คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
“ผมยิ่งเรียนรัฐศาสตร์ ยิ่งสอน ยิ่งไปสัมมนาทั่วโลก ก็ยิ่งลดศรัทธา
ในวิชาที่ผมเรียนมา เคยคิดว่าหากโลกนี้ขาดวิศวกรและแพทย์
เราคงแย่ แต่ถ้ามนุษย์ต่างดาวมากวาดต้อนนักการเมืองและนักรัฐศาสตร์
ตลอดจนนักกฎหมายมหาชนไปให้หมดโลก โลกก็คงจะอยู่ได้และอาจจะอยู่ดีด้วย”
ศาสตราจารย์ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวนิช
การลดศรัทธาต่อวิชารัฐศาสตร์ของอาจารยชัยอนันต์อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่นักกฎหมายมหาชนที่ทำตัวเป็น “เนติบริกร” และนักรัฐศาสตร์ที่ทำหน้าที่เป็น ”รัฐศาสตร์บริการ” คำว่า “เนติบริกร" นี้ ขนาดพจนานุกรมของ Sanook ยังบรรจุไว้ โดยมีผู้ที่ใช้นามว่า poc_ket33 ได้ให้ความหมายไว้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ว่า เนติบริกรหมายถึง “บุคคลองค์กรหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งซึ่งสามารถเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองได้ โดยมีหน้าที่ให้บริการทางกฎหมายแก่บุคคลผู้มีอำนาจ อาชีพเนติบริกรนี้เป็นอาชีพที่เปิดสำหรับนักกฎหมาย ที่ไม่สนใจเรื่องของผิดชอบ ชั่วดี หรือจริยธรรมใดๆ ขอเพียงได้ใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อบรรลุเป้าหมาย หรือผลประโยชน์ของตน” ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วยกับการให้ความหมายดังกล่าว
ส่วนคำว่า “รัฐศาสตร์บริการ” น่าจะเป็นคำใหม่ ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นใช้กันที่ไหน เพราะผู้เขียนคิดมันขึ้นมาเอง โดยมีความหมายไม่ต่างจาก “เนติบริกร”
สาระสำคัญของการเป็น “เนติบริกรและรัฐศาสตร์บริการ” อยู่ที่การใช้ความรู้เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายหรือผลประโยชน์ของตน โดยไม่สนใจเรื่องผิดชอบ ชั่วดีหรือจริยธรรมใดๆ” ในขณะที่เป้าหมายขององค์ความรู้รัฐศาสตร์คลาสสิก (ซึ่งจะขอรวมองค์ความรู้ทางกฎหมายไปด้วย เพราะในสมัยกรีกโบราณ ยังไม่ได้แยกรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์ออกจากกัน) ไม่ได้อยู่ที่เป้าหมายหรือผลประโยชน์ของตัวเอง ดังที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้วในส่วนของเพลโต และองค์ความรู้รัฐศาสตร์คลาสสิกไม่แยกรัฐศาสตร์ออกจากจริยศาสตร์ ดังที่ได้กล่าวไปในสองตอนที่แล้วในส่วนของอริสโตเติล ดังนั้น การเมืองภายใต้องค์ความรู้รัฐศาสตร์คลาสสิกจึงแยกไม่ออกจากจริยธรรม หรือความผิดชอบชั่วดี
รัฐศาสตร์ภายใต้องค์ความรู้รัฐศาสตร์คลาสสิกไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือให้ผู้ใช้ความรู้นั้นบรรลุซึ่งผลประโยชน์ของตัวเอง หรือผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ ในทำนองเดียวกับที่ความรู้ทางการแพทย์ไม่ได้มีไว้ให้เพื่อบรรลุผลประโยชน์ส่วนตัวของแพทย์หรือเจ้าของโรงพยาบาล แต่มีไว้เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยหรือผู้มารับการรักษา และถ้าหมอหรือเจ้าของโรงพยาบาลเข้าใจตรงกันว่าเป้าหมายของการใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์นั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนไข้ เป้าหมายหรือผลประโยชน์ของหมอและเจ้าของโรงพยาบาลก็จะสอดคล้องกันกับเป้าหมายและประโยชน์ขององค์ความรู้ทางการแพทย์
