ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ก่อนจะเป็นกำแพงหมื่นลี้ (ต่อ)
อย่างไรก็ตาม แนวคิดในการสร้างกำแพงเพื่อประโยชน์ต่อความมั่นคงดังกล่าว กำแพงจึงแยกไม่ออกจากการทหารไปด้วย เพราะเมื่อมีกำแพงแล้วก็ย่อมมีทหารเข้าเวรยามเฝ้ากำแพง ทหารเหล่านี้จะคอยสอดส่องและรายงานความเคลื่อนไหวเมื่อมีกองกำลังต่างรัฐปรากฏขึ้น
ด้วยเหตุนี้ แต่ละช่วงของกำแพงจะมีป้อมสัญญาณไฟเพื่อใช้แจ้งเตือนความเคลื่อนไหวนั้น ทำให้รัฐที่มีกำแพงนี้เตรียมการตั้งรับได้ทันท่วงที และจากหน้าที่ที่มีประโยชน์ต่อความมั่นคงเช่นนี้จึงทำให้จีนในยุคหลังๆ ต่อมาให้ความสำคัญกับกำแพงอยู่เสมอ
ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ยุควสันตสารทกับยุครัฐศึกถือเป็นต้นกำเนิดของกำแพงเมืองจีนที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ โดยแต่ละรัฐในสองยุคนี้ได้สร้างกำแพงของตนด้วยความยาวระหว่าง 3,000-4,000 ลี้ รัฐที่มีกำแพงยาวน้อยกว่านี้ก็นับได้หลายร้อยลี้ แต่จนถึงเวลานั้นคำว่า “กำแพงหมื่นลี้” ก็ยังไม่ได้เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เรียกขานกำแพงเมืองจีนแต่อย่างใด
กำเนิดกำแพงหมื่นลี้
ความขัดแย้งแตกแยกในจีนเมื่อเดินมาถึงยุครัฐศึกนั้น รัฐที่ทรงอิทธิพลเหลืออยู่เจ็ดรัฐคือ เอียน ฉี เว่ย เจ้า หัน ฉิน และฉู่ โดยรัฐทั้งเจ็ดนี้ยังคงทำศึกในระหว่างกันเพื่อให้ตนเป็นผู้ครองแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียว จนในที่สุดรัฐที่สามารถกำราบรัฐทั้งหกได้สำเร็จก็คือ ฉิน
รัฐฉินถือเป็นรัฐเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโจวตะวันตก ตอนกลางของรัฐเป็นแอ่งแม่น้ำเว่ยที่ตั้งอยู่สุดทางตะวันตกในยุครัฐศึก ถือเป็นรัฐที่มีความอุดมสมบูรณ์ถึงแม้จะเป็นแอ่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขา แต่ก็เป็นภูมิประเทศที่เอื้อต่อการผลิตและมีความมั่นคงที่ดียิ่ง
รัฐฉินมีด่าน (pass) ที่จะเข้าสู่ใจกลางรัฐได้เพียงสองช่องทางคือ ทางทิศตะวันออกที่ช่องเขาหันกู่ทางหนึ่งกับทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ช่องเขาอู่อีกทางหนึ่ง ส่วนทางใต้เป็นที่ตั้งของรัฐสู่และปา ที่ตั้งของรัฐทั้งสองนี้ก็คือมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ รัฐฉินจึงเป็นภาคที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “กวานจง” ที่หมายถึง ดินแดนที่มีด่านกั้นจากภายในซึ่งเป็นด่านธรรมชาติ และทำให้รัฐนี้มีภัยคุกคามจากชนชาติหญงเพียงชนชาติเดียวที่มักเข้ามาปล้นสะดมอยู่เสมอ แต่ฉินก็สามารถป้องกันตนเองได้แทบทุกครั้ง จนถึงช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 5 ก.ค.ศ. รัฐฉินจึงปราบปรามชนชาตินี้ได้สำเร็จ
