรื่องเล่านี้มีชื่อว่า เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้ถล่มกำแพงหมื่นลี้ (เมิ่งเจียงหนี่ว์คูเต่าวั่นหลี่ฉังเฉิง)  

ในสมัยราชวงศ์ฉิน จักรพรรดิฉินสื่อ (จิ๋นซีฮ่องเต้) ได้เริ่มโครงการสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้น ทำให้มีการเกณฑ์แรงงานมาสร้างกำแพงเป็นจำนวนมาก และพื้นที่หนึ่งที่จะมีการสร้างกำแพงด้วยก็คือ ปาต๋าหลิ่ง และที่นี้เองได้มีครอบครัวอยู่สองสกุล (แซ่) พำนักอาศัยอยู่ ครอบครัวหนึ่งคือ สกุลเมิ่ง  อีกครอบครัวคือ  สกุลเจียง ครอบครัวทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เพียงแต่ไม่มีทายาทสืบสกุลเท่านั้น

อยู่มาปีหนึ่งสกุลเมิ่งได้ปลูกต้นน้ำเต้าเอาไว้ที่บริเวณกำแพงบ้าน และด้วยความเอาใจใส่ในการปลูกเป็นอย่างดี ทำให้ต้นกล้าของน้ำเต้างอกเงยเติบโตและงดงาม ครั้นสองเดือนผ่านไป ต้นน้ำเต้าก็สูงเกินกำแพง พอสามเดือนผ่านไป ดอกน้ำเต้าก็งอกออกมาตามเถา พอสี่เดือนผ่านไป ดอกน้ำเต้าก็เหี่ยวเฉาร่วงโรยแล้วถูกแทนที่ด้วยผลน้ำเต้า จากนั้นต้นน้ำเต้าก็งอกงามจากบ้านสกุลเมิ่งไปยังบ้านสกุลเจียง

ผลน้ำเต้าโตวันโตคืนจนรั้งไม่อยู่ และโตจนแม้แต่ผู้ชายที่แข็งแรงก็ยังยกไม่ไหว พอถึงฤดูใบไม้ร่วงผู้เฒ่าสองสกุลก็ช่วยกันยกผลน้ำเต้าไปไว้ที่หลังบ้านของสกุลเมิ่ง จากนั้นผู้เฒ่าสกุลเมิ่งก็ถือมีดหมายที่จะผ่าผลน้ำเต้า ทั้งๆ ที่รู้ว่ายากด้วยผลที่ใหญ่เกินขนาดของมีด แต่พลันที่ผู้เฒ่าสกุลเมิ่งวางคมมีดไว้ที่ผิวน้ำเต้าหมายจะผ่าน้ำเต้าเท่านั้น น้ำเต้าก็แยกออกเป็นสองซีก

ภายในผลน้ำเต้าไม่มีเนื้อและเมล็ดน้ำเต้า แต่ที่มีกลับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในผลน้ำเต้า เด็กหญิงคนนี้มีผิวพรรณขาวผุดผาด เนื่องจากทั้งสองสกุลไม่มีทายาท และหวังที่จะมีทายาทมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ทั้งสองจึงต่างก็อยากได้เด็กหญิงมาเป็นทายาทของตน และต่างก็ถกเถียงแย่งกันเป็นบุพการีของเด็กหญิง

ผู้เฒ่าสกุลเมิ่งว่า ตนเป็นผู้ปลูกต้นน้ำเต้า ส่วนผู้เฒ่าเจียงก็เถียงว่า ผลน้ำเต้ามาโตในพื้นที่บ้านของตน ทั้งสองทะเลาะกันไปมาต่างไม่ยอมลงให้กัน จนในที่สุดแม่เฒ่าของสองสกุลต้องเป็นฝ่ายออกมาแก้ปัญหาโดยเสนอว่า ให้เด็กหญิงเป็นทายาทของทั้งสองสกุลนั่นแหละ และให้ตั้งชื่อเด็กหญิงโดยนำชื่อสกุลของทั้งสองมาเชื่อมเข้าด้วยกันเป็น เมิ่งเจียง

 และเนื่องจากเป็นเพศหญิงซึ่งภาษาจีนคือคำว่า หนี่ว์ เด็กหญิงผู้นี้จึงถูกเรียกว่า เมิ่งเจียงหนี่ว์ 


กำลังโหลดความคิดเห็น