ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
กำแพงเมืองจีนที่สร้างในยุคหมิงนับเป็นกำแพงที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ต่างไปจากยุคก่อนหน้า แต่ความแตกต่างนี้ยังคงรักษาเนื้อหาหลักของกำแพงเอาไว้ นั่นคือ เป็นกำแพงที่มีไว้เพื่อป้องกันผู้รุกรานจากภายนอก แต่มีรูปแบบที่ก้าวหน้ามากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การสร้างกำแพงเมืองจีนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในยุคหมิงก็คือ การสร้างโดยขุนศึกชีจี้กวาง (ค.ศ.1528-1588 บางที่ว่ามรณะ ค.ศ.1587) ชีจี้กวางเกิดที่เมืองเติงโจวในมณฑลซันตง ตรงกับสมัยจักรพรรดิเจียจิ้ง (ค.ศ.1507-1567) ถือเป็นขุนศึกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของประวัติศาสตร์จีน
ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ชีจี้กวางก็คือ การปราบปรามโจรสลัดญี่ปุ่น โจรสลัดญี่ปุ่นเป็นกลุ่มโจรที่มีกองกำลังขนาดใหญ่ และคอยปล้นสะดมเรือที่แล่นผ่านไปมาในทะเลด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ตอนที่ชีจี้กวางตระเตรียมกำลังเพื่อปราบโจรสลัดอยู่นั้น ได้มีชาวนาราว 3,000 คนมาสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพของชีจี้กวางด้วย
ชาวนาเหล่านี้ได้รับความเดือดร้อนจากโจรสลัดด้วยเช่นกัน เพราะบางครั้งโจรเหล่านี้ยกกำลังขึ้นบกเพื่อหาเสบียงกรังด้วยการปล้นเอาจากชาวนา เมื่อตั้งใจเป็นทหารแล้ว ชาวนาอาสาสมัครนับพันคนจึงได้รับการศึกษาวิชาทหารและทักษะการสู้รบโดยชีจี้กวาง
ความร่วมมือระหว่างทัพหมิงกับชาวนาอาสาสมัครดังกล่าว ทำให้จีนสามารถบดขยี้โจรสลัดญี่ปุ่นจนหมอบราบคาบแก้ว แต่นั้นมาทัพหมิงที่นำโดยชีจี้กวางก็เป็นทัพที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขานรู้จักกัน เป็นชื่อเสียงที่ไม่เพียงจะอยู่ในความทรงจำของชาวจีนเท่านั้น หากญี่ปุ่นก็มีความทรงจำนี้เช่นกัน
ควรกล่าวด้วยว่า จากเหตุที่ชีจี้กวางเป็นขุนศึกที่มีชื่อเสียงดังกล่าว ทำให้จีนในยุคปัจจุบันได้นำเอาเรื่องราวของเขาที่นำทัพสู้กับโจรสลัดญี่ปุ่นมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งมีทั้งหนังที่สร้างโดยไต้หวัน ฮ่องกง และจีนแผ่นดินใหญ่ ทั้งนี้ยังไม่รวมซีรีส์ที่เป็นละครโทรทัศน์
โดยหนังเรื่องล่าสุดที่บอกเล่าเรื่องราวที่เขาปราบโจรสลัดถูกสร้างใน ค.ศ.2017 หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า ตั้งโค่วเฟิงอวิ๋น (荡寇风云, God of War, สมรภูมิประจัญบาน) ซึ่งแปลพอให้ได้ความว่า เหตุการณ์กวาดล้างโจร (สลัด) หนังเรื่องนี้มีเจ้าเหวินจว๋อแสดงเป็นชีจี้กวาง และยาสุเอคิ คุระตะ (Yasuaki Kurata) แสดงเป็นผู้บัญชาการคุมาซะวะ (Commander Kumasawa) หัวหน้าโจรสลัดญี่ปุ่น หนังเรื่องนี้มีฉากการสู้รบระหว่างกองกำลังโจรสลัดกับทัพชีจี้กวางที่ชวนตื่นเต้น และทำให้เข้าใจเหตุการณ์จริงในเวลานั้นได้พอประมาณ
