xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อยู่กับ 3 ป. ต่ออีก 2 ปี ดีมั้ยจ๊ะ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - น่าจะเป็นพันธนาการสุดท้ายของ “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงปลายสมัยของ “รัฐบาลลุงตู่ 2” สำหรับประเด็นปัญหาวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 158 วรรค 4 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง”

ตีความตามตัวอักษร ช่วงชีวิตคนๆ หนึ่งจะได้เป็นนายกฯ กี่วาระก็แล้วแต่ หรือเว้นระยะไปนานเพียงใด แต่ระยะเวลาในตำแหน่งต้องไม่เกิน 8 ปี

ปัญหามีว่า “บิ๊กตู่” ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ภายหลังจากยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมปีเดียวกัน และรักษาการในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ระยะหนึ่ง
หากนับวันที่ 24 สิงหาคม 2557 เป็นวันเริ่มดำรงตำแหน่งนายกฯ “ประยุทธ์” กับเก้าอี้ผู้นำสูงสุด ก็จะครบวาระ 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ที่จะถึงนี้

ความซับซ้อนของประเด็นนี้ อยู่ที่บทบัญญัติเรื่อง 8 ปี เพิ่งมีใน “รัฐธรรมนูญ 2560” ซึ่งถูกประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 หรือระหว่างทางที่ “บิ๊กตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ก่อนจะได้รับเลือกจากที่ประชุมรัฐสภาภายหลังการเลือกตั้งมีนาคม 2562 รวมทั้งในกฎหมายสูงสุดของประเทศ ก็ยังมีข้อความใน “บทเฉพาะกาล” มาตรา 264 วรรคแรก ระบุว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ด้วย

ส่งผลให้มี “ความเห็น” เกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของ “นายกฯ ประยุทธ์” ออกเป็น 3 กรอบเวลา คือ กรอบเวลาที่ 1 นับจากวันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี 24 สิงหาคม 2557 วาระ 8 ปี สิ้นสุดในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ตามที่กล่าวไปข้างต้น

ซึ่งกรอบเวลาแรกนี้มีประเด็นเพิ่มน้ำหนักจากบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรคแรก ในรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับเดียวกันที่ระบุว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ด้วย”

เรื่องนี้ “ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา และอาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ เป็นผู้หนึ่งที่มีความเห็นว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 เหตุเพราะเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ต้องยึดตามบทบัญญัติทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการดำรงตำแหน่งนายกฯ




โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ที่นอกเหนือจากวรรคแรกแล้ว วรรคอื่นต่างมีสาระสำคัญในการ “ยกเว้น” บางบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งของคณะรัฐมนตรี แต่กลับไม่มีการยดเว้นมาตรา 158 วรรค 4 เรื่องนายกฯ 8 ปีเอาไว้

“เมื่อมาตรา 264 ไม่ได้ยกเว้นไว้ ก็ต้องนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และถ้าจะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน คือจะครบ 8 ปี ในวันที่ 23 สิงหาคมหรือ 24 สิงหาคม ซึ่งตนเห็นว่า ต้องเป็นวันที่ 24 สิงหาคม เพราะหลักกฎหมายจะไม่นับวันแรกจะนับวันแรกต่อเมื่อได้เขียนไว้ ซึ่งถ้าเกินเที่ยงคืน 24 สิงหาคม 2565 คือผิดรัฐธรรมนูญทันที” อาจารย์ปริญญา ว่าไว้

นอกจากนี้ยังมีประเด็น “เพิ่มน้ำหนัก” อย่างการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ของตัว “พล.อ.ประยุทธ์” และรัฐมนตรีบางราย ที่ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องมาจากรัฐบาล คสช. โดย ป.ป.ช.ไม่นำมาเปิดเผยต่อสาธารณะเช่นรัฐมนตรีร่วมคณะรายอื่น

ด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป.ป.ป.ช.) มาตรา 105 วรรค 4 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ้าพ้นจากตำแหน่งและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งใหม่ภายใน 1 เดือน ผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน”

ส่วนมาตรา 105 วรรค 5 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าเจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินด้วย เจ้าพนักงานของรัฐผู้นั้นไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินใหม่ แต่ไม่ต้องห้ามที่ผู้นั้นจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐาน”

หมายความว่า การ “ไม่ยื่น” บัญชีทรัพย์สินฯกรณีพ้นจากตำแหน่งของ “พล.อ.ประยุทธ์” สามารถทำได้ เพราะกลับเข้าดำรงตำแหน่งภายใน 1 เดือน แต่ไม่ห้ามที่เจ้าตัวจะยื่นเพื่อเป็นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.

