ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แม้ดอกไม้จัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยและอาจซบเซาตามสภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องบอกว่า “ไม่เคยเงียบเหงา” ยิ่งเข้าสู่ช่วงเทศกาลสำคัญยิ่งคึกคัก อย่างเช่นบรรยากาศวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2565 ดอกมะลิซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความรักบริสุทธิ์มอบแทนความรู้สึกและความกตัญญู ราคาพุงสูงปรี๊ดกิโลกรัมละ 1,200 บาทกันเลยทีเดียว เช่นเดียวกับ “กุหลาบแดง” ที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสศรัทธาใน “ท้าวเวสสุวรรณ” ซึ่งส่งผลทำให้มีความต้องการสูงขึ้นและราคาก็แพงขึ้น
กล่าวสำหรับ “ดอกมะลิ” แล้ว นอกจากเป็นช่วงเทศกาลสำคัญแล้ว สภาพอากาศฝนตกต่อเนื่อง ทำให้มะลิไม่มีดอก และดอกโตช้า ส่งผลให้ช่วงวันแม่ปีนี้มีดอกมะลิให้ผลผลิตน้อย ขณะที่ปริมาณความต้องการเพิ่มขึ้นกว่าปกติ จากเดิมดอกมะลิกิโลกรัมละ 300 บาท จึงดันราคาพุงสูงกิโลกรัมละ 1,200 บาท ขณะที่พวงมาลัยมะลิสดจากเดิมที่ขายส่งพวงละ 20 บาท ปรับราคาขึ้นเป็นพวงละ 60 บาท สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชาวสวนมะลิในช่วงนี้วันละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท
ส่วน “กุหลาบ” ก่อนหน้านี้กับเทศกาลแห่งความรักวันวาเลนไทน์ ตลาดอาจไม่คึกคักเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 แต่ภาพรวมกุหลาบแดงยังคงขายได้ราคาดี ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ราคาจะปรับขึ้น 100 - 150 บาท เช่นกุหลาบสีแดงขนาดใหญ่ 20 - 25 ดอกราคาเดิม 350บาท เป็น 500 - 550 บาท แบบมัด 50 ดอกเดิม 200 - 250 เป็น 400 - 450 บาท เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ ความต้องการของดอกกุหลาบสีแดงยังทรงตัวต่อเนื่อง เพราะนิยมใช้ไหว้สักการะ “ท้าวเวสสุวรรณ” ด้วยกระแสศรัทธาเมื่อประชาชนอธิษฐานสมหวังปรารถนาก็จะถวายดอกกุหลาบสีแดงแก้บน ดังนั้น แม้ราคาสูงขึ้นจากต้นทุนการปลูกที่สูงขึ้นทั้งค่าปุ๋ย ค่ายา ค่านั้น แต่ก็ยังคงสามารถขายได้
ผู้ค้าดอกไม้ปากคลองตลาด เผยว่าดอกกุหลาบสีแดงเข้มหรือแดงดำนิยมนำไปถวายแก้บนท้าวเวสสุวรรณ เคยมีคนสั่งถึง 1 แสนดอก ราคาประมาณ 3 - 4 แสนบาท เพื่อถวายแก้บนท้าวเวสสุวรรณ ที่วัดจุฬามณี ซึ่งจากเดิมดอกกุหลาบสีแดงก็เป็นที่นิยมอยู่แล้ว เพราะมีการนำไปแก้บนถวายเสด็จพ่อ ร.5 สามารถถวายได้ทั้งสีชมพู และสีแดง และเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ
ปัจจุบัน ตลาดค้าส่งดอกไม้แหล่งใหญ่ในเมืองไทยไม่เคยเงียบเหงา ไม่ว่าจะเป็นที่ “ตลาดไท” หรือ “ตลาดสี่มุมเมือง” ที่จำหน่ายดอกไม้สำหรับพิธีต่าง เช่น พวงมาลัย พานพุ่ม ดอกบัว เป็นต้น ความน่าสนใจตลาดสี่มุมเมือง ไม่เหมาะกับดอกไม้ต่างประเทศ เพราะไม่มีพื้นที่ติดแอร์ ส่วนใหญ่ลูกค้า เป็นกลุ่ม พ่อค้า แม่ค้า รับไปจำหน่าย และลูกค้าที่เข้ามาซื้อดอกไม้เพื่อนำไปใช้ในงานพิธีต่างๆ
ขณะที่ “ตลาดดอกไม้ปากคลองตลาด (เดิม)” ถ.จักรเพชร กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นตลาดดอกไม้ปากคลองเกิดขึ้นอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน แม้ว่าจะมีการจัดระเบียบสำหรับผู้ค้าบนพื้นที่ทางเดินเท้าออกไป ผู้ค้าบางส่วนก็เข้าไปขายในตลาดที่อยู่ใกล้เคียง อย่างตลาดดอกไม้ส่งเสริมการเกษตร และตลาดยอดพิมาน แต่ผู้ค้าที่มีหน้าร้านอยู่ริมถนนก็ยังคงขายอยู่ โดยเฉพาะดอกไม้เมืองหนาว และดอกไม้จากต่างประเทศ หรือ อุปกรณ์การจัดดอกไม้ ที่ยังไม่สามารถไปหาที่ตลาดอื่นๆได้
ส่วน “ตลาด Flower market Thailand” หรือ “ศูนย์กลางตลาดดอกไม้ปากคลองแห่งใหม่” ถ.พุทธมณฑล สาย 4 (ถนนพระเทพ) กรุงเทพฯ จำหน่ายดอกไม้จากทางภาคเหนือ ดอกไม้ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และโซนจำหน่ายอุปกรณ์จัดดอกไม้ และบริการรับจัดดอกไม้ ร้อยมาลัย พานพุ่ม ฯลฯ เป็นต้น
สำหรับธุรกิจดอกไม้เรื่องการบริหารสต๊อกเป็นหัวใจสำคัญ ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี ระบุว่า สิ่งสำคัญต้องรู้คือวันที่ดอกไม้ลงเพื่อช่วยในการบริหารจัดการสต๊อก และช่วยคำนวณอายุการใช้งานของดอกไม้ได้ถูก อย่างถ้าเป็นกุหลาบอาจอยู่ได้ประมาณ 5-7 วัน ไฮเดรนเยียอยู่ได้ประมาณ 3-5 วัน สำหรับร้านขายดอกไม้ที่เริ่มต้นมีหน้าร้าน การบริหารจัดการสต๊อกถือเป็นหัวใจสำคัญ ต่างจากขายออนไลน์ ที่ยังสามารถให้ลูกค้าเข้ามาสั่งจองล่วงหน้าได้ และจึงค่อยไปซื้อดอกไม้มาทำให้ ร้านขายดอกไม้ที่มีหน้าร้านต้องมีการจัดดิสเพลย์ให้สวยงาม อีกทั้งยังต้องรองรับกลุ่มลูกค้าขาจรที่อาจจะเดินเข้ามาสั่งด่วน การมีดอกไม้สำรองไว้ใช้ หรือเพื่อให้ลูกค้าเลือก จึงจำเป็นต้องมี ซึ่งหากเป็นร้านขนาดใหญ่ มีพื้นที่ มีการลงทุนซื้อตู้แช่ขนาดใหญ่อาจไม่มีปัญหา แต่สำหรับร้านเล็กๆ มีพื้นที่น้อย อาจจะอาศัยวิธีสั่งบ่อยๆ ในปริมาณที่ไม่มากเกินไปนักมาใช้ เพื่อให้ได้ดอกไม้ที่สดที่สุดส่งมอบให้กับลูกค้า
ภาพรวมตลาดส่งออกไม้ดอกของไทย สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ไม้ดอกไม้ประดับ เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูก จากข้อมูลปี 2562 พบว่าในตลาดโลกมีการส่งออกไม้ดอกที่สำคัญ ได้แก่ ทิวลิป กุหลาบ คาร์เนชั่น เบญจมาศ และกล้วยไม้ ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกไม้ดอกสำคัญ 10 อันดับของโลก ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ โคลัมเบีย เอกวาดอร์ เคนยา เอธิโอเปีย เบลเยียม จีน มาเลเซีย อิตาลี และเบลารุส เป็นต้น โดยประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 11 ตลาดส่งออกไม้ดอกสำคัญของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น เวียดนาม สหรัฐอเมริกา จีน อิตาลี เกาหลีใต้ เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความสำคัญกับการส่งออกไม้ดอกของไทย โดยเฉพาะการส่งออกไปอาเซียนที่มีการส่งเสริมการใช้สิทธิ FTA ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 9 ประเทศ และเมื่อเปรียบเทียบการส่งออกไม้ดอกของไทย ก่อนที่จะมีความตกลง FTA (พ.ศ. 2535) กับปี 2562 พบว่า อัตราการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกดอกกล้วยไม้ ที่ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 441 ต่อปี
และแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะกระทบต่อการส่งออกไม้ดอกของไทย ในด้านความต้องการที่ลดลง รวมถึงปัญหาการขนส่งระหว่างประเทศ แต่คาดว่าเมื่อสถานการณ์ โควิด-19 คลี่คลายลง คู่ค้าของไทยจะกลับมามีความต้องการไม้ดอกมากขึ้น
สำหรับโอกาสการค้าไม้ดอกภายในประเทศ สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้คนมีเวลาเพิ่มขึ้นจากวิถีการปรับเปลี่ยนมาทำงานที่บ้าน ทำให้มีเวลาในการทำงานอดิเรกมากขึ้นทั้งการตกแต่งสวน การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงการจัดงานและแสดงความยินดีในเทศกาลต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีกระแสการท่องเที่ยวจากการเที่ยวฟาร์มดอกไม้ ทำให้ขณะนี้มีเกษตรกรบางกลุ่ม รวมตัวกันดำเนินธุรกิจประเภท farm visit ควบคู่ไปกับการส่งออกไม้ตัดดอกอีกด้วย ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
โดย ก.พาณิชย์ เตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไม้ดอกส่งออกภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เช่น ระเบียบที่ควบคุมการส่งออกกล้วยไม้สด ได้แก่ การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า การตรวจคุณสมบัติของสินค้าด้านถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อขอใช้สิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร เป็นต้น เพื่อเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการค้าตลอดจนรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดโลกไว้ รวมทั้ง เพิ่มช่องทางตลาดใหม่ให้กับผู้บริโภคเข้าถึงผู้ผลิตโดยตรง หรือการส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวสวนดอกไม้ โดยการสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ชึ่งช่วยกระจายรายได้ให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง