ในอาทิตย์ที่ผ่านมา มีผู้นำทางการเมือง 2-3 คนที่ออกมาตะโกนเรียกร้องจากสังคมว่า ตนเองถูกการเมืองรังแก ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม โดยฝ่ายที่มีอำนาจครองเมืองอยู่พยายามเล่นงานตน เพื่อทำให้ตนเสียหายด้านความน่าเชื่อถือ เสียหายด้านความนิยมจากประชาชน อีกนัยหนึ่งเป็นการทำลายตนทางการเมืองนั่นเอง
คนแรกก็คือ ปธน.คนที่ 45 ของสหรัฐฯ ก็คือ มหาเศรษฐี (ที่กิจการไม่เคยสร้างกำไรพอที่จะจ่ายภาษีให้แก่รัฐแม้สักเล็กน้อย!!)
เขากำลังโพนทะนาเรียกร้องให้สาวกของเขา (ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในชนบทของสหรัฐฯ) มาออกแรงต่อต้านรัฐบาลไบเดน โดยเฉพาะคือเหล่าตำรวจเอฟบีไอของกระทรวงยุติธรรม ที่ได้บุกเข้าไปยังสถานตากอากาศปิดมาร์-อาลาโก อันเป็นคฤหาสน์โอ่อ่าของทรัมป์ที่ฟลอริดา เพื่อยึดเอกสารมากถึง 15 กล่องที่หน่วยงานตำรวจสอบสวนกลางได้รับอนุมัติจากผู้พิพากษาให้มีหมายค้น ไปตามเอกสารลับมากมายที่ทรัมป์ (แอบ) ขนออกมาจากทำเนียบขาวในช่วงที่เขาหมดวาระการบริหารลงไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
กฎหมายว่าด้วยเอกสาร (รวมทั้งการพูดโทรศัพท์หรือวิดีโอคอนเฟอเรนซ์) ทุกๆ อย่างที่ปธน.ติดต่อกับข้างนอกทำเนียบขาวจะตกเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งกฎหมายนี้ได้เริ่มใช้ภายหลังจากเหตุการณ์คดีวอเตอร์เกตอันลือลั่น ที่อดีตปธน.นิกสันได้ (แอบ) ลบเทปการสนทนาที่ทำเนียบขาวขณะนิกสันได้ (ร่วมวางแผนหรือรับรู้ถึงการแอบเข้าไปทำจารกรรมสำนักงานของพรรคเดโมแครต เพื่อทราบแผนการลับในการหาเสียงของพวกเดโมแครต)
ทั้งเอกสารทางการรวมทั้งบันทึกภาพสนทนาเหล่านี้ จะเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเอกสารลับที่จะมีกำหนดเวลาที่จะพ้นชั้นความลับ และสามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้
ปรากฏว่า จากต้นขั้ว Logbook ของทำเนียบขาวสำหรับเอกสารต่างๆ ของปธน.ทรัมป์ หลังจากที่ทรัมป์อพยพออกจากทำเนียบขาวแล้ว เอกสารจำนวนมากไม่ได้ส่
งมาเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุ และทางหอจดหมายเหตุได้แจ้งให้หน่วยงานกระทรวงยุติธรรมได้ทราบ มีตัวอย่างเช่น จดหมาย (ลับ) ที่อดีตปธน.โอบามาได้เขียนไว้ด้วยลายมือในวันสุดท้ายขณะดำรงตำแหน่ง (อันเป็นธรรมเนียมที่ปธน.คนที่กำลังจะจากไป จะสั่งเสียฝากฝังชาติบ้านเมืองไว้ให้แก่ปธน.คนใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหาร) และใส่ซองเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของปธน.ในห้องรูปไข่ จ่าหน้าซองถึงปธน.ทรัมป์...จดหมายฉบับนี้ ทางทรัมป์ก็ไม่ได้มอบให้แก่หอจดหมายเหตุ เป็นต้น
หลังเวลาผ่านไป 1 ปีจากการเปลี่ยนปธน. หอจดหมายเหตุได้ทำ List ของเอกสารที่หายไปตาม Logbook ที่ได้เคยบันทึกไว้
เมื่อต้นปีนี้ ทางกระทรวงยุติธรรมได้ทำ List นี้ส่งไปให้กับปธน.ทรัมป์ และได้มีการประสานกับทีมกฎหมายของทรัมป์ช่วงพฤษภาคมนี้เอง ซึ่งได้มีการนำส่งเอกสารที่หายไปเป็นจำนวนถึง 10 กว่ากล่องไปให้แล้วรอบหนึ่ง