ส่วนในเรื่องที่เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนนั้น เกิดขึ้นหลังจากเสร็จศึกกับโจรสลัดไปแล้ว โดยในช่วงทศวรรษ 1550 จีนได้ถูกรุกรานจากชนชาติที่มิใช่จีน (โดยเฉพาะมองโกล) อยู่บ่อยครั้ง จักรพรรดิเจียจิ้งจึงทรงให้สร้างกำแพงเมืองจีนเพื่อป้องกันการรุกรานขึ้นอีก
การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนสิ้นยุคเจียจิ้ง จักรพรรดิหลงชิ่งซึ่งขึ้นครองราชย์สืบต่อก็ยังให้สร้างต่อไป
การสร้างกำแพงเมืองจีนในยุคหลงชิ่งนี้ ชีจี้กวางมีบทบาทในการก่อสร้างร่วมกับขุนศึกคนอื่นอีกจำนวนหนึ่ง กำแพงในยุคนี้ถูกสร้างขึ้นทางตอนใต้จากกำแพงเดิม โดยมีเมืองจี้โจวเป็นส่วนหนึ่งของเก้าฐานที่มั่นทางยุทธศาสตร์ระดับสูงในขณะนั้น ส่วนพื้นที่ในความรับผิดชอบของชีจี้กวางก็คือ พื้นที่ที่ต่อมาก็คือด่านจีว์ยง (จีว์ยงกวาน) ถึงด่านซันไห่ (ซันไห่กวาน) และใช้เวลาในการก่อสร้าง 15 ปีจนกลายเป็นระบบการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
การสร้างกำแพงตรงอาณาบริเวณดังกล่าวของชีจี้กวางมิใช่เรื่องง่าย ด้วยเป็นการสร้างที่ต้องเริ่มด้วยการหักร้างถางพงและบุกเบิกพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่า อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาและสายน้ำ แต่ก็เพราะเป็นพื้นที่ที่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ สิ่งที่ชีจี้กวางได้สัมผัสระหว่างควบคุมการก่อสร้างจึงคือ การได้เห็นปลาแหวกว่ายในสายธารและเสียงนกขับขานในนภากาศ จนทำให้เขาแต่งกวีขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม งานหลักในการก่อสร้างกำแพงของชีจี้กวางยังคงเป็นการให้การอบรมแก่ทหารที่สร้างกำแพง และหอสังเกตการณ์ตามจุดต่างๆ แต่พอเวลาผ่านไปชีจี้กวางก็พบว่า แรงงานทหารเหล่านี้ไร้ระเบียบจนยากที่จะควบคุม เขาจึงคัดเลือกทหารที่มีวินัยจากทางใต้มา 3,000 นายเพื่อเป็นต้นแบบให้ทหารที่ไร้วินัย
ทหารทั้ง 3,000 นายเหล่านี้ถูกทดสอบด้วยการให้ยืนตากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เพื่อให้ทหารที่มาจากทางเหนือดูเป็นตัวอย่างของความอดทนและมีวินัย และหากขาดวินัยก็จะถูกลงโทษอย่างไร
การทำเช่นนั้นในด้านหนึ่งคือการฝึกความอดทน อีกด้านหนึ่งคือการลงโทษ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการฝึกทหารให้มีระเบียบวินัยและความแข็งแกร่งทั้งกายและใจ เพราะสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่มีการสร้างกำแพงนี้มิใช่สภาพปกติที่มนุษย์พึงประสบ เพราะเป็นสภาพที่อยู่ท่ามกลางภูมิอากาศที่เย็นยะเยือกในหน้าหนาวและร้อนระอุในหน้าร้อน