อนึ่ง ชนชาติหญงเป็นหนึ่งใน “ชนชาติแห่งทิศทั้งห้า” ที่ประกอบไปด้วย ชนชาติหมาน อี๋ หญง และตี๋ โดยหญงเป็นชนชาติที่อยู่กระจัดกระจายตามที่ราบสูงภาคเหนือที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ที่ในปัจจุบันคืออาณาบริเวณมณฑลสั่นซี เหอเป่ย และซันตง
ชนชาติหญงยังแบ่งออกเป็นอนุชนชาติได้อีกหลายชนเผ่าด้วยกัน เช่น เป่ยหญงหรือหญงเหนือที่อาศัยอยู่ตรงอาณาบริเวณรัฐจิ้น เจิ้ง ฉี และสี่ว์ หรือซันหญงหรือหญงภูเขาที่อาศัยอยู่ที่อาณาบริเวณรัฐเอียนและฉี ส่วนชนชาติหญงที่กระจายอาศัยอยู่ตามรัฐอื่นๆ ที่เหลือประกอบไปด้วยหลีหญง ฉ่วนหญง ลู่หุนหญง และอีลว่อหญง เป็นต้น
คำเรียกอนุชนชาติหญงดังกล่าวจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและสถานที่ อีกทั้งแหล่งอ้างอิงแต่ละที่ก็ยังเรียกอนุชนชาติเหล่านี้แตกต่างกันไปอีกด้วย จึงเป็นไปได้ยากที่จะระบุลักษณะทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมของชนชาติหญงได้อย่างชัดเจน
รัฐฉินเป็นรัฐที่มีภูมิหลังน่าสนใจมาก กล่าวคือ ในบันทึกและปกรณ์บางฉบับระบุว่า แต่เดิมกลุ่มชนที่เป็นชาวฉินคือชนต่างชาติ (alien) หรือชนชาติที่มิใช่จีน หรือหากจะเป็นชนชาติฮั่นหรือจีนก็เป็นจีนที่อยู่ปะปนกับชนป่าเถื่อนมาก่อน ในประการหลังนี้หมายความว่า ชาวฉินได้ซึมซับเอาธรรมเนียมหรือประเพณีของชนป่าเถื่อนมาใช้กับตนด้วย
แต่ไม่ว่าชาวฉินจะเป็นชนชาติใดในสองชนชาติที่ว่า (คือเป็นชนต่างชาติหรือชนชาติฮั่นหรือจีนที่อยู่ปะปนกับชนป่าเถื่อน) สิ่งที่พบคือ ชาวฉินมีธรรมเนียมประเพณีเหมือนกับชนป่าเถื่อน โดยเฉพาะชนชาติหญงกับชนชาติตี๋
นั่นคือ มีจิตใจเยี่ยงเสือกับสุนัขป่ารวมกัน มีความละโมบ เล็งแต่ผลกำไร ไม่น่าไว้วางใจ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับแบบแผนการดำเนินชีวิต หน้าที่ หรือศีลธรรมจรรยาใดๆ และคิดแต่จะกลืนกินโลกทั้งใบให้ได้ ชาวฉินจึงเป็นศัตรูที่ถาวรของชนทั้งผองในใต้หล้า
นอกจากนี้ ปกรณ์บางฉบับยังระบุอีกว่า ขุนนางฉินนามว่า ซังยัง (มรณะ ก.ค.ศ.338) เคยเล่าด้วยว่า พวกฉินถูกเสี้ยมสอนมาโดยพวกหญงกับพวกตี๋ ทำให้บิดากับบุตรไร้ความแตกต่าง พวกเขาจึงร่วมหลับนอนอยู่ในห้องเดียวกัน “...ข้าจึงปฏิรูปด้วยการสอนให้พวกเขารู้จักแยกกันอยู่ระหว่างบุรุษกับสตรี”
คำบอกเล่านี้บอกเป็นนัยว่า แต่เดิมชาวฉินมิได้แยกการหลับนอนระหว่างบุพการีกับบุตรหลานของตน ซึ่งเป็นไปได้ว่าชาวฉินอาจจะมีการสมสู่กันในหมู่พ่อแม่ลูกหรือพี่น้องด้วยกันเอง
