xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“นายกฯป้อม” ราศีจับ ใช้ใจบันดาลแรงแซงรัศมี“น้องตู่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ครบสัปดาห์เต็มๆ ที่ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี แทน “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “บิ๊กตู่” หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ซึ่งคาดว่า ไม่เกินต้นเดือน ต.ค.นี้

ช่วงนี้ก็เป็นธรรมดาที่ไม่ว่า “นายกฯ ป้อม” จะขยับตัวหยิบจับทำอะไร จึงต้องถูกจับจ้อง ทั้งท่าทีที่กระฉับกระเฉงเดินตัวปลิว ผิดฟอร์ม “รองฯ ป้อม” ในวัย 77 ที่เดิมจะเยื้องย่างไปไหน ต้องมีสองคนหามสามคนพยุง

ก็เลยถูกจี้จุดว่า ช่วงนี้ดูฟิตเปรี๊ยะเป็นพิเศษราวได้ “ยาโด๊ป” จนเจ้าตัวเผยเคล็ดลับว่า ทำงานแบบ “ให้ใจบันดาลแรง ไม่ใช่ใช้แรงบันดาลใจ” จึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการปฏิบัติหน้าที่

เหมือนจะบอกว่า ใจเหนือกว่าสังขารที่ไม่สู้ดีนั่นเอง

ด้วยบุคลิก-ภาษากายที่ดูเปลี่ยนไปของ “บิ๊กป้อม” หลังได้เป็นรักษาการนายกฯ เข้าใกล้ “ครุฑตัวที่ 2” ตามคำทำนายของพระอาจารย์ที่นับถือ ก็ไม่พ้นถูกวิพากษ์ว่า งานนี้คง “คิดการใหญ่” หวังนั่งแช่เก้าอี้ผู้นำประเทศไปยาวๆ ท่ามกลางกระแสข่าวอาจมีรายการ “พี่หักน้อง” ฉวยจังหวะ “รวบอำนาจ” เขี่ย “พล.อ.ประยุทธ์” ออกพ้นวงจร

สำทับกับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ได้มีมติแก้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 237/2563 สาระสำคัญเพื่อให้ “รักษาการนายกฯ” มีอำนาจหน้าที่เฉกเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีทุกประการ โดยมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 24 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ “บิ๊กป้อม” รักษาการวันแรก โดยในคำสั่งเมื่อปี 2563 ระบุตอนหนึ่งว่า “ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณ อันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน”

แปลว่า หากรักษาการนายกฯ จะโยกย้ายข้าราชการ และอนุมัติงบประมาณ ต้องปรึกษา “นายกฯ ตัวจริง” เสียก่อน จึงแก้ไขเสียใหม่ว่า ให้นายกฯ รักษาการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับนายกฯ ในการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการหรือองค์กรใด และจะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล และการอนุมัติเงินงบประมาณ อันอยู่ในอำนาจของนายกฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรองนายกฯ รักษาราชการแทนนายกฯ

แปลไทยเป็นไทยตามบริบทตอนนี้ เท่ากับว่า จะโยกย้ายข้าราชการ หรือเบิกจ่ายงบประมาณในอำนาจนายกฯ “บิ๊กป้อม” สามารถคุยกับตัวเอง แล้วทำได้เลย

จนตีความกันใหญ่โตว่า “บิ๊กป้อม” เดินเกม “ยึดอำนาจเงียบ” ในช่วงที่ “บิ๊กตู่” ตกหลุมอากาศ

หากมองอีกมุมต้องบอกว่า คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 237/2563 ออกไว้นั้น สำหรับกรณีที่ “นายกฯ ตัวจริง” ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ทั้งช่วงเดินทางไปภารกิจต่างประเทศ ลากิจ หรือลาป่วย หาใช่ในบริบทถูก “แบนชั่วคราว” เช่นตอนนี้

เรื่องนี้ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่เป็นผู้เสนอแก้ไขอำนาจนายกฯ รักษาการ ก็ระบุเองว่า “การปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ พล.อ.ประวิตร เมื่อรักษาการแล้ว

หากมีการแต่งตั้งโยกย้ายหรือมีเรื่องงบประมาณ จะต้องไปปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ระหว่างหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องแก้คำสั่งตัดประโยคนี้ออกไปเพื่อให้มีอำนาจเต็ม”


จึงมองได้ว่า การแก้ไขอำนาจของนายกฯรักษาการครั้งนี้ เป็นไปเพื่อ “เพลย์เซฟ” ปลอดภัยไว้ก่อนเท่านั้น

