เป็นคำปรารภของท่านจอมทัพประเทศสหรัฐฯ ที่มีแสนยานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดของโลกในปัจจุบัน...โดยเป็นคำพูดของปธน.ทรัมป์ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดที่กำลังจะออกในต้นเดือนหน้า (กันยายน) นี้
หนังสือใหม่นี้ชื่อ “The Divider : Trump in the White House, 2017-2021” เขียนจากการสัมภาษณ์เรียบเรียงโดยนักข่าวของนิวยอร์ก ไทมส์ ชื่อ Peter Baker และนักเขียนประจำของวอชิงตัน โพสต์ ชื่อ Susan Glasser
และนิตยสาร New Yorker ฉบับวันที่ 8 สิงหา ได้นำบางส่วนมาตีพิมพ์เสนออย่างดุเด็ดเผ็ดมันยิ่ง น่าจะเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐฯ สำหรับช่วงที่สหรัฐฯ มีผู้นำที่แตกต่างกับอดีตผู้นำคนใดๆ ของประเทศ และมีพฤติกรรมแนวคิดที่ไม่มีซ้ำรอยกับอดีตผู้นำคนก่อนๆ อย่างยิ่ง
ในบางช่วงของหนังสือเล่มนี้ ได้สะท้อนถึงกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหญ่ที่อยู่รอบตัวทรัมป์ ที่คอยคัดหางเสือไม่ให้ทรัมป์ประพฤติหรือออกคำสั่งนอกลู่นอกทาง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง หรือที่จะเกิดผลเสีย (ทำร้าย) ต่อประเทศชาติ
กลุ่มผู้บริหารรุ่นใหญ่นี้ได้รับการขนานนามจากสื่อมวลชนว่าเป็น “Axis of Adults” หรือแกนที่ประกอบด้วย “ผู้ใหญ่” ที่คอยคานอำนาจผู้บริหารแบบเด็กเช่น ทรัมป์นั่นเอง...ได้แก่ รมต.ต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ที่เป็นรายแรกที่ถูกทรัมป์ปลดออก; มีอดีตพลเอก(นาวิกโยธิน) จอห์น เคลลีย์ ตำแหน่ง Chief of Staff ที่ทำเนียบขาว...ที่ถูกทรัมป์ปลดออกเป็นคนที่สองต่อจากเร็กซ์; มีอดีตพลเอก(นาวิกโยธิน) เจมส์ แมตทิส...รมต.กลาโหมที่ถูกปลดออกเช่นกัน, และมีพลเอกDunford ถูกปลดจากตำแหน่งประธานเสนาธิการร่วม (คล้ายกับผบ.สส.ของไทย) รวมทั้งพลโทMc Master ถูกปลดจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ช่วงที่เกิดการประท้วงทั่วประเทศสหรัฐฯ ของขบวนการ Black Lives Matter จากการตายของคนผิวดำ จอร์จ ฟลอยด์ ที่เมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา ช่วงตลอดเดือนพฤษภาคม 2020 (ปีเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ) และการประท้วงได้มีการปักหลักตามรัฐใหญ่ๆ มีความรุนแรง (แม้เป็นการประท้วงอย่างสงบปราศจากอาวุธ) ถึงขั้นทำลายอนุสาวรีย์และรูปปั้นของผู้นำกองทัพฝ่ายใต้ที่ทำสงครามกลางเมืองกับกองทัพฝ่ายเหนือ ในสงครามเลิกทาสของสหรัฐฯ รวมทั้งเหล่าพ่อค้าทาสที่ใช้อาวุธบีบบังคับจับทาสแอฟริกันมาทำงานที่ยุโรปและสหรัฐฯ
รอบๆ ทำเนียบขาวก็มีกลุ่มผู้ประท้วงปักหลักที่สวน La Fayette เพิ่มความรุนแรงขึ้น...จนทรัมป์ได้หลบหนีความรุนแรงไปซ่อนตัวอยู่ที่บังเกอร์ใต้ทำเนียบขาว...และสื่อได้ตามหาปธน.ว่าไปหลบหนีผู้ประท้วงอยู่ที่ไหน? ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องของผู้ประท้วง
วันที่ 1 มิถุนายน ทรัมป์รีบออกมาจากบังเกอร์และต้องการสร้างภาพบนหน้าสื่อว่า เขาปักหลักอยู่ที่ทำเนียบขาว ไม่ได้หนีไปไหน และมีจิตใจรักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง ไม่ใช่นักเหยียดผิว