ไม่เพียงเท่านั้น ระหว่างที่ทำการก่อสร้างอยู่นั้น ชีจี้กวางยังพบอีกว่า มีหลายแห่งของกำแพงเดิมที่สร้างมานานได้เกิดชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา กำแพงเหล่านี้จึงเปราะบางต่อการที่ข้าศึกจะตีทะลวงเข้ามาได้ง่าย ชีจี้กวางจึงถวายรายงานจักรพรรดิว่า กำแพงในฐานที่มั่นจี้ (จี้เจิ้น) ที่ทอดยาวราว 2,000 ลี้ มีจุดเปราะบางที่สามารถทำให้ข้าศึกตีทะลวงได้ จึงขอราชานุญาตให้สร้างป้อมเพื่อบัญชาการการศึกและเฝ้าระวังศัตรู ซึ่งเขาก็ได้รับราชานุญาต
ในอดีตป้อมปราการดังกล่าวมีขนาดเล็กและตั้งตระหง่านกับแนวกำแพงนั้น เป็นป้อมที่สร้างด้วยอิฐและหิน ป้อมในลักษณะนี้ทำให้ทหารไม่สามารถเข้าให้การช่วยเหลือทหารอีกกลุ่มได้ หากทหารกลุ่มนั้นตกอยู่ในอันตราย การสร้างหอสังเกตการณ์และสนามเพลาะจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
จากเหตุดังกล่าว หอสังเกตการณ์จึงถูกสร้างขึ้นทุก 100 ก้าว และทุก 30 ถึง 50 ก้าวในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ โดยหอสังเกตการณ์นี้จะถูกสร้างให้เป็นที่พักอาศัยและที่หลบภัยพร้อมกันไปด้วย กล่าวโดยรวมแล้ว หอสังเกตการณ์ที่สร้างโดยชีจี้กวางจะมีความสูงราว 16.65 เมตร กว้างราว 40 เมตร และราว 55 ถึง 60 เมตรในบางแห่ง
จนเมื่อสร้างแล้วเสร็จ หอเหล่านี้ก็สามารถให้ความช่วยเหลือจากภายในได้ ด้วยเป็นหอที่ถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น และให้การรองรับบุคคลได้ราว 50 ถึง 100 คน โดยภายในหอจะมีเสบียงกรังและอาวุธอยู่พร้อมสรรพ แต่ละหอมีความสูงพอที่จะมองออกไปด้านนอกของกำแพงได้อย่างทั่วถึง ในบันทึกระบุเอาไว้ว่า “จากการตั้งประจันหน้าระหว่างกัน ทำให้ทหารจากหอหนึ่งสามารถให้ความช่วยเหลือทหารในอีกหอหนึ่งได้” เมื่อภัยมา
นอกจากนี้ แต่ละหอก็ยังมีช่องหน้าต่างสำหรับการยิงตอบโต้ศัตรูอีกด้วย ที่ว่ายิงนี้หมายถึงยิงธนูหรือปืนใหญ่สุดแท้แต่ความเป็นจริง ช่องหน้าต่างนี้จะมีอยู่ทั้งสี่ด้านของหอรูปทรงสี่เหลี่ยม ช่องหน้าต่างเหล่านี้จะถูกปกป้องด้วยบานหน้าต่างที่อยู่ด้านบน บานหน้าต่างนี้ทำด้วยไม้สามารถเคลื่อนไหวเปิดปิดได้
กำแพงเมืองจีนที่ควบคุมการก่อสร้างโดยชีจี้กวางเมื่อสร้างแล้วเสร็จ ก็กลายเป็นกำแพงที่มีความแข็งแกร่งคงทน สามารถต้านทานการรุกรานของศัตรูภายใต้ภูมิประเทศที่ได้เปรียบ ป้อมปราการหรือหอสังเกตการณ์ผุดขึ้นจำนวนมากบนส่วนโค้งของขุนเขา เป็นป้อมหรือหอที่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่ความต่างนี้ก็มีความกลมกลืนกันอยู่ในตัว
ป้อมหรือหอที่ตั้งบนส่วนโค้งของขุนเขาเหล่านี้มีหน้าที่ที่หลากหลายตั้งแต่ระบบป้องกัน การเฝ้ามองสู่ภายนอก การสนับสนุนระหว่างกัน และเก็บรักษายุทโธปกรณ์หรือเสบียง