สำหรับหมอ เจ้าของโรงพยาบาลก็ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจ และหากหมอใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์หรือเทคนิคต่างๆ ในองค์ความรู้ทางการแพทย์ไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าของโรงพยาบาลโดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายที่แท้จริงขององค์ความรู้ทางการแพทย์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้รับการรักษาพยาบาล หมอแบบนั้นก็เข้าข่ายเป็น “หมอบริกร” ไม่ต่างจาก “เนติบริกร” แต่หมอที่ยึดมั่นในเป้าหมายที่แท้จริงขององค์ความรู้ทางการแพทย์มักจะมีปัญหากับเจ้าของโรงพยาบาลที่เป็นผู้มีอำนาจและต้องการเปิดโรงพยาบาลเพื่อเป้าหมายเพียงกำไรและความร่ำรวยเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึง “เรื่องของผิดชอบ ชั่วดี หรือจริยธรรมใดๆ ขอเพียงได้ใช้เทคนิคทางการแพทย์เพื่อบรรลุเป้าหมาย หรือผลประโยชน์ของตน/เจ้าของโรงพยาบาล” ** ด้วยเหตุนี้ หมอหลายคนจึงต้องออกจากงานไป ในขณะที่หมออีกหลายคนได้ดิบได้ดีในโรงพยาบาลนั้นต่อไป
หมอ นักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ที่ไม่ได้ยึดมั่นในเป้าหมายที่แท้จริงขององค์ความรู้ของตน คือ ผู้ที่ลดทอนองค์ความรู้ของตนให้กลายเป็นเพียงความรู้ที่เป็นเครื่องมือ หรือที่รัฐศาสตร์คลาสสิกเรียกว่า ความรู้ในเชิงเทคนิค (technique, technic) ที่ไว้เพื่อใช้บรรลุเป้าหมายอะไรก็แล้วแต่จะคนจะปรารถนา
ความหมายพื้นฐานของคำว่า เทคนิค (technic) ที่เข้าใจกันในปัจจุบันหมายถึง ศิลปะ กลวิธี วิธีการหรือทักษะความเชี่ยวชาญในการทำอะไรอย่างหนึ่งอย่างใด คำว่า technic มาจากคำว่า techne ที่เป็นรากศัพท์ต้นทางของคำว่า เทคนิค แม้ว่า techne ในรัฐศาสตร์คลาสสิก จะมีนัยความหมายไม่ต่างจากเทคนิคในปัจจุบัน นั่นคือ ศิลปะ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ (art or craft) แต่กระนั้น ก็มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญอย่างยิ่งยวดด้วย เพราะรัฐศาสตร์คลาสสิกเห็นว่า ลำพัง techne ในตัวของมันเอง ในฐานะที่เป็นกลวิธี วิธีการ ศิลปะหรือทักษะความเชี่ยวชาญนั้น จะมี่นัยยะในด้านลบมากกว่าด้านบวกหรือมีคุณค่าน้อยลงไปอย่างยิ่ง หาก techne มิได้มีไว้เพื่อเป้าหมายอะไรอื่น นอกจากตัวมันเอง (techne as an end in itself)
เช่น ผู้มีศิลปะและทักษะความเชี่ยวชาญในการพูดเอาชนะคนอื่น (วาทศิลป์) ก็สักแต่ใช้ศิลปะความเชี่ยวชาญที่ตนมีร่ำไป โดยไม่รู้หรือขาดความรู้ว่า จะชนะไปเพื่ออะไร และไม่รู้หรือขาดความรู้ว่า เมื่อใดควรจะใช้หรือไม่ใช้มัน เมื่อใดควรชนะและเมื่อใดไม่ควรชนะหรือยอมแพ้โดยตั้งใจ !
แต่ techne จะมีความสำคัญและมีนัยในด้านดีก็ต่อเมื่อมันถูกประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติโดยมุ่งหมายสู่ “เป้าหมายที่ดี” และ techne จะมีคุณค่าความหมายยิ่ง หากเป้าหมายนั้นเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด เช่น รู้ว่าควรใช้ยุทธศาสตร์การรบในการเอาชนะศึกสงครามเพื่อเป้าหมายอะไร ไม่ใช่ตะบี้ตะบันใช้ความรู้ยุทธศาสตร์การรบเพื่อเอาชนะข้าศึกอยู่เสมอ
ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพหรือขุนศึกจึงต้องอยู่ภายใต้การบัญชาการของผู้ปกครองหรือผู้นำประเทศที่จะต้องคำนึง “เป้าหมายที่ดี” ที่อยู่ “สูงกว่า” เป้าหมายของความรู้ในยุทธศาสตร์การรบที่มีเป้าหมายเพียงชนะศึกสงครามเท่านั้น ซึ่งเป้าหมายที่ดีหรือเป้าหมายที่สูงกว่านี้จะอยู่ในเป้าหมายขององค์ความรู้รัฐศาสตร์ โดยเฉพาะรัฐศาสตร์คลาสสิก
และหากเมื่อใดที่แม่ทัพหรือขุนศึกเริ่มไตร่ตรองการใช้ยุทธศาสตร์การรบว่า ควรใช้หรือไม่ควรใช้ไปเพื่อเป้าหมายที่ดีกว่าสูงกว่าเพียงการเอาชนะข้าศึก แม่ทัพหรือขุนศึกผู้นั้นก็กำลังใช้องค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์ในการใช้ความรู้ยุทธศาสตร์การรบ และแม่ทัพหรือขุนศึกผู้นั้นก็กำลังกลายเป็นผู้ปกครองหรือผู้นำของประเทศมากกว่าจะเป็นแค่แม่ทัพหรือขุนศึกเท่านั้น
และในทำนองเดียวกัน หากเมื่อใดผู้นำหรือผู้ปกครองคิดแต่จะเอาชนะศึกสงครามเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายที่ดีตามองค์ความรู้รัฐศาสตร์ ผู้นำหรือผู้ปกครองผู้นั้นก็กำลังลดสถานะบทบาทของตนลงมาเป็นเพียงแม่ทัพหรือขุนศึก
นักธุรกิจย่อมใช้องค์ความรู้ทางธุรกิจของเขาไปเพื่อประโยชน์ทางกำไรและความมั่งคั่งของเขา ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ผู้นำหรือผู้ปกครองประเทศจะต้องคอยควบคุมการกระทำทางธุรกิจไม่ให้ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อ “ชีวิตที่ดี” ที่เป็นเป้าหมายสำคัญขององค์ความรู้รัฐศาสตร์
หากผู้นำหรือผู้ปกครองประเทศมุ่งแต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เขาก็กำลังกลายเป็นนักธุรกิจมากกว่าจะเป็นผู้ปกครอง เช่นเดียวกัน หากนักธุรกิจเริ่มเริ่มไตร่ตรองการใช้ความรู้ทางการบริหารธุรกิจว่า ควรใช้หรือไม่ควรใช้ไปเพื่อเป้าหมายที่ดีกว่าสูงกว่าเพียงได้กำไรและความมั่งคั่ง นักธุรกิจผู้นั้นก็กำลังใช้องค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์เป็นกรอบในการใช้ความรู้ทางการบริหารธุรกิจ และนักธุรกิจผู้นั้นก็กำลังกลายเป็นผู้ปกครองหรือผู้นำของประเทศมากกว่าจะเป็นแค่เพียงนักธุรกิจ