ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรมเจ้าท่า เดินเครื่องเต็มสูบสำหรับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งทางทะเล (Maritime Hub) ผุดท่าเรือมารีน่า 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล รับลูกนโยบาย “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม รวมทั้ง ผลักดันโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (cruise terminal) เป็นศูนย์กลางการเดินเรือสำราญขนาดใหญ่ของภูมิภาคเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังจ่ายสูง
ประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลทั้งด้านอ่าวไทยและอันดามันรวมกว่า 3,000 กิโลเมตร มีทรัพยากรเกาะแก่ง แหล่งท่องเที่ยว และเมืองริมชายฝั่งที่มีความสวยงาม มีชื่อเสียง ดังจะเห็นได้จากการที่หนังสือพิมพ์ Daily Star ของประเทศอังกฤษ เผยแพร่ผลการจัดอันดับในบทความ “20 อันดับชายหาดสวยที่สุดในโลก” (World's 20 most beautiful beaches) โดยแนะนำสถานที่ที่ควรค่าแก่การเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดฤดูร้อนมากที่สุดภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการรวบรวมข้อมูลจากคำค้นหา “ชายหาดที่สวยที่สุด” ที่มีสถิติการค้นหาที่เพิ่มขึ้นกว่า 220% รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่โพสต์บน Instagram และจำนวนบทความในสื่อโซเชียลมีเดียที่มีคำว่า “สวย”ผลของการค้นหาดังกล่าว พบชายหาดของไทยติด 20 อันดับแรกถึง 2 ชายหาดคือ หาดซันไรซ์ เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ติดอันดับที่ 6 และอ่าวมาหยา เกาะพีพีเล จังหวัดกระบี่ ติดอันดับที่ 12
ที่สำคัญคือ มีนักท่องท่องเที่ยวกระเป๋าหนักนิยมล่อง เรือยอร์ช แวะเวียนมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา นาย Alexander Alexandrovich Svetakov ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ประธานกลุ่ม Absolut ผู้ก่อตั้ง Absolut Investment Group และ Absolut Ban Wk ซึ่งเป็นนายธนาคารใหญ่ในเมือง Falmouth ชายฝั่งทางใต้ของ Cornwall สหราชอาณาจักร ล่องเรือซูเปอร์ยอชต์ ชื่อ “Cloudbreak” มูลค่า 90 ล้านปอนด์ หรือ 3,900 ล้านบาท พร้อมผู้โดยสารจำนวน 13 คน และลูกเรือ 6 คน มาพักผ่อนบริเวณหน้าอ่าวเกาะเต่า ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี
หรือก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านม นายโจ ลูวิส (Jo Lewis) นักธุรกิจชาวอังกฤษ ผู้ถือหุ้นใหญ่เจ้าของทีมฟุตบอลท็อตแนมฮ็อตสเปอร์ ทีมชั้นนำพรีเมียร์ลีกอังกฤษ และเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 41 ของซันเดย์ไทม์ ได้นำเรือซูเปอร์ยอชต์พาครอบครัวเดินทางมาพักผ่อนบริเวณหน้าอ่าวเกาะสมุยหลายวัน ถือเป็นนักท่องเที่ยวคณะแรกที่เดินทางเข้าเกาะสมุยโดยเรือยอชต์จากมาตรการเปิดประเทศ ซึ่งแสดงถึงศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่ยังคงสวยงาม และชาวต่างประเทศเลือกเป็นอันดับต้นๆ
นอกจากนั้น ไทยยังเป็น destination เรือสำราญแวะสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งเป็นที่มาของแผนพัฒนาท่าเรือชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย เพื่อสนับสนุนการเดินทางและการท่องเที่ยว ตั้งเป้าพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเรือสำราญเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ 10 ปี (2561 - 2570) ยกระดับประเทศไทยเป็น Maritime Hub ในภูมิภาค โดยกระทรวงคมนาคมมีนโยบายผลักดันการลงทุนก่อสร้างท่าเรือสำราญ และมีกรมเจ้าท่าเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบ รองรับเศรษฐกิจการท่องเที่ยวยุคหลังโควิด อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ทางน้ำเพื่อผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมในภูมิภาค และขยายขีดการแข่งขันของประเทศไปพร้อมๆ กัน
ล่าสุด กรมเจ้าท่า (จท.) เร่งเดินเครื่องแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งทางทะเล (Maritime Hub) ปั้น โครงการท่าเรือมารีน่าชุมชน 1 จังหวัด 1 ท่า หรือ ทั้งหมด 6 ท่า ใน 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล โดยลักษณะของท่าเรือ จะเป็นเรือสำราญขนาดเล็ก รองรับเรือขนาดตั้งแต่ 30 - 40 ลำ หรือสูงสุดไม่เกิน 100 ลำ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยวทางทะเลระหว่างประเทศของไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ เปิดเผยรายละเอียดว่า จะเริ่มแผนการศึกษาระหว่างปี 2566 - 2567 ก่อนเริ่มดำเนินการในพื้นที่ ซึ่งจำนวนเม็ดเงินการลงทุนขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ มีการกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมาย จะมีเนื้อที่เท่าใด และแบบการก่อสร้างมารีน่าในของแต่ละจังหวัด ที่จะถูกออกแบบขึ้นจะมีขนาดใหญ่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเมื่อได้มีการกำหนดพื้นที่และมีการออกแบบท่าเรือมารีน่าแล้ว จะมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ตามที่มีการออกแบบขึ้นต่อไป