แต่ทางหอจดหมายเหตุก็ยังยืนยันว่า เอกสารจำนวนมาก (โดยเฉพาะที่เป็นเอกสาร/ลับสุดยอด) ก็ยังไม่มีการส่งคืน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิวเคลียร์อันเป็นประเด็นสำคัญในช่วงการบริหารของทรัมป์ ทั้งต่อเกาหลีเหนือ และอิหร่าน (เพราะทรัมป์เคยหารือกับอดีตรมต.กลาโหม พลเอกเจมส์ แมตทิส จะให้กองทัพของสหรัฐฯ ไปถล่มอิหร่านเพื่อแก้แค้นที่อิหร่านยิงโดรนสอดแนมของสหรัฐฯ ตก แต่แมตทิสห้ามไว้ เพราะโดรนที่ถูกยิงตกไม่ได้ทำลายชีวิตทหารสหรัฐฯ แต่อย่างใด)
นี่เป็นที่มาที่หน่วยเอฟบีไอต้องบุกไปคฤหาสน์มาร์-อาลาโกเพื่อเข้ายึดกล่องเอกสารถึง 12 กล่องในเที่ยวหลังนี้
ซึ่งทรัมป์ก็ได้ฉกฉวยโอกาสนี้ พลิกการ “ตั้งรับ” (ทางการเมือง) ให้เป็น “รุก” จนได้ โดยทำการฟ้องร้องเอฟบีไอและกระทรวงยุติธรรมว่า ทำเกินกว่าเหตุ เพราะไม่เคยมีการบุกบ้านพักของอดีตปธน.คนใดๆ ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ...เขานำภาพการบุกเข้าค้นเอกสารของทีมเอฟบีไอเผยแพร่ใน Truth Social แพลตฟอร์มของเขา เพื่อยุยงปลุกปั่นด้วยคำพูดที่ทำให้สาวกของเขาบ้าคลั่งว่า ทรัมป์ถูกทำร้ายทางการเมือง มีสาวกหลายคนไปเดินขบวนประท้วงที่หน้าสำนักงานเอฟบีไอ และทรัมป์ได้เปิดข้อมูลบ้านเลขที่พำนักของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่บุกเข้าไปค้นเอกสาร เพื่อให้สาวกไปทำร้ายเอฟบีไอเหล่านั้น รวมทั้งบ้านเลขที่ของผู้พิพากษาที่ลงนามอนุมัติหมายค้นด้วย
เดิมพันครั้งนี้ก็คือ ทรัมป์พลิกสถานการณ์ที่ตนเองถูกเปิดโปงถึงการแอบขโมยเอกสาร (ลับ) ของทำเนียบขาวในช่วงที่ตนอาจทำมิดีมิร้ายเอาไว้ กลับมาเป็น “รุก” ว่า แผนการบุกบ้านของเขาเป็นแผนของไบเดน (ซึ่งไบเดนบอกว่าไม่ได้สั่งการ หรือไม่ได้รู้เรื่องเลย แต่เป็นเรื่องที่หอจดหมายเหตุแจ้งกับกระทรวงยุติธรรมโดยตรง)
ยิ่งเวลาใกล้เลือกตั้งกลางเทอมจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ที่ทรัมป์กำลังสนับสนุนผู้สมัครที่เป็นสาวกในมุ้งของทรัมป์ให้ชนะในการแข่งขันไพรมารีเป็นตัวแทนไปสู้กับเดโมแครต
อีกคนก็คือ อดีตนายกฯ ของมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ที่เพิ่งถูกศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ว่ามีความผิดถึง 7 กระทงในการฟอกเงิน, ลุแก่อำนาจ, ฉ้อโกง, ทำเอกสารปลอม ฯลฯ ในการยักยอกเอาเงินจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ที่เขาร่วมก่อตั้งชื่อ กองทุนการพัฒนา IMDB
กองทุนนี้ใช้เงินภาษีคนมาเลเซียมาจัดตั้งเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ แล้วนำกำไรมาพัฒนามาลาเซียแต่กลับขาดทุน จนกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้เข้าสอบสวน (เพราะไปจดทะเบียนทำการระดมทุนที่สหรัฐฯ) จนพบหลักฐานชัดถึงนายกฯ นาจิบ ยักยอกเงินมาใช้ส่วนตัว ให้ภรรยาซื้อสินค้าแบรนด์เนมจำนวนมหาศาล รวมทั้งลูกเลี้ยง (ลูกติดภรรยา) ที่ยักยอกเอาเงินจากกองทุนไปใช้จ่ายฟุ้มเฟือย...สร้างหนังฮอลลีวูด...และเพื่อนของลูกเลี้ยงที่ชื่อ โจ โลว์ เป็นมันสมองกับการผ่องถ่ายเงินนี้ (โจ โลว์ ยังหายตัวอยู่ขณะนี้)
นาจิบถูกพิพากษาจำคุก 12 ปีในความผิดนี้ และก่อนเข้าคุกเขาได้พูดกับเหล่าประชาชนผู้สนับสนุนเขาว่า เขาเป็นเหยื่อของการรังแกทางการเมือง โดยเขาถูกใส่ร้ายและสร้างหลักฐานปลอมต่างๆ
เช่นเดียวกับอดีตผู้นำไทย 2 คนที่ดูไบ ที่พูดแบบแผ่นเสียงตกร่องว่า ถูกรังแกทางการเมือง
รวมทั้งตระกูลปธน.ราชปักษาก็เช่นกัน