xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อริยสัจ 4 ของ “ลุงตู่” “ทุกข์หนัก” เพราะอยากเป็น “นายกฯ” อีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คำพูด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลายเป็นประเด็นดรามาถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง หลังบ่นพรึมในระหว่างการให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เรื่องกระแสโจมตีรัฐบาลกรณีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2565 จาก 4 บาทต่อหน่วย เป็น 4.72 บาทต่อหน่วย เนื่องจากหลายปัจจัยรุมเร้า จนทำให้ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) พุ่งสูงขึ้น

“นายกฯ ตู่” ก็พยายามอธิบายว่า การพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้านั้นเป็นอำนาจของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ผ่านคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีการพิจารณาการขึ้นตามวงรอบทุก 4 เดือน ส่วนรัฐบาลก็ได้เน้นย้ำว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด

ทว่าท่อนที่กลายเป็นดราม่าขึ้นมา ก็ช่วงที่ “บิ๊กตู่” ระบุว่า “ทุกคนต้องเข้าใจ ไม่ใช่นำไปพาดหัวข่าวขึ้นเป็น 5 บาทแล้ว หรือ 4 บาทแล้ว แต่ขึ้นเป็นสตางค์เข้าใจไหม อย่าไปเขียนอย่างนี้ให้คนเขาเข้าใจผิด แต่ผมก็โอเค มันขึ้นก็ต้องขึ้น แต่ขึ้นจากอะไรต้องไปดูสาเหตุแห่งปัญหา ไปศึกษาธรรมะเสียบ้าง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เรียนเสียบ้าง ทุกข์เกิดจากอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร ดูวิธีการแก้ปัญหาโน้น”

ทำเอาใครที่ได้ดูได้ฟังคำสัมภาษณ์ของท่านผู้นำ ต่างร้องอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า “อิหยังวะ!!”
พร้อมพลิกตำราพุทธศาสนากันแทบไม่ทัน เพื่อหาความหมายของ “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ที่จัดอยู่ในหลักธรรม “อริยสัจ 4” ที่ถูกระบุว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงตรัสรู้เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหลักธรรมนี้ ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ในตอนเช้ามืดของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ในสมัยพุทธกาลก่อนพุทธศักราช 45 ปี ที่กลายมาเป็นวันวิสาขบูชาในปัจจุบัน
หลักคำสอนอริยสัจ 4 ซึ่งแปลว่า ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ และถูกยกให้เป็น “หัวใจของพระพุทธศาสนา” นั้น ประกอบด้วย “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ซึ่งมีความหมายอย่างกว้าง คือ 1. ทุกข์ คือความจริงที่ว่าด้วยความทุกข์ 2. สมุทัย คือความจริงที่ว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ 3. นิโรธ คือความจริงที่ว่าด้วยความดับทุกข์ และ 4. มรรค คือความจริงที่ว่าด้วยทางแห่งความดับทุกข์

เมื่อได้ย้อนไปศึกษา “แก่น” ของอริยสัจ 4 แล้ว ก็ไม่พ้นต้องร้อง “อิหยังวะ!!” อีกรอบ ด้วยความไม่เข้าใจว่า เหตุใด “บิ๊กตู่” ถึงยกมาใช้ในการชี้แจงเรื่องการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า

เรื่องนี้ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พระนักเทศน์ชื่อดัง ก็ให้ความเห็นไว้ว่า “เพิ่งได้ยินนายกฯพูด แสดงว่ากำลังจะรู้ทุกข์เห็นทุกข์ ค่าไฟขึ้นมันจะเกี่ยวกับอริยสัจ 4 ได้ยังไง เหตุที่เราเป็นทุกข์ เพราะไม่อยากให้ค่าไฟขึ้นแพง บางคนมีความพร้อมก็ไม่ทุกข์ บางคนก็ทุกข์ ทุกคนมีเหตุผลในการดำเนินชีวิตอยู่ ยุคข้าวยากหมากแพงหลายยุคหลายสมัยก็ผ่านมา ไฟฟ้าแพง ประปาแพง มันเป็นของจำเป็นในชีวิต”

อย่างไรก็ดี หากพยายามทำความเข้าใจแบบ “น้ำขุ่นๆ” ก็พอฟังได้ว่า “นายกฯตู่” พยายามชี้ให้เห็นว่า การขึ้นค่าไฟฟ้านั้นมี “สาเหตุ” ที่มาที่ไป และหากประชาชนเข้าใจก็จะไม่ทุกข์ไปเอง

แก้ตัวแทนอย่างไรก็คงฟังไม่ขึ้น “บิ๊กตู่” จึงไม่พ้นถูกตีแสกหน้า ทั้งฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้น ที่เรียงหน้าออกมาถล่มกันมันปาก ถึงความไม่เข้าใจในหลักธรรม หรือหลายเรื่องที่ขาดความรู้ความเข้าใจ แต่ก็พยายามพูดออกมาแบบผิดๆ

ซ้ำรอยกรณี “อวดภูมิ” ที่พูดถึงเรื่องสมองมนุษย์ว่า มีอยู่ 84,000 เซลล์ ที่กลายเป็นตำนานถูกหยิบมาล้อเลียนจนถึงปัจจุบัน แม้พยายามแก้ต่างในหลายวาระว่า พูดตัวเลขคลาดเคลื่อนไป ล่าสุดในการชี้แจงวาระการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านไป ก็ย้ำอีกครั้งว่า ตอนนั้นพูดเร็วไปนิด ความจริงจะต้องพูดว่า 840,000 ล้านเซลล์

ซึ่งไม่ว่า 84,000 เซลล์หรือ 840,000 ล้านเซลล์ ก็ยังไม่ใกล้เคียงความจริง เพราะตัวเลขจากงานวิจัยระบุว่า เซลล์สมองมนุษย์มีราว 1 แสนล้านเซลล์

ดรามา “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ไม่เพียงแต่จะเป็นอีกตำนานให้ท่านผู้นำถูกล้อเลียนจนฉุนเฉียวเท่านั้น ยังสะท้อนอาการ “อมทุกข์” ของตัว “ลุงตู่” เองด้วย

เป็นอาการ “อมทุกข์” ในห้วงเวลาที่สถานการณ์การบ้านการเมืองที่มีปัญหารุมเร้า “นายกฯ ตู่” มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ของแพง ค่าแรงถูก น้ำมัน-ค่าไฟฟ้าพาเหรดขึ้นราคา กระทั่งผู้ค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เป็นอาหารคนยาก และตัวชี้วัดดัชนีเศรษฐกิจ ยังออกโรงมากดดันขอขึ้นราคาในยามนี้

กระทั่ง “ท่าไม้ตาย” อย่างโครงการ “คนละครึ่ง” ที่เคยฮือฮาในเฟสแรกๆ และถูกนำกลับมารีรันใหม่จนถึงล่าสุดเฟส 5 ที่เพิ่งเปิดให้ลงทะเบียน ก็ให้ได้เพียง 800 บาทต่อหัว ทั้งก่อนนี้เคยให้ได้ถึง 2,000-3,000 บาทต่อหัว ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ กระทบไปถึงช่วงโค้งสุดท้ายปลายเทอมของรัฐบาล ที่ “นายกฯ ตู่” ควรจะได้กลายร่างเป็น “ซานตาตู่” แจกสะบั้นหั่นแหลก กระชาดคะแนนนิยมกลับมาเพื่อเตรียมตัวลงเลือกตั้งก็ยังทำไม่ได้

ปัญหาที่ประประเดบีบคั้นรัฐบาลรอบด้าน จนไม่มีทีท่าจะแก้ไขได้ในรัฐบาลชุดนี้ ทำไปทำมาดูจะเป็นทุกข์ของคนไทยมากกว่าด้วยซ้ำ

ดังที่ “เฮียโทนี” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทีเหน็บหนมผ่านรายการ CareTalk X CareClubHouse ในหัวข้อ วิเคราะห์พายุการเมืองไทยหลัง 8 ปีประยุทธ์ เมื่อคืนวันที่ 16 สิงหาคม 2565 ช่วงหนึ่งว่า “เรื่องราคาไฟฟ้าขึ้นมา 27% จาก 5 เดือนที่แล้ว วิธีการของนักบริหารไม่ใช่ให้มาท่องคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า เหตุเกิดที่ไหนก็ต้องไปหาเหตุแห่งทุกข์ว่าต้นทุนจริงๆ เท่าไร อย่างไร ลดได้หรือไม่ ขึ้นแค่นี้ได้หรือไม่ เพราะประชาชนลำบากอยู่ ไม่ต้องมานั่งเทศน์ให้ฟัง เพราะทุกข์ใหญ่จริงๆ คือทุกข์ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี”


ไม่เท่านั้นยังมีความทุกข์จากเกมการเมืองของ “รัฐบาลประยุทธ์” ที่แม้จะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งคุมวุฒิสภาอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็เกิดรายการ “ขบเหลี่ยม” ภายใน มีกระแสข่าวเนืองๆ ว่า เกิดรอยร้าวในหมู่ “พี่น้อง 3 ป.” จนอะไรๆ ก็ดูจะไม่เป็นบวกกับฝ่ายรัฐบาลไปหมด

เห็นได้ชัดจากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เกี่ยวกับกติกาเลือกตั้งสูตรการ 100 หรือหาร 500 ในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ “ฝ่ายอำนาจ” กลับไปกลับมา กระทั่งไปเข้าทาง “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ปรารถนาอยากลงสนามด้วยกติกาบัตร 2 ใบ หาร 100 จนตัวสั่น

เกิดเป็นปรากฎการณ์ที่ “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ รวมกันเฉพาะกิจกับพรรคเพื่อไทย เทการประชุมร่วมรัฐสภา จนร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. ที่แก้ไขไว้เป็นสูตรหาร 500 ต้องตกไป ด้วยพ้นระยะเวลา 180 วันในการพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภา ย้อนกลับมายึดร่างเดิมบัตร 2 ใบ หาร 100

ขัดแย้งกับคำที่ว่า “ผู้ชนะเป็นผู้กำหนดเกม” โดยแท้ เพราะเอาจริงๆ แค่กระแสความนิยมของรัฐบาล โดยเฉพาะตัว “ลุงตู่” ที่นับวันจะต่ำเตี้ยจนติดลบไปเรื่อยๆ ไม่ว่ากติกาไหน พรรคเครือข่าย “ลุงๆ” ก็เหนื่อยหนักแน่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แล้วยังไปแก้กติกาให้เข้าทางพรรคเพื่อไทยที่ประกาศแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินอยู่โครมๆอีก ก็ยิ่งลดโอกาสที่ “คณะลุง” จะเข้ามาครองอำนาจอีกสมัย

ถึงวันนี้ทุกข์ใหญ่สุดของ “นายกฯ ตู่” ยามนี้ คงไม่พ้นประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปีตามมาตรา 158 ในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่จะถึงหมุดหมายแรกในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่จะถึงนี้ และมีการยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดไว้แล้ว

ทิศทางการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลรัฐธรรมนูญ มีการพิเคราะห์ไปอย่างน้อย 3 กรอบเวลา คือ 1.เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ซึ่งมีพระบรมราชโอกงการโปรดเกล้าฯให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ดำรงตำแหน่งนายกฯในรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามกรอบเวลานี้ก็จะครบวาระ 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ที่จะถึงนี้

2.นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 วันที่ 6 เมษายน 2560 วาระ 8 ปี ของ “นายกฯ ประยุทธ์” จะสิ้นสุดหลังวันที่ 5 เมษายน 2568 (ไม่นับรวมระยะเวลารักษาการ หรืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อหลังพ้นจากตำแหน่ง) หรืออยู่ได้อีกราว ครึ่งเทอม หรือ 2 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

และ 3.นับจากหลังเลือกตั้ง 2562 ได้รับเลือกจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 กรณีเป็นนายกฯต่อเนื่องวาระ 8 ปี สิ้นสุดในช่วงปี 2570 (ไม่นับรวมระยะเวลารักษาการ หรืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อหลังพ้นจากตำแหน่ง) หรืออยู่ได้อีกราว 1 เทอม 4 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

โดยกรอบเวลาที่ 2 ถูกพูดถึงหนาหู ด้วยเป็นแนวทาง “ประนีประนอม” ที่สุดใน 3 กรอบเวลา “ติ่งลุงตู่-กองเชียร์รัฐบาล” ก็ดูจะเห็ฯพ้องกับแนวทางนี้ ยิ่งไปกว่านั้น “พี่ใหญ่รัฐบาล” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะขึ้นมาแทนที่ในตำแหน่งนายกฯหากเกิดอุบัติเหตุกับ “น้องตู่” ก็เพิ่งหล่นคำพูดออกมาว่า “นายกฯ ยังอยู่ต่ออีก 2 ปี”

ทำให้มองกันว่า แนวโน้มที่หวยจะออกกรอบเวลาที่ 2 ในการที่ “ประยุทธ์” ยังไม่หลุดจากเก้าอี้นายกฯ และลงชิงเก้าอี้นายกฯอีกสมัย เป็นไปได้สูง