“การพัฒนามารีน่าชุมชนนี้ เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว เข้ามาสู่พื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นำเรือสำราญขนาดเล็กหรือเรือใบ มาจอด แน่นอนก็จะนำมาซึ่ง เม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยวที่หมุนเวียนสะพัดในแต่ละชุมชนมากขึ้น” รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ ระบุ
ก่อนหน้านี้ กรมเจ้าท่ามีแผนพัฒนาท่าเรือชายฝั่งอันดามันระหว่างปี 2561 - 2567 จำนวน 13 ท่า โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือปากเมง จังหวัดตรัง (ท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลตรัง ถ้ำมรกต เกาะมุก เกาะกระดาน) ท่าเรือสุระกุล จังหวัดพังงา (ท่องเที่ยวอ่าวพังงา เกาะปันหยี เขาพิงกัน เกาะเจมส์บอนด์ (เขาตะปู)) ท่าเรือเกาะลันตาใหญ่ และท่าเรือศาลาด่านตั้งอยู่ที่เกาะลันตาน้อย (ท่องเที่ยวดำน้ำ และเชื่อมโยงไปยังเกาะพีพี เกาะรอก หาดปากเมง) ท่าเรือสวนสาธารณะธารา ท่าเรือท่าเล จังหวัดกระบี่ (สนับสนุนการเดินทางข้ามฟากระหว่างเทศบาลเมืองกระบี่ที่ท่าเรือสวนสาธารณะธารา ไปยังท่าเรือท่าเล ตั้งอยู่บนเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์ ที่มีชุมชนอาศัยอยู่ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีเกษตร) รวมทั้ง ท่าเรืออยู่ระหว่างดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2565 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ เป็นท่าเรือต้นทาง - ปลายทาง ไปยังเกาะพีพี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก
โดยแผนพัฒนา ปี 2567 - 2569 จำนวน 6 แห่ง โดยมีท่าเรือ 4 แห่งอยู่ในเส้นทางเดินเรือขนส่งผู้โดยสารและรถยนต์ เชื่อมโยงจากจังหวัดกระบี่ – พังงา – ภูเก็ต ร่นระยะเวลาเดินทางจากจังหวัดกระบี่ไปจังหวัดภูเก็ตลง 1.5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับทางบก ได้แก่ ต้นทางที่ท่าเรือเฟอร์รี่ท่าเลน จังหวัดกระบี่ ปลายทางที่ท่าเรือเฟอร์รี่อ่าวปอ จังหวัดภูเก็ต และท่าเรือที่อยู่ในเส้นทางได้แก่ท่าเรือมาเนาะห์ และท่าเรือช่องหลาด จังหวัดพังงา และมีแผนพัฒนาท่าเรืออีก 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ ได้แก่ ท่าเรืออ่าวน้ำเมา และท่าเรือเกาะพีพี
ขณะที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย กรมเจ้าท่า มีแผนพัฒนาท่าเรือชายฝั่งอ่าวไทยระหว่างปี 2563 - 2567 จำนวน 3 ท่า คือ อยู่ระหว่างดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในปี2565 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือปะทิว จังหวัดชุมพร (ท่องเที่ยวดำน้ำดูฉลามวาฬ ที่เกาะร้านเป็ด เกาะร้านไก่) ท่าเรือใหม่ที่จะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2566 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ท่าเรืออ่าวมะขามป้อม จังหวัดระยอง (ท่องเที่ยวเกาะมันนอก มันกลาง มันใน และเชื่อมโยงไปยังเกาะเสม็ด อันมีชื่อเสียงได้) รวมทั้งมีแผนพัฒนาปี 2566 - 2568 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือเกาะกูดซีฟร้อนท์ จังหวัดตราด สนับสนุนการเดินทางและการท่องเที่ยวเชื่อมจากท่าเรือแหลมศอกไปยังเกาะกูด
ทั้งนี้ ท่าเรือมารีนาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นจำนวนมาก กระตุ้นการท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวสร้างรายได้ สร้างโอกาสแก่ประชาชน
สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการเป็นฮับเรือสำราญของประเทศไทยนั้น กรมเจ้าท่าดำเนินการโครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (cruise terminal) เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการจัดสัมนาเพื่อประเมินความสนใจนักลงทุนภาคเอกชนเมื่อช่วงเดือน มี.ค. 2565
โดยเสนอรายงานไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณา และเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เพื่อดำเนินการตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 จากนั้นเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติภายในปี 2566 เปิดประกวดราคาในปี 2567 เริ่มก่อสร้างในปี 2568 ก่อนเปิดบริการในปี 2571
ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจเดินเรือสำราญทั่วโลกพบว่า ระหว่างปี 2554 – 2563 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเรือสำราญทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5.3% ปี 2554 มีจำนวน 20.50 ล้านคน ปี 2557 เพิ่มเป็น 22.34 ล้านคน ปี 2560 เพิ่มเป็น 26.70 ล้านคน และปี 2562 ขยับสูงขึ้นเป็น 30 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งใน Destination การท่องเที่ยวเรือสำราญของโลก และไทยมีอัตราเติบโตของจำนวนครั้งที่เรือสำราญเทียบท่าสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ระหว่างปี 2554 - 2562 มีการเติบโตจำนวนครั้งที่เรือสำราญเทียบท่าสูงสุด 87.7% ซึ่งในปี 2562 มีการเทียบท่าสูงถึง 550 ครั้ง และมีการเทียบท่าที่เกาะสมุย 59 ครั้ง สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากท่าเรือภูเก็ต กับท่าเรือแหลมฉบัง
คาดการณ์ว่าหากโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่ามีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการ Cruise Terminal ในปี 2571 อาจทะลุ 2 แสนคน ปี 2580 จะเพิ่มเป็น 3 แสนคน ปี 2590 เพิ่มเป็น 4 แสนคน และปี 2600 ตัวเลขจะอยู่ราวๆ 5 แสนคน
นายวรรณชัย บุตรทองดี ผู้อำนวยการกองวิศวกรรม กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการ Cruise Terminal เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP net cost วงเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายตลอดโครงการ 12,146 ล้านบาท โดยรัฐร่วมลงทุนในสัดส่วน 53.8% วงเงิน 6,533 ล้านบาท อาทิ ค่าเวนคืนที่ดิน ค่างานก่อสร้างโยธา และค่างานระบบภายในอาคารทั้งหมด เอกชนลงทุนสัดส่วน 46.2% จำนวน 5,613 ล้านบาท อาทิ อุปกรณ์และส่วนควบ การดำเนินงาน และบำรุงรักษาท่าเรือ สัมปทาน 30 ปี
ประเมินว่าจะกระตุ้นศรษฐกิจตามที่คำนวณไว้ 32,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นธุรกิจบริการท่องเที่ยวในบริเวณเมือง (shore excursion) 25% ธุรกิจจำหน่ายสินค้าที่ระลึก 23% ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 20% ธุรกิจสันทนาการต่าง ๆ 14% ธุรกิจคมนาคมขนส่ง 12% และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ 6%
นายวัฒนา โชคสุวณิช กรรมการคณะกรรมการการท่องเที่ยวคุณภาพสูง หอการค้าไทย และนายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจเรือสำราญไทย เปิดเผยว่าการท่องเที่ยวเรือสำราญในประเทศไทยนั้น จังหวัดภูเก็ต มีเรือสำราญเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 200 เที่ยวเรือ ในปี 2561 เป็นลำดับที่ 7 ขณะที่ภูเก็ตยังไม่มีท่าเทียบเรือสำราญและอาคารผู้โดยสารที่ได้มาตรฐานเลยก็ตาม ดังนั้น การสร้างท่าเรือสำราญที่พัทยาจะทำให้การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพได้อย่างรวดเร็วและได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จากรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จากโครงสร้างพื้นฐานด้าน การขนส่งที่รัฐบาลได้วางเอาไว้แล้ว
ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 3 ของประเทศที่มีเรือสำราญเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุดของเอเชีย ทำให้เห็นได้ว่าเมืองท่าเรือสำราญของไทยได้รับความสนใจและการยอมรับจากสายเรือสำราญอยู่แล้ว การสร้างความร่วมมือกับสายการเดินเรือสำราญในการพัฒนาเมืองท่าเรือสำราญจะทำให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดมากยิ่งขึ้น นำรายได้จากการท่องเที่ยวที่ได้จากปริมาณและคุณภาพของนักท่องเที่ยวเรือสำราญ บรรลุเป้าหมายในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือระหว่างปี 2561-2580 ได้อย่างเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเรือสำราญเริ่มฟื้นตัวหลายบริษัทหลายประเทศกลับมาให้บริการอีกครั้ง ผู้ประกอบการทั่วโลกประเมินว่าธุรกิจเรือสำราญจะฟื้นเต็มตัวในปี 2566 และกลับมาขยายตัวมากกว่าปี 2562 ที่เริ่มเกิดโควิดระบาด หรือขยายตัวอีก 2-3 เท่าตัวภายในปี 2569 เนื่องจากเรือสำราญทั่วโลกมีการขยายขนาดเรือเพื่อเพิ่มผู้โดยสาร ที่กำลังต่อเรือที่สามารถบรรจุคนได้ถึง 6,780 คน และการเปิดท่าเรือใหม่ๆ รวมถึงในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่ได้รับความสนใจในการลงทุนทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา สตูล สุราษฎร์ธานี และชลบุรี
นี่นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ พร้อมนำพาประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งทางทะเล (Maritime Hub)