เมื่อไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะโดย ป.ป.ช. จึงถูกจับโยงว่า เป็น “ใบเสร็จ” ที่เสมือนยอมรับว่า ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องอย่าง “ไร้รอยต่อ” ตั้งแต่ปี 2557

ส่วนกรอบเวลาที่ 2 คือ นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 วันที่ 6 เมษายน 2560 วาระ 8 ปี ของ “นายกฯประยุทธ์” จะสิ้นสุดหลังวันที่ 5 เมษายน 2568 (ไม่นับรวมระยะเวลารักษาการ หรืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อหลังพ้นจากตำแหน่ง) หรืออยู่ได้อีกราว ครึ่งเทอม หรือ 2 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

เหตุผลสนับสนุนกรอบเวลานี้มีเพียงการนับหนึ่งของบทบัญญัติของรัฐธรรมนุญ ในวันที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้นั่นเอง

รวมทั้งยังถูกมองว่าเป็น กรอบเวลาที่เป็นแนวทาง “ประนีประนอม” ที่สุดด้วย

และกรอบเวลาที่ 3 นับจากหลังเลือกตั้ง 2562 ได้รับเลือกจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 กรณีเป็นนายกฯ ต่อเนื่องวาระ 8 ปี สิ้นสุดในช่วงปี 2570 (ไม่นับรวมระยะเวลารักษาการ หรืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อหลังพ้นจากตำแหน่ง) หรืออยู่ได้อีกราว 1 เทอม 4 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

กล่าวคือไม่นับการดำรงตำแหน่งนายกฯ ก่อนหน้านั้นของ “บิ๊กตู่” เลย โดยมองว่าการเป็นนายกฯก่อนหน้ามีรัฐธรรมนูญ 2560 นั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ไม่ใช่หลักเกณฑ์เดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2560 รวมทั้งยังเป็นเพียงนายกฯตาม “บทเฉพาะกาล” มาตรา 264 วรรคแรก ที่ระบุว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ด้วย”

ไม่ใช่นายกฯตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ 2560 หากคิดในมุมนี้การบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 158 วรรค 4 จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 62


สอดคล้องกับความเห็นของ อุดม รัฐอมฤต อดีตกรรมการร่างรับธรรมนูญ (กรธ.) และชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่มองว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2562 ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรค 2 “นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159” จึงนำเวลามารวมกันตามมาตรา 158 วรรค 4 ไม่ได้

มุมนี้นอกเหนือจาก “ติ่งลุงตู่-กองเชียร์รัฐบาล” จะสนับสนุนแล้ว เมื่อช่วงปลายปี 2564 ก็เคยมีความเห็นทางกฎหมายของ “ฝ่ายกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร” ที่รายงานถึง ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ กรณีการนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พล.อ.ประยุทธ์” โดยสรุปตอนหนึ่งว่า

“การนับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 158 วรรค 4 ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นวันโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นต้นไป เพราะการกำหนดเงื่อนไขให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งรวมแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้นั้น เป็นเงื่อนไขการจำกัดสิทธิบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการบัญญัติกฎหมายในทางเป็นโทษ จะนำมาบังคับใช้ย้อนหลังในทางที่เป็นโทษไม่ได้ การกำหนดเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญให้ผลย้อนหลังใช้บังคับกับการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ ย่อมขัดหลักกฎหมาย”

ถือเป็นเพียง “ความเห็น” ที่สนับสนุน 3 กรอบเวลาที่ ทั้งชาวบ้าน คอการเมือง กูรูนักฎหมาย กองเชียร์-กองแช่ง ต่างตีความแตกต่างกัน จนเป็นข้อถกเถียงไม่ต่างจากคำถามโลกแตก

ตามคิวแล้วก็คงต้องไปจบที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งจะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด

ตามที่มีผู้ยื่นคำขอให้ศาลรับธรรมนูญชี้ขาดประเด็นหลายราย-คณะ ตั้งแต่ วรัญชัย โชคชนะ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ตลอดกาล ที่ได้ยื่นคำร้องผ่านสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ส่วน “นักร้องแห่งยุค” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องผ่านสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ

และ พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ระบุว่า จะรวบรวมรายชื่อยื่นประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ช่วง 1 สัปดาห์ก่อนถึงวันครบวาระ 8 ปี หรือประมาณวันที่ 16-17 สิงหาคม 2565

แต่ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเคลียร์คัทชี้ขาด ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากกลายกลุ่ม-กลายบุคคล ทั้งตัว “บิ๊กตู่” ที่อยู่ในภาวะ “รมณ์บ่จอย” มาตลอด เมื่อถูกยิงคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนระยะหลังมักตอบแบบเสียไม่ได้ว่า “ให้ไปถามศาล (รัฐธรรมนูญ)”