แต่ก็ด้วยภูมิหลังของฉินจากที่กล่าวมาก็มีผลไม่น้อยต่อพฤติกรรมของชาวฉิน โดยเฉพาะเมื่อตั้งราชวงศ์ได้แล้ว พฤติกรรมที่ดูอนารยะจึงยังปรากฏให้เห็นอยู่ ถึงแม้จะได้รับการปฏิรูปจากซังยังแล้วก็ตาม
อนึ่ง ซังยัง (มรณะ ก.ค.ศ.338) เป็นวิชาธรคนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน แต่เดิมเป็นผู้ดีตกยากมีแซ่ว่า กงซุน ผู้คนจึงเรียกเขาว่า กงซุนยัง รัฐฉินโดยฉินเซี่ยวกง (เจ้าพระยาเซี่ยวแห่งรัฐฉิน, ปกครอง ก.ค.ศ.361-338) ได้รับเขามาเป็นขุนนาง และเขาก็ปฏิรูปจนทำให้ฉินแข็งแกร่งขึ้นมา จนเขาได้รับความดีความชอบด้วยการถูกตั้งให้เป็นผู้ปกครองเมืองซัง (ซึ่งคืออำเภอซังของมณฑลสั่นซีในปัจจุบัน) นับแต่นั้นมาผู้คนจึงเรียกขานเขาว่า ซังยัง
แต่เนื่องจากการปฏิรูปของเขาไปขัดผลประโยชน์ของชนชั้นผู้ดีและขุนนางจำนวนหนึ่ง จากเหตุนี้ เมื่อฉินเซี่ยวกงสิ้นชีพเขาจึงไร้ผู้ปกป้องคุ้มครอง และเป็นเหตุให้เหล่าคนที่ไม่พอใจเขาทำการจับกุมเขามาประหารชีวิต ซังยังถูกประหารด้วยวิธีที่เรียกว่า “ห้าอาชาแยกร่าง” (อู๋หม่าเฟินซือ) อันเป็นวิธีที่ใช้เชือกมัดแขนขาทั้งสี่และศีรษะของผู้ถูกประหาร แล้วผูกไว้กับม้าศึกหรือรถศึกเทียมม้า จากนั้นก็จะให้ม้าควบไปข้างหน้าทั้งห้าทิศเพื่อดึงร่าง แรงดึงของม้าจะฉีกร่างของผู้ถูกประหารขาดจากกันเป็นห้าเสี่ยง
ที่สำคัญ การประหารชีวิตครั้งนี้ใช่แต่จะประหารซังยังคนเดียว หากเป็นการประหารทั้งโคตร
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินสามารถครอบครองดินแดนทั้งหมดนี้ได้ในระหว่าง ก.ค.ศ.441 ถึง 316 ทำให้ฉินกลายเป็นรัฐที่มีผลิตภาพสูงจนถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเสมือน “ตะกร้าธัญพืช” (grain basket) ที่ตอบสนองทางด้านเสบียงให้แก่รัฐนี้ในยามศึกที่เริ่มถี่ขึ้นในราวศตวรรษที่ 3 ก.ค.ศ.
ในปลายยุครัฐศึก รัฐฉินมีกษัตริย์คือ อิ๋งเจิ้ง หรือกษัตริย์เจิ้ง (ครองราชย์ ก.ค.ศ.246-210) ตอนนั้นรัฐฉินมีความเข้มแข็งมากแล้ว และภายใต้การนำของกษัตริย์เจิ้งก็สามารถนำชัยชนะมาให้แก่รัฐฉินได้ในที่สุด เมื่อทัพฉินกำราบอีกหกรัฐได้สำเร็จ
การเอาชนะหกรัฐที่เหลือได้สำเร็จทำให้จีนถูกรวบรวมเป็นแผ่นดินเดียวกัน หลังจากต้องเผชิญกับความแตกแยกเป็นเวลานานหลายร้อยปี และทำให้ความคิดที่ว่าจีนจะต้องเป็นแผ่นดินเดียวกันที่มีเอกภาพถูกปลูกฝังนับแต่นั้นมา โดยเมื่อคราใดที่จีนเกิดแตกแยกไร้เอกภาพ ก็จะมีผู้กล้าตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมามากกว่าหนึ่ง แล้วผู้กล้าเหล่านี้ก็ห้ำหั่นทำศึกกันเพื่อรวบรวมจีนเป็นแผ่นดินเดียวกันเสมอมา