เขาจัดฉากให้มีครม.เดินตามเขาไปถ่ายภาพที่หน้าโบสถ์เก่าแก่ St.John (ที่เพิ่งมีการบุกรุกเข้าเผาบางส่วนของโบสถ์...ที่อยู่ใกล้ๆ กับทำเนียบขาวนั่นเอง)
ทรัมป์ต้องการให้มีภาพผู้นำทหารให้การสนับสนุนเขา จึงโทรศัพท์ตามตัวประธานคณะเสนาธิการทหารพลเอกมาร์ค มิลลีย์ (ที่เขาเพิ่งตั้งเข้ามาแทนพลเอกDunford เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง) ให้รีบออกมาจากกระทรวงกลาโหม เพื่อมาหาเขาที่ทำเนียบขาว
แล้วทรัมป์เดินอาดๆ นำหน้าทั้งรมต.กลาโหม Mark Esper (อดีตนายร้อยจากเวสต์ปอยต์...เพื่อนของรมต.ต่างประเทศปอมเปโอ), รมต.ยุติธรรม (William Barr), ประธานเสนาธิการร่วมพลเอกมาร์ค มิลลีย์ และมี Chief of Staff คนใหม่ชื่อ Mark Meadows (เพิ่งเข้ามาแทนพลเอกจอห์น เคลลีย์) รวมทั้งมีลูกเขยคนโปรดเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของปธน.ทรัมป์คือ นายจาเร็ด คุชเนอร์ และลูกสาวทรัมป์คือ อิวองกา (ภรรยาของคุชเนอร์) ด้วย...เดินไปชูคัมภีร์ไบเบิลแสดงว่า เขาเคร่งศาสนา (ทั้งๆ ที่ความจริงคือ เขาไม่เคยอ่านไบเบิล...จากพฤติกรรมจอมโกหกและไร้ความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรสต่ออดีตภรรยาหลายๆ คนของเขา รวมทั้งการเลี่ยงและหนีภาษีจนธุรกิจได้แต่รายงานว่าขาดทุนแทบทุกโครงการก่อสร้าง จนไม่ต้องเสียภาษีเลย!)
ภาพที่พลเอกมาร์ค มิลลีย์ ไปยืนค้ำบัลลังก์เพื่อการสร้างภาพทางการเมืองของทรัมป์ ทำให้ทั้ง มาร์ค มิลลีย์ และรมต.กลาโหม Mark Esper ถูกตำหนิจากทหารระดับสูง ทั้งในราชการปัจจุบัน และโดยเฉพาะที่เกษียณไปแล้ว แม้แต่รมต.กลาโหมซึ่งเป็นนักการเมือง ก็ยังถูกตำหนิด้วย เพราะเขาจบมาจากโรงเรียนทหารเวสต์ปอยต์ที่มีเกียรติ และไม่ควรไปประดับบารมีนักการเมืองจอมโกหกนักสร้างภาพผู้นี้
อีก 7 วันต่อมา...พลเอกมิลลีย์ เขียนจดหมายลาออก ซึ่งเขาตั้งใจจะยื่นให้ทรัมป์ โดยเนื้อหาได้บอกสาเหตุการลาออก (มีรายละเอียดอยู่ใน New Yorker ทุกคำ) ได้พูดตรงๆ ว่า ไม่สามารถทำหน้าที่รับคำสั่งจากจอมทัพของทรัมป์ได้อีกต่อไป เพราะทรัมป์ทำให้ชาติแตกแยกและเป็นอันตรายยิ่งต่อประเทศสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ได้ทำลายยับเยินจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้อีกต่อไป
ในหนังสือเล่มนี้ (ที่มีคัดย่ออย่างหมดเปลือกบางตอนอยู่ใน New Yorker) ได้สะท้อนว่า พลเอกมิลลีย์ ได้ปรึกษากับอดีตรมต.กลาโหมหลายคน ซึ่งอดีตรมต.กลาโหม Robert Gates (สมัยบุชผู้ลูกและสมัยโอบามา) ได้ทัดทานไม่ให้เขาลาออก โดยให้สู้ในระบอบต่อไป เพื่อใช้เป็นไพ่จะสู้กับทรัมป์ต่อไปดีกว่าถ้าลาออกไปก็จะเท่ากับสู้ได้ครั้งเดียว
หนังสือยังเปิดถึงบทสนทนาที่ทรัมป์บอกกับ Chief of Staff พลเอกจอห์น เคลลีย์ ว่า ทหาร (นายพล) อย่างพวกคุณมันแย่มาก ทำไมไม่เหมือนทหารของฮิตเลอร์ที่จงรักภักดีกับฮิตเลอร์เสมอ, ซึ่งพลเอกเคลลีย์ ได้ตอบกลับไปว่า ท่านไม่รู้หรือว่า ทหารเยอรมนีพยายามฆ่าฮิตเลอร์ถึง 3 ครั้ง และยอมตายเพื่อกำจัดฮิตเลอร์ ซึ่งแสดงว่า ทรัมป์บอดสนิทเรื่องประวัติศาสตร์สงครามต่างๆ และมองว่าทหารแบบพลเอกมิลลีย์ หรือ Esper หรือเคลลีย์ไม่ซื่อสัตย์(ยอมตาย)ต่อปธน.ดังเช่นนายพลเยอรมัน!!!