รวมทั้งอาการของ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯมือกฎหมายคนสำคัญของรัฐบาล ที่ตอบคำถามเรื่องนี้ไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ ถึงขั้นเชิญชวนเชิงท้าทายว่า หากใครสงสัยให้ยื่นเรื่องกับศาลรัฐธรรมนูญได้เลย

จนถูกตีความว่า เป็นอาการมั่นใจของ “วิษณุ” โดยเฉพาะกับศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกมองว่ามักตีความชี้ขาด “เป็นคุณ” กับ “รัฐบาลประยุทธ์” มาโดยตลอด

ขณะเดียวกันก็ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาของหลายคนที่ถูกมองว่าเป็น “ฝ่ายเดียว” กับรัฐบาล อย่างกรณี ไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ถูกมองว่าเป็น “นักวิชาการอนุรักษ์นิยม” ออกมาให้ความเห็นเปรียบเทียบกรณี “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เมื่อลงจากนายกฯ หลังดำรงตำแหน่งมานาน 8 ปี 5 เดือน ระหว่างปี 2523-2531 ด้วยวลีอมตะที่ว่า “ผมพอแล้ว”

โดยมีการระบุว่า “ป๋าเปรม” รับฟังนักวิชาการที่เข้าชื่อในนาม “ฎีกา 99” เพื่อขอให้ยุติบทบาททางการเมือง ตีความได้ว่า “นายกฯ ตู่” ควรลงจากตำแหน่งเช่นกัน

สอดรับกับภาคประชาชนในนาม “99 พลเมือง” ที่ร่วมลงชื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” เสียสละลาออกจากตำแหน่งก่อนวันที่ 24 สิงหาคม 2565 นี้ มีรายนามผู้ลงชื่อ อาทิ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม, รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์, สมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา, ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, พะเยาว์ อัคฮาด ประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อและผู้เสียหายในเหตุการณ์พฤษภาคม 2553, ปรีดา เตียสุวรรณ์ นักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ วสันต์ สิทธิเขตต์ เครือข่ายศิลปินเพื่อประชาธิปไตย เป็นต้น

ขณะเดียวกันยังมี ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่เคยสร้างชื่อจากบทบาท “นักร้อง” ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล ออกมาฟันธงในฐานะนักกฎหมายว่า วาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องเริ่มเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 เพราะความมุ่งหมายของมาตรา 158 มีขึ้นเพื่อป้องกันการผูกขาดทางการเมือง

ไม่เพียงเท่านั้นระหว่างทางก่อนถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ก็เกิดขบวนการปั่นกระแสเมื่อมี “มือดี” ไปค้นเอกสารบันทึกการประชุมของ กรธ. ชุดของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 ก.ย.2561 เพื่อพิจารณาและจัดทำ "ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตรา ของรัฐธรรมูญ 2560” เกี่ยวกับประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการนับระยะเวลา 8 ปี

หยิบเอา “ช่วงสนทนาธรรม” ระหว่างการประชุม ที่ “มีชัย” สอบถามที่ประชุมว่า ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับสามารถนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯดังกล่าว เข้ากับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่

โดยมี สุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธาน กรธ. คนที่หนึ่ง กล่าวตอบว่า “หากนายกฯที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับ เมื่อประเทศไทยยังคงมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ควรนับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว รวมเข้ากับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย”

ก่อนที่ “มีชัย” จะสำทับว่า “การบัญญัติในลักษณะดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า แม้จะดำรงตำแหน่งนายกฯอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าว รวมกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ ซึ่งเป็นการนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องมีระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี”

การที่ “มือดี” พยายามตีปิ๊บเผยแพร่เอกสารชุดนี้ออกมา ก็เพื่อหวังใช้ “เจตนารมณ์” ของ “ผู้ร่าง” ต่อวาระ 8 ปีนายกฯ ของ “พล.อ.ประยุทธ์” กดดันศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน

ทว่า “สุพจน์” ผู้ที่ถูกบันทึกความเห็นไว้ในที่ประชุม กรธ. ก็ออกมาแย้งว่า เป็นเพียง “ความเห็นส่วนตัว” ในระหว่างหารือทั่วไปในที่ประชุม ไม่ใช่มติของ กรธ.แต่อย่างใด และขอให้ไปดูมติ กรธ.แทน

