ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลัง 5 ยักษ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคือ “มาม่า - ซื่อสัตย์ -ไวไว - ยำยำ - นิชชิน”รวมตัวกันยื่นเรื่องต่อกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ขอขยับราคาขายจากเดิมซองละ 6 บาท เป็นซองละ 8 บาท หรือเพิ่มขึ้น 2 บาท สังคมก็ให้ความสนใจใน “ธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ขึ้นมาทันที เพราะโดยสามัญสำนึกแล้ว คิดว่า เป็นสินค้าที่น่าจะขายดี และยิ่งเศรษฐกิจย่ำแย่ก็น่าจะยิ่งขายดี ด้วยมีราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับอาหารชนิดอื่นๆ
ที่สำคัญคือจินตนาการไม่ออกว่าจะขาดทุนได้อย่างไร ด้วยไม่รู้ว่า วัตถุดิบสำคัญนั้นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ตามข้อมูลระบุว่า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยผู้ประกอบการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ในไทย มีทั้งหมด 5 ราย ประกอบด้วย บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) แบรนด์มาม่า, บริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด แบรนด์ ซื่อสัตย์, บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด แบรนด์ไวไว, บริษัท วันไทย อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด แบรนด์ยำยำ และ บริษัท นิชชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด แบรนด์ นิชชิน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ธุรกิจมีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีอัตราการเติบโตไม่มากนัก เนื่องเพราะผู้บริโภคมีทางเลือกมากมายในการบริโภคอาหารที่ทำให้ตัวเองอิ่มท้องในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น แต่ในภาพรวมทุกบริษัทก็ยังคงมี “กำไร” แม้ว่าจะมิใช่เป็นรายได้และกำไรที่มาจากการขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว เนื่องจากแต่ละบริษัทมีสินค้าที่หลากหลาย
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2565 พบตัวเลขรายได้ของบริษัทผู้ผลิต ดังนี้ บริษัท ไทยเพรซิเด้นท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) นำส่งงบการเงินล่าสุดในรอบงบ 6 เดือนปี 2565 (ระหว่าง 1 ม.ค.-30 มิ.ย.) มีรายได้รวม 13,014.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,164.98 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2564 มีรายได้รวม 25,095.88 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,574.64 ล้านบาท, บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด นำส่งงบการเงินปี 2564 มีรายได้รวม 6,797,912,990 บาท กำไรสุทธิ 306,035,367 บาท,บริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด นำส่งงบการเงินปี 2564 มีรายได้รวม 851,387,270 บาท กำไรสุทธิ 51,206,484 บาท,บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2565 มีรายได้รวม 6,106,336,247 บาท กำไรสุทธิ 296,208,877 บาท ขณะที่ในปี 2564 มีรายได้รวม 5,077,098,775 บาท กำไรสุทธิ 267,236,994 บาท
ปมปัญหาสำคัญของธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับ “สงครามยูเครน-รัสเซีย”เนื่องจากส่งผลอย่างหนักต่อต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะ “ข้าวสาลี” ที่ยูเครนถือเป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดของโลก
“สงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบในแง่ของราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เกิดเอฟเฟ็กต์มากสุด โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากแป้งสาลี น้ำมันปาล์ม ขึ้นหมด ถ้าไม่ขยับราคา บริษัทก็อยู่ไม่ได้ เพราะผู้ประกอบการแบกต้นทุนไม่ไหว ตอนนี้ต่างประเทศ จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ขึ้นหมดแล้ว”นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ ให้สัมภาษณ์เอาไว้ก่อนที่ 5 ผู้ประกอบการจะรวมตัวกันยื่นหนังสือขอปรับราคาขาย