อย่างไรก็ดี หากก้าวข้าม “มิติการเมือง” ที่ถูกจับจ้อง แล้วว่ากันด้วย “มิติการทำงาน” เพียวๆ ก็ต้องยอมรับว่า การที่ “ลุงป้อม” ขึ้นมาขึ้นแท่นรักษาการเบอร์ 1 ตึกไทยคู่ฟ้า ก็ทำให้กระแสโจมตีรัฐบาลซาลง ประเภทที่แซวว่า “หนีเสือ ปะจระเข้” หรือ “หลบรถเทรลเลอร์ เจอรถบรรทุก” ก็เงียบไปพอสมควร

ด้วยการปรับภาพลักษณ์เป็น “ผู้ใหญ่ใจดี” หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสยามออกสื่อ ทั้งยังเลี่ยงคาถา “ไม่รู้ๆ” ที่ถูกค่อนขอดมาตลอดอีกด้วย ต่างจากระยะหลังที่ “นายกฯ ตู่” ยังประจำการในทำเนียบรัฐบาล ที่มัก “ตีหน้ายักษ์” ในทุกๆ คำถาม และทุกประเด็นที่รุมเร้าเข้ามา

และด้วยแอกชันการทำงาน และมีการวางงาน “พีอาร์” ประชาสัมพันธ์ที่มีการตีปิ๊บถี่ยิบภายหลังจาก “พล.อ.ประวิตร” ขึ้นรักษาการนายกฯแทน ไม่เว้นช่วงเสาร์-อาทิตย์ หยุดราชการ ที่มีการปล่อยรายงานข่าวออกมาว่า “นายกฯ ป้อม” ต่อสายโทรหา “จารย์ทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เพื่อประสานงานเกี่ยวกับการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ กทม. พร้อมระบุว่า จะส่งทหารไปช่วยบรรจุทรายลงกระสอบ และช่วยเรียงกระสอบป้องกันน้ำล้นตลิ่ง

ตามมาด้วย การโทรศัพท์สายตรงถึง วีระชัย นาคมาศ ผู้ว่าฯ พระนครศรีอยุธยา ที่เป็นพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัยอยู่ในช่วงนี้ โดยได้กำชับ และสั่งการเร่งรัดให้เกิดการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

การสื่อสารสายตรงถึง “ชัชชาติ” ยังเป็นการเดินหมากเหนือชั้น โชว์ความเป็นมือประสานสิบทิศที่พร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ต่างจากท่าที “บิ๊กตู่” ที่เคยมีต่อ “ชัชชาติ” ในลักษณะมึนตึง ไม่นับเป็นพวก

อีกทั้งการแอกทีฟในช่วงเสาร์-อาทิตย์ ยังแสดงให้เห็นว่า พร้อมทำงานตลอดเวลา บลัฟ “บิ๊กตู่” ที่วันหยุดราชการ-นักขัตฤกษ์ จะ “ปิดทำการ” อย่างสิ้นเชิงด้วย

ขนาด “เสี่ยด้วง” ดวงฤทธิ์ บุนนาค สมาชิกกลุ่มแคร์ ที่ตั้งแท่นอยู่ตรงข้ามและวิพากษ์รัฐบาลอย่างเผ็ดร้อน ยังเอ่ยปากชม “ลุงป้อม” ผ่านรายการแคร์คลับเฮาส์ในหัวข้อ “ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่...แล้วไงต่อ” ที่จัดร่วมกับ “เฮียโทนี” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เมื่อคืนวันที่ 30 ส.ค.65 เลยว่า ภาพพจน์ของรัฐบาล และพรรคพลังประชารัฐดูดีขึ้น จากความขยันของ “ลุงป้อม” ถือว่าน่ากลัวมาก หากมีเวลามากกว่านี้ในการเป็นนายกฯ คะแนนเสียงของพรรคพลังประชารัฐอาจจะดีขึ้น

ทว่า เสียงชมของ “เสี่ยด้วง” ย่อมต้องมีวาระซ่อนเร้น จะใช้คำว่า “เสี้ยม” ก็คงไม่เกินเลยจากความเป็นจริงเท่าใดนัก

ขณะที่ในแง่ “การวางตัว-มารยาท” ในฐานะ “รักษาการนายกฯ” ก็ถือว่าทำได้ดี โดยเฉพาะในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา มีการเว้นที่นั่งนายกฯ ไว้ โดยที่ “บิ๊กป้อม” ในฐานะประธานในที่ประชุม นั่งเก้าอี้รองนายกฯ ตัวเดิมของตัวเอง

อีกทั้งในการประชุม ครม.นัดแรกที่ “พล.อ.ประวิตร” ในฐานะรักษาการนายกฯ ก็เป็นอย่างราบลื่น ไม่มีการบ่นพรึมเยิ่นเย้อเสียเวลาเหมือน “ตัวจริง” พร้อมปล่อยของเล็กๆ ด้วยการอนุมัติงบประมาณ 1 พันล้านบาทจาก พ.ร.ก.เงินกู้ฯเพิ่มเติม 2565 เพื่อเป็นค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและค่าเสี่ยงภัยสำหรับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอีกราว 5.28 พันล้านบาท เพื่อก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนน และพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำที่อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เป็นงบฯ 2 ก้อนที่ยิงตรงลงท้องถิ่น ซึ่งแน่นอนว่าได้ผลในแง่ของการทำพื้นที่เตรียมการเลือกตั้ง

ขณะที่ในเรื่องที่จับตามองทั้งการปรับ ครม.-ยุบสภา หรือการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร-ตำรวจ ก็ดูเหมือนไม่ผลีผลาม เสี่ยงสร้างความร้าวฉานกับ “น้องตู่”

อย่างการอนุมัติโผแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับนายพล ที่มีกระแสข่าวหนาหูว่า “ทีมลุงป้อม” เตรียมรื้อโผเดิมที่ “บิ๊กตู่” ทำไว้ จนต้องเลื่อนการอนุมัติไปอีกร่วมสัปดาห์ ปรากฎถึงเวลาจริง เคาะเดียวผ่านฉลุย ไม่มีฝุ่นตลบ

จนมองว่าควาพยายามที่ “คนรอบข้าง” พยายามยุแยงให้ “พี่ป้อม” ฉวยจังหวะ “นาทีทอง” ปรับ ครม. ตอนที่ “น้องตู่” ติดหล่ม อาจจะยังไม่สัมฤทธิ์ผล

สู้เล่น “เย็นให้พอ รอให้ได้” มีเชื้ออยู่แล้วจากกรณี “ครูโอ๊ะ” กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ โควตา “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไมย ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะคำสั่งศาลในคดีบุกรุกป่า ขณะเดียวกันช่วงเดือน ก.ย.นี้ ก็มีกรณี นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย โควตา “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องลุ้น 2 เด้งในเรื่องการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเช่นกัน

ครั้นจะไปบุ่มบ่ามปรับ ครม.ตามแรงยุก็ใช่เรื่อง สู้รอให้ชัดเจนเรื่อง “นายกฯ ตู่” ที่คาอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญก่อนดีกว่า

เพราะหากเคราะห์ร้าย “บิ๊กตู่” ไม่ได้ไปต่อ ครม.หยุดทั้งยวง เป็น ครม.รักษาการ อย่างไรเสีย “ลุงป้อม” ก็ค้ำอยู่ในฐานะรักษาการนายกฯ อำนาจเบ็ดเสร็จ อยากทำอะไรก็ทำได้ ยามนั้นก็คงไม่มีใครว่า

เฉกเช่นกับอำนาจยุบสภา ที่มีการกะเก็งกันว่า อาจถูกหยิบมาใช้เร็วกว่าที่คาด เพื่ออยู่โยงรักษาการ แบบเลือกตั้งไม่ได้ เนื่องจากกฎหมายลูกสำหรับการจัดการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ และทำท่าจะเป็นปัญหาไม่จบง่ายๆด้วย หลังมี ส.ส.-ส.ว.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า มีเนื้อหาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

การเลือกออปชั่นยุบสภาคงไม่เกิด หากไม่มีเรื่องจวนตัวจริง ทั้งยังไม่ได้การันตีว่า การยุบสภาที่ส่อให้เกิด “สุญญากาศ” จะไม่มีแรงต้านจากภายนอก จนกลายเป็นปฐมเหตุของ “ม็อบการเมือง” รอบใหม่

ตอนนี้ก็เป็นนายกฯรักษาการที่มีอำนาจเต็มมืออยู่ดีๆ “ลุงป้อม” จะไปสร้างเรื่อง ทั้งปรับ ครม.ให้ขัดเคืองกันในหมู่ “พี่น้อง 3 ป.” ให้ต้องมาห้ำหั่น “รบกันเอง” หรือยุบสภาให้เกิดกระแสต่อต้านภายนอก สุ่มเสี่ยงให้มี “มือที่มองไม่เห็น” มาแทรกทำไม

ฟากฝั่ง “บิ๊กตู่” เองก็คงมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ครั้นจะไปแตะเบรกให้ “บิ๊กป้อม” เพลงเครื่องก็กระไรอยู่ จึงต้องบากหน้าออกมาทำงานในฐานะ “สนามไชย 1” รมว.กลาโหม ไปพลาง แม้จะต้องขัดเขินบ้าง อย่างในการประชุม ครม. ก็ขอโผล่หน้าแฉล้มมาร่วมประชุมแบบออนไลน์