ซึ่งความเป็นจริง เอกสารที่นำมาเผยแพร่ก็เป็นเพียงความเห็นของ “มีชัย-สุพจน์” ส่วนท่อนมติ กรธ.ซึ่งมีการจัดพิมพ์เป็นเอกสารเผยแพร่ ที่ระบุว่า “กำหนดให้ ครม.ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่ เพื่อความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยต้องมีคุณสมบติและลักษณะต้องห้ามตามบทหลักของรัฐธรรมนูญ ยกเว้นลักษณะต้องห้ามบางประการที่ใช้บังคับกับ ครม.ที่มาตามรัฐธรรมนูญนี้เป็นการเฉพาะ” ไม่มีการนำออกมาเผยแพร่ในคราวเดียวกัน

เพราะในมติ กรธ.ไม่ได้มีการชี้ขาดฟันธงเหมือนช่วงที่ “มีชัย-สุพจน์” สนทนาธรรมกัน

น่าสนใจอีกว่า แม้ “สุพจน์” ที่เคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะออกตัว ไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้อีก แต่ก็บอกให้ไปดูความเห็นของ ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา (ที่ระบุว่าถึงการนับอายุการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในวันที่ 9 มิถุนายน 2562) ว่า อธิบายไว้ดีมาก

ท่ามกลางการปั่นกระแสที่ดูจะ “ไม่เป็นคุณ” กับ “นายกฯตู่” ก็มีคำให้สัมภาษณ์ของ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ถูกมองว่าอาจ “ส้มหล่น” ได้ขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรีรักษาการ” หรืออาจจับผลัดจับผลูขึ้นเป็น “นายกฯ คนนอก” ในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ หากเกิดอุบัติเหตุ 8 ปีกับ “น้องตู่” ออกมา

โดย “ลุงป้อม” ตอบคำถามที่ว่า พรรคพลังประชารัฐเตรียมชูตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกฯ หลังเพิ่งหอบสังขารไปลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงที่ จ.หนองคาย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า “ไม่ใช่ ทุกอย่างอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ไม่ครบ 8 ปีก็ไปต่อไป เมื่อครบแล้วก็ว่ากันว่าจะเอาใคร ไม่ใช่ผม” เมื่อถูกกระเซ้าต่อว่า พร้อมเป็นนายกฯ หรือไม่ “พี่ใหญ่รัฐบาล” ตอบกลับว่า "ผมจะไปพร้อมได้อย่างไร ผมยังไม่ได้คิดเลยนายกฯ ยังอยู่ต่ออีก 2 ปี”

คำพูดของ “บิ๊กป้อม” ไม่ต่างจากการ “สปอยล์ตอบจบ” ที่บังเอิญไปตรงกับกรอบเวลาที่ 2 คือ นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 วันที่ 6 เมษายน 2560 วาระ 8 ปี ของ “นายกฯประยุทธ์” จะสิ้นสุดหลังวันที่ 5 เมษายน 2568 (ไม่นับรวมระยะเวลารักษาการ หรืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อหลังพ้นจากตำแหน่ง) หรืออยู่ได้อีกราว ครึ่งเทอม หรือ 2 ปี หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

สปอยล์ตอนจบของ “ลุงป้อม” แบบไม่ต้องมีเหตุผลทางกฎหมายมารองรับ แต่ก็ทำให้คนเชื่อไปแล้วว่า อายุเก้าอี้นายกฯ ของ “พล.อ.ประยุทธ์” จะยังไม่สิ้นสุดลงในเดือนสิงหาคม 2565 นี้อย่างแน่นอน

ตัดภาพมาที่ความชื่มมื่นของ “พี่น้อง 3 ป.” ในงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 77 ปีขชอง “พี่ป้อม” เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ โดยน้องเลิฟทั้ง “น้องตู่” และ “น้องป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ไม่พลาดที่จะเข้าอวยพร “พี่ใหญ่” โดยมีการปิดห้องพูดคุยกันเฉพาะ “พี่น้อง 3 ป.” ราวครึ่งชั่วโมง

ก่อนแยกย้าย นักข่าวกระเซ้าขอถ่ายภาพ “พี่น้อง 3 ป.” เป็นที่ระลึก ปรากฎว่า “บิ๊กตู่” เดินแยกวงขึ้นรถไปก่อน ทำให้มีเพียง “บิ๊กป้อม” ที่โอบเอว “บิ๊กป๊อก” ถ่ายภาพร่วมกัน พร้อมกล่าวยืนยันว่า “ไม่มีหรอก ทะเลาะกัน”

เอาเป็นว่า “พี่น้อง 3 ป.” ยังรักกันดี ไม่แตกหักกันอย่างที่มีกระแสข่าว ส่วนวาระของ “นายกฯ ตู่” ก็น่าจะได้ไปต่อตามคำเฉลยของ “พี่ป้อม”

สรุปว่า “ลุง 3 ป.” จะอยู่อีก 2 ปี คนไทยยังไหวกันอยู่ไหม?.





กำลังโหลดความคิดเห็น