สองศรีพี่น้องตระกูล “ราชปักษา” หรือ “นกใหญ่” หรือนกยักษ์ ผู้มีอำนาจบารมีล้นฟ้า ครองอำนาจด้วยความแข็งกร้าว พร้อมชัยชนะจากสงครามกลางเมืองที่สามารถปราบกบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลมได้อย่างเหี้ยมโหด แต่ราบคาบและทิ้งแผลเป็นแห่งความแค้นในลูกหลานของฝ่ายกบฏ รวมทั้งสหประชาชาติที่สองพี่น้องนกใหญ่แห่งศรีลังกาใช้ความรุนแรงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักในการปราบปรามฝ่ายกบฏเยี่ยงการปิดประตูตีแมวเช่นนั้น
ในการล้อมปรามพยัคฆ์ทมิฬ คนน้องของราชปักษาดำรงตำแหน่งรมต.กลาโหม และด้วยความเหี้ยมโหดในการใช้อาวุธสงครามถล่มเพื่อนร่วมชาติพยัคฆ์ทมิฬ เขาจึงได้รับฉายาว่านักฆ่า (Terminator) ที่โหดเหี้ยม และต่อมาได้มีการสลับตำแหน่งกับพี่ชายคนโต (ชื่อมหินทรา) โดยพี่ชายได้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วให้น้องชายนักฆ่าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน
ผู้น้องของตระกูลราชปักษาก็คือ ปธน.โกตาพญา แห่งศรีลังกา ที่ครองอำนาจร่วมกับพี่ชายมหินทรา ในการรวบอำนาจเด็ดขาด และครม.ทั้งคณะก็มีทั้งพี่น้อง, ลูกหลานในตระกูลราชปักษาหลายคนนั่งอยู่ในกระทรวงหลักสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง, กระทรวงคมนาคมและสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ซึ่งแม้ตระกูลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศจากการชนะเลือกตั้ง และการบริหารที่มีอำนาจล้นฟ้าและเต็มไปด้วยพรรคพวกพี่น้อง ทำให้มีการรวมหัวกันปล้นโกงชาติในระดับมหาศาล และทำให้ชาวศรีลังกาที่ส่วนใหญ่ (75%) เป็นชาวพุทธ มีความอดทนอดกลั้นสูงมาก จนไม่ได้ออกมาต่อต้านต่อผู้บริหารฉ้อฉลของชาติในทันที
การบริหารประเทศด้วยญาติพี่น้อง เจ้าเล่ห์ผู้มีอำนาจอยู่ในมือ ได้บริหารผิดพลาดเพื่อเอาใจประชาชนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ด้วยการลดภาษีรายได้ส่วนบุคคลและนิติบุคคล เพื่อแลกกับคะแนนเสียงทางการเมือง จนทำให้รายรับของพรรครัฐบาลลดลงฮวบฮาบ
ขณะเดียวกันก็ออกนโยบายที่ทำให้ผลผลิตภาคเกษตร (เช่น ไร่ชา...ที่ทำรายได้หลักให้แก่ประเทศ) ได้รับผลเสียหาย นั่นคือ การออกนโยบายห้ามนำปุ๋ยเคมีมาใช้ทางเกษตร แต่ก็ไม่มีช่วงเวลาแห่งการปรับตัวของภาคเกษตร ทำให