ทั้งการขยันขันแข็งเข้าออฟฟิศทำงานที่กระทรวงกลาโหมทุกวัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ในฐานายกฯ ควบ รมว.กลาโหม โผล่ไปเฉพาะหมายสำคัญ รอบปีนับครั้งได้

กระทั่งงาน Defense & Security 2022 งานแสดงเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่ปกติมอบหมายให้คนอื่นไปเป็นประธานเปิดงานแทนตลอด ก็จำต้องไปเองในช่วงนี้

หรือการโผล่ไปลงพื้นที่น้ำท่วม จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ต้องใช้ข้ออ้างว่า เพื่อไปรับทราบสถานการณ์น้ำ และตรวจเยี่ยมการปฎิบัติหน้าที่ของกำลังพลกองทัพ ในการสนับสนุนช่วยเหลือป้องกันและรับมือสถานการณ์ ก็ดูจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควร

แต่ก็ถือเป็นความจำเป็นของ “นายกฯตู่” ที่ต้องส่งสัญญาณว่ายังสู้ ไม่มีหมอบ แม้โดยค่อนขอดว่า โดน “ลดเกรด” ไปนั่งทำงานที่กระทรวงกลาโหมก็ตาม ด้วยรู้ว่าหาก “นิ่ง” ก็คงไม่ส่งผลดีกับอนาคตที่แขวนอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะหากถูกตีความว่า “หมอบ” ไม่สู้ต่อแล้ว ก็คงไม่เป็นคุณกับตัวเอง

ก็เลยเกิดการเปรียบเทียบการทำงานระหว่าง “บิ๊กป้อม-บิ๊กตู่” ในช่วงนี้ ที่ต้องยกให้ “นายกฯ ป้อม” ถือไพ่เหนือกว่า ในฐานะที่อยู่ในตำแหน่งที่อำนาจเอื้อต่อการทำงานมากกว่า โดยเฉพาะในแง่การตีปิ๊บประชาสัมพันธ์การทำงานที่ดูว่า “ทีมลุงป้อม” คล่องแคล่วกว่า

ด้วยหวังปูทางเผื่อ “นายป้อม” ได้เป็นนายกฯ ตัวจริง และเป็นใหญ่ให้นานที่สุด

ว่ากันว่า มองไปไกลถึงขั้น เริ่มเตรียมการวางแผนโหวต “นายกฯ ก๊อกสอง” ของรัฐสภาแล้ว ด้วยหาก “พล.อ.ประยุทธ์” ตกเก้าอี้ขึ้นมาจริง ต้องผ่านกระบวนการเลือกนายกฯ ก๊อกแรกจากแคนดิเดตที่เสนอกันไว้เมื่อเลือกตั้งปี 2562

เป็นด่านแรกที่ต้องใช้เสียงกึ่งหนึ่งของ 2 สภา โดยมีวุฒิสภา 250 เสียงเป็นตัวแปรที่สำคัญ ถ้า ส.ว.เสียงส่วนใหญ่ที่ว่ากันว่า “ลุงป้อม” กดปุ่มได้ ไม่เอาด้วยกับนายกฯในตะกร้า ยกมือโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถึงคิวที่ต้องแสนอชื่อ “นายกฯ คนนอก”

ซึ่งเชื่อกันว่า หากถึงขั้นนั้นจริง ก็คงมีการเสนอชื่อ “พล.อ.ประวิตร” อย่างแน่นอน

ใครที่มองว่า “ลุงป้อม” คงขอแค่รักษาการนายกฯ เป็น “มวยแทน” น้องรัก กระชุ่มกระชวยหัวใจชีวิตบั้นปลายเท่านั้น คงต้องดูกันใหม่ เพราะจะเห็นว่า “บิ๊กป้อม” ไม่ได้มาเล่นๆ ยิ่งทำยิ่งเมามือ แถมราศีเปล่งปลั่ง บดบังรัศมี “น้องตู่” ที่เคยเด่นแบบวันแมนโชว์จนดูหมองไปพอสมควร

ว่ากันว่า อนาคตยากจะคาดเดา ตอนนี้ “พล.อ.ประวิตร” ก็ทำได้แค่แต่งตัว-เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อโอกาสมาถึงเท่านั้น

ส่วน “ลุงป้อม” จะถึงฝั่งฝันได้ “ครุฑตัวที่ 2” อย่างที่ฝันไว้หรือไหม่ ก็อยู่ที่บุญพาวาสนาส่ง.


กำลังโหลดความคิดเห็น