ทว่าแม้ “บิ๊กตู่” จะยังไม่ตกเก้าอี้ และได้ไปต่อหลังวันที่ 24 ส.ค.นี้ ก็ใช่ว่าความทุกข์จะหมดไป เพราะจากปัญหาที่รุมเร้า บวกกับความเห็นต่างในประเด็นวาระ 8 ปีก็ทำให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปแจ่มชัดขึ้น

ดังจะเห็นได้จากระแสกดดันให้ “นายกฯ ตู่” พิจารณาตัวเองโดยการลาออกจากตำแหน่งนายกฯก่อนวันที่ 24 สิงหาคม 2565 นั้นไม่ได้มาจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ยังมีกระแสเสียงร้องออกมาจาก “ฝ่ายขวา” กลุ่มอนุรักษ์นิยม ที่เคยเป็นกองสนับสนุน “บิ๊กตู่” ออกมาไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นคณะ 99 ปัญญาชน พลเมือง หรือที่หลายชื่อเคยร่วมเคลื่อนไหวในปีกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งมวลมหาประชาชน กปปส.มาก่อน เข้ากันชื่อเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก ล้อกับเหตุการณ์เมื่อครั้งนักวิชาการในนาม “ฎีกา 99” เข้าชื่อกันกดดันให้ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ลงจากเก้าอี้นายกฯ หลังดำรงตำแหน่งมายาวนาน 8 ปี 5 เดือน ระหว่างปี 2523-2531 เป็นที่มาของวลีอมตะที่ว่า “ผมพอแล้ว”

เช่นเดียวกับกลุ่มคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ 51 คน จาก 15 มหาวิทยาลัย ที่ร่วมกันเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง ‘ข้อกฎหมายในเรื่องการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปีของนายกรัฐมนตรี’ ก็มีความเห็นในทำนองเดียวกันว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะหมดรอบบนเก้าอี้นายกฯในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 นี้

รวมทั้งอีกหลายๆ ความเห็นของ “คนเคยเชียร์” ที่มองว่า “บิ๊กตู่” ไม่ควรเป็นนายกฯต่อไป เพราะได้เป็นมายาวนานถึง 8 ปี แต่สถานการณ์ด้านต่างๆของประเทศไม่ได้ดีขึ้น อีกทั้งยังดูแย่ลงด้วยซ้ำ

กลายเป็นว่า ความเห็นเกี่ยวกับวาระ 8 ปีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้ก้าวข้ามประเด็นข้อกฎหมายไปแล้ว แต่เป็นเรื่องความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้ประเทศต่อไปที่กระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่างหาก

เห็นได้จาก “แนวร่วม” ที่เริ่มหร่อยหรอ แตกระสายซ่ายเซ็นไปมองหา “ตัวเลือก” ใหม่ๆ ตามพรรคเครือข่ายที่ผุดขึ้นมาเตรียมรับการเลือกตั้ง จน “บิ๊กตู่” อาจไม่ได้เป็นศูนย์กลางของ “ฝ่ายขวา” อีกต่อไปในการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ รอบหน้า

เข้าใจว่า “บิ๊กตู่” พอรู้ถึงสถานการณ์ของตัวเองที่มีต่อ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” จึงหามุมแสดงออกตอกย้ำ “จุดขาย” ของตัวเอง ดังจะเห็นได้จากอาการ “สะอื้น” ในระหว่างเป็นประธานการมอบรางวัลการประกวด “บทเพลงเพื่อชาติและราชบัลลังก์” ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กทม. เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2565

เป็นอาการสะอื้นกลังได้รับฟังบทเพลงเกี่ยวกับความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พร้อมเน้นย้ำในช่วงกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงานด้วยว่า “ขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมจัดงานในวันนี้ เพื่อแสดงถึงความรักชาติรักราชบัลลังก์ ผ่านการขับร้องที่ไพเราะสะท้อนให้เห็นความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างตั้งมั่น ผมพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำอย่างไรให้เราฝันอุปสรรคช่วงนี้ให้ได้ โอกาสเรามีอยู่เยอะมาก ถ้ามายืนตรงผมจะรู้ว่าเรามีโอกาสเยอะมาก เราต้องไม่ทำลายโอกาสของเราเท่านั้น ผมฝากแค่นี้”

อีกนัยก็สามารถตีความได้ว่า “บิ๊กตู่” อยู่ในช่วง “อมทุกข์” จึงถือโอกาสขอกำลังใจจาก “ฝ่ายเดียวกัน” ในงานดังกล่าว

ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เตรียมตัดช่องน้อย ลาออกจากตำแหน่งก่อนถึงวันชี้ชะตาวาระ 8 ปี รวมทั้งยังมีแนวคิดจะหันไปหยิบอาวุธหนัก “ยุบสภา” ที่เป็นอำนาจของนายกฯ แต่เพียงผู้เดียวมาใช้ ทำเอา ส.ส.สะดุ้งเฮือกทั้งสภาฯ

แต่ก็ถูกดักคอว่า การยุบสภาในขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอ เนื่องจากไร้ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ รวมไปถึงจะทำให้ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ ค้างเติ่งอยู่กลางทาง สุ่มเสี่ยงที่จะเข้าโหมด “สุญญากาศ” เพราะไม่มีกติกาเลือกตั้งเสียด้วย

หรือแม้จะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ “ฝ่ายลุงตู่” ก็ดูจะไม่อยู่ในฐานะได้เปรียบแต่อย่างใด

ตามรูปการณ์นี้ หากไม่มี “สัญญาณพิเศษ” ตามสไตล์ “ลุงตู่” ก็คงไม่เลือก “ตีตนก่อนไข้” ไม่ว่าจะยุบสภา หรือลาออก อย่างแน่นอน ปล่อยให้ไปวัดกันที่ชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมามีคำวินิจฉัย “เป็นคุณ” กับตัวนายกฯ และรัฐบาล มาโดยตลอดมากกว่า

เมื่อประเมินด้วย “หน้าเสื่อ” ปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน จะเห็นว่าหาก “นายกฯ ตู่” ได้ไปต่อที่คงสลัดไม่พ้นความทุกข์

เป็นความทุกข์ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมือง-ประชาชนได้

เป็นความทุกข์ที่แนวร่วม-คนเคยเชียร์หดหายร่อยหรอ

เป็นความทุกข์ที่เสถียรภาพ-เอกภาพในรัฐบาลอ่อนแอ

เป็นความทุกข์ที่ต้องอยู่ในอำนาจด้วยความหวาดระแวง

โดยเฉพาะความสัมพันธ์ภายใน “พี่น้อง 3 ป.” ที่ว่ากันว่า มี “บิ๊ก ป.ที่ 4” ที่ถูกมองว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมา และเป็น “หอกข้างแคร่” ของ “นายกฯ ตู่” เข้ามาแทรกแซงโดยตลอด

อยู่เบื้องหลังงานใหญ่ๆ ทั้ง “กบฎผู้กอง” ที่เล่นเกมซ่อนแต้มหมายล้มนายกฯเมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 2564 หรือการที่ ส.ส.กว่า 20 คนแยกตัวออกจากพรรคพลังประชารัฐ มาปักหมุดที่ “ค่ายผู้กอง” พรรคเศรษฐกิจไทย ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวหน้าพรรค

กระทั่งเป็นเหตุแห่งความระหองระแหงภายใน “พี่น้อง 3 ป.” โดยเฉพาะข่าวปล่อยในทำนองที่ต้องการให้ “พี่ป้อม” มาเป็น รมว.มหาดไทย แทน “น้องป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่มีมาตลอดตั้งแต่รัฐบาล คสช.มาถึงปัจจุบัน

จนไม่แน่ใจว่า คนไทยที่มี “ลุงตู่” เป็นนายกฯ หรือ “บิ๊กตู่” ที่ต้องนั่งเป็นนายกฯในสถานการณ์ที่ว่าไปทั้งหมดข้างต้น จะทุกข์หนักสาหัสสากรรจ์กว่ากัน

ไม่แปลกที่จะมีเสียงเชียร์ให้ “ลุงตู่” ถือโอกาส 8 ปีหาทางลงจากหลังเสือ เพราะขืนทู่ซี้ที่จะไปต่ออีกสมัย ก็ไม่พ้นถูกครหาว่ามี “ตัณหา” ตามหลัก “สมุทัย” ที่เป็นสาเหตุของความทุกข์

ทำไปทำมา “บิ๊กตู่” ที่ยกหลักอริยสัจ 4 มาพร่ำสอนคนอื่น แต่กลับไม่รู้เหตุของความทุกข์ของตัวเอง.





กำลังโหลดความคิดเห็น