ทั้งนี้ เป็นที่ยอมรับว่าอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยมีศักยภาพและได้มาตรฐาน มีความโดดเด่นเรื่องรสชาติที่หลากหลาย ตลาดส่งออกมีอนาคตที่สดใส ข้อมูลจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่าอาเซียนถือเป็นตลาดส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำคัญที่น่าจับตา เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก ประกอบกับนิยมรสชาติอาหารที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ติดอันดับประเทศที่บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูง 15 อันดับแรกของโลก ส่งผลให้การส่งออกไปอาเซียนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปี 2562 ทั้งปี ไทยส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปอาเซียนมูลค่า 119.35 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 31% และในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (2552-2562) ไทยส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปอาเซียน เพิ่มขึ้นถึง 549% คิดเป็นการเติบโต 55% ต่อปี (ปี 2552 ไทยส่งออกไปอาเซียนมูลค่า 18.38 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ไทยส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปตลาดอาเซียนได้เพิ่มขึ้นมาจากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่เป็นกุญแจสำคัญทำให้สินค้าของไทยขยายการส่งออกได้เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ฮ่องกง ชิลี และเปรู ได้ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ส่งออกจากไทยแล้ว เหลือเพียงแค่ 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังคงภาษีนำเข้าสินค้าบางตัว เช่น กลุ่มพาสต้า บะหมี่แปรรูป และเส้นหมี่แปรรูป
ข้อมูลจาก World Instant Noodles Association ปี 2563 ระบุค่าเฉลี่ยประชากรโลกบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 15 หน่วยต่อคนต่อปี โดย 10 ประเทศที่บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก ได้แก่ จีน 46,350 ล้านหน่วยต่อปี, อินโดนีเซีย 12,640 ล้านหน่วยต่อปี, เวียดนาม 7,030 ล้านหน่วยต่อปี, อินเดีย 6,730 ล้านหน่วยต่อปี, ญี่ปุ่น 5,970 ล้านหน่วยต่อปี, สหรัฐอเมริกา 5,050 ล้านหน่วยต่อปี, ฟิลิปปินส์ 4,470 ล้านหน่วยต่อปี, เกาหลีใต้ 4,130 ล้านหน่วยต่อปี, ไทย 3,710 ล้านหน่วยต่อปี และ บราซิล 2,720 ล้านหน่วยต่อปี
หากคิดเป็นการบริโภคต่อคนต่อปี ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 ของโลก ประกอบด้วย เกาหลีใต้ 79.8 หน่วย, เวียดนาม 72.2 หน่วย, ไทย 53.2 หน่วย, เนปาล 52.9 หน่วย และมาเลเซีย 48.5 หน่วย
ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาท หลักๆ ชิงส่วนแบ่งการตลาดกันอยู่ 5 แบรนด์ “มาม่า – ซื่อสัตย์ - ไวไว - ยำยำ - นิชชิน”
อย่างไรก็ดี ย้อนกลับไปช่วงปี 2562 – 2563 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างชาติโดยเฉพาะเกาหลีใต้ได้เข้ามามีส่วนแบ่งการตลาดมาถึง 10% เนื่องจากอิทธิพลของซีรี่ย์และภาพยนตร์เกาหลีใต้ โดยส่วนแบ่งการตลาดของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลุ่มพรีเมียมโดยเฉพาะจากเกาหลี ยกตัวอย่างแบรนด์ “ซัมยัง” (Samyang) กับตระกูลบะหมี่แห้งไก่เผ็ด “ซัมยัง บูลดัก” ที่ต้องยอมรับว่าเข้ามาสร้างกระแสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เกิดพฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ ความท้าทายกับรสชาติแปลกใหม่
จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมืองไทยกำลังมุ่งทำตลาดต่างประเทศอย่างเต็มกำลัง โดย นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ แบรนด์มาม่า เปิดเผยว่าตั้งเป้าหมายที่จะขยายตลาดต่างประเทศให้มีสัดส่วน 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 30% ของยอดขายทั้งหมดประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงโควิด-19 ได้เห็นโอกาสในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น มีลูกค้าจากประเทศใหม่ ๆ ติดต่อเข้ามามากขึ้น และในขณะนี้ผู้บริโภคที่เป็นฝรั่งจริงๆ ได้หันมารับประทานผลิตภัณฑ์ของมาม่ามากขึ้น จากเดิมลูกค้าหลักในต่างประเทศจะเป็นคนเอเชียที่ไปอยู่ในประเทศนั้นๆ และได้ปรับรสชาติให้ถูกปากชาวต่างชาติมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมรสซุปไก่ รวมทั้งได้ออกผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ ๆ ที่เหมาะกับต่างชาติ และรสชาติแบบอาหารไทยที่ต่างชาตินิยม เช่น มาม่าผัดไทย เป็นต้น เนื่องจากตลาดในประเทศไทยก็ใกล้ถึงจุดอิ่มตัว โดยมีอัตราการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูงถึง 50 ซอง/คน/ปี ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก แต่ในประเทศอื่น ๆ ยังต่ำกว่านี้มาก ทำให้มีช่องว่างในการทำตลาดได้อีกเยอะ
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายการผลิตในโรงงานในกัมพูชาอีก 1 เท่าตัว เพราะมียอดขายเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะแบบคัพ และสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในเมียนมาที่เมืองมัณฑะเลย์ ส่วนโรงงานในประเทศฮังการี และบังกลาเทศ ยังไม่มีแผนขยายเพิ่ม รวมทั้งผลิตมาม่าแบบพรีเมียมเพิ่มขึ้นในกลุ่มออเรียนทัลคิตเชน ที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ให้มีความหลากหลายรสชาติมากยิ่งขึ้น เพราะตลาดตอบรับดีมาก และเพื่อเข้าไปแข่งกับแบรนด์ต่างชาติที่เข้ามาแข่งในประเทศไทยมากขึ้น
สำหรับผลิตตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” รส “ต้มยำกุ้ง" เป็นรสที่ได้รับความนิยมและขายดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมาม่า มีรสชาติมากกว่า 20 รสชาติ มีทั้งมาม่าธรรมดา และมาม่าพรีเมียม สัดส่วน 80% ของพอร์ตเป็นมาม่าซองละ 6 บาท ส่วนอีก 20% เป็นมาม่าตระกูลพรีเมียม โดยอนาคตมาม่าจะหันมาให้น้ำหนักสินค้ากลุ่มพรีเมียมมากขึ้น และออกรสชาติใหม่ เพื่อเพิ่มขีดแข่งขัน
ขณะที่ตัวเลขในรายงานประจำปี 2564 ระบุถึงผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากข้าวสาลีเป็นหลัก มาม่าครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 47.1% จากคู่แข่ง 4 ราย ภายใต้กำลังการผลิต 6 ล้านซองต่อวัน นับรวมกำลังการผลิตจากการรับจ้างให้ ยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ เพื่อการส่งออก
“นอกจากแบรนด์ต่างประเทศจะเข้ามาแข่งขันแล้ว ในประเทศก็มีคู่แข่งอยู่หลายรายที่นำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีราคาสูงเข้าสู่ท้องตลาด ชี้ให้เห็นว่ากำแพงราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะต้องถูกได้พังทลายแล้ว เปิดโอกาสให้สินค้าที่มีราคาสูงเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น และผู้บริโภคก็มีความต้องการมากขึ้น” นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรายใหญ่ในไทย รวม 5 ราย ประกอบด้วย บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) แบรนด์มาม่า, บริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด แบรนด์ ซื่อสัตย์, บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด แบรนด์ไวไว, บริษัท วันไทย อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด แบรนด์ยำยำ และ บริษัท นิชชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด เข้ายื่นหนังสือเพื่อให้กรมการค้าภายในเร่งรัดการพิจารณาและอนุมติให้มีการปรับราคาจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยเร็ว หลังจากที่แต่ละรายได้ยื่นขอปรับราคากันเองแล้วตั้งแต่ต้นปี 2565 แต่ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ปรับราคาแต่อย่างใด โดยยื่นขอปรับราคาอีก 2 บาท จากเดิมตัวหลักคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบซองราคา 6 บาท ขอเพิ่มเป็น 8 บาท
ที่ต้องขีดเส้นใต้ตัวโตๆ ก็คือ นี่นับเป็นการวมตัวกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปีเลยทีเดียว
เหตุผลประกอบการขอปรับราคาก็คือขณะนี้ต้นทุนแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 20-30% น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมถึงยังมีบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เพิ่มขึ้น 12-15% ซึ่งเฉพาะเพียงต้นทุนแป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม ก็ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 บาทต่อซองแล้ว โดยยังไม่รวมบรรจุภัณฑ์และสินค้าเกษตรสำหรับผลิตเครื่องปรุงรส รวมถึงค่าแรงที่อาจมีการปรับขึ้นในอนาคต ทำให้ปัจจุบันผู้ผลิตบางรายขาดทุนในบางเดือน เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาขาย ยกตัวอย่างเช่น ไวไว ของบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด และยำยำ ของบริษัท วันไทย อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด ที่เริ่มขาดทุนในบางเดือน และอาจแก้ปัญหาด้วยการหันไปส่งออกมากขึ้น ซึ่งมูลค่าตลาดส่งออกทำกำไรมากกว่า 30 - 35%
“นายวีระ นภาพฤกษ์ชาติ” กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด กล่าวว่า ระหว่างที่รอการตัดสินใจของกรม นอกจากการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกแล้ว บริษัทจะใช้มาตรการควบคุมต้นทุนด้านอื่น ๆ ไปพร้อมกันด้วยโดยจะปรับลดกะการทำงานและลดโอทีของไลน์ผลิตสินค้าตัวที่เสี่ยงขาดทุนลง เพื่อลดความเสียหาย เช่นเดียวกับ “นายฮิจิริ ฟูกุโอกะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่มองว่า การปลดล็อกให้ผู้ผลิตสามารถปรับราคาและมีกำไรอย่างสมเหตุสมผลจะช่วยให้นอกจากมีสินค้าเข้าสู่ตลาดแล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสินค้าใหม่ และสามารถควบคุมมาตรฐานของสินค้าได้อย่างเต็มที่
ด้าน “นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม” อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่าจากการติดตามสถานการณ์ต้นทุนราคาวัตถุดิบการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยอมรับว่าปัจจัยการผลิตหลายตัวมีการปรับขึ้นราคา แต่ผู้ผลิตก็ยังให้ความร่วมมือในการช่วยตรึงราคามาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2564 เป็นต้นมา ปัจจุบันยังไม่ได้อนุมัติให้มีการปรับขึ้นราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแต่อย่างใด โดยได้ติดตามดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด หากพบการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าขายแพงเกินจริงจะถูกดำเนินคดี จำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท
ประการสำคัญผู้ประกอบการต้องอยู่ได้ ผู้บริโภคต้องได้รับผลกระทบไม่มากเกินไป ตามหลักการวินวินโมเดล โดยจะพิจารณาเป็นรายสินค้า
อย่างไรก็ดี ในประเด็นผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขอขึ้นราคา จากซองละ 6 บาทเป็น 8 บาท ท่าทีของ “นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยปี 2551 ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขอปรับขึ้นราคาจากซองละ 5 บาทเป็นซองละ 6 บาท และได้มีการขอปรับราคามาอีกครั้ง แต่กรมการค้าภายในยังไม่อนุญาตเพราะต้องดูผลกระทบกับภาระของผู้บริโภคด้วย
...ถึงตรงนี้ ดูทรงแล้ว อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องยอมรับว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเข้าข่ายเป็นสินค้าที่มีส่วนเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ทางการเมืองของรัฐบาล ยิ่งใกล้ถึงช่วงเวลาเลือกตั้งยิ่งมีนัยสำคัญเพราะนำไปขยายผลได้ ขณะที่ถ้าหากทอดเวลานานไป ผู้ประกอบการอาจแบกรักไม่ไหวด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้น สุดท้ายแล้วหวยอาจจะออกมาในแนว “พบกันครึ่งทาง” ก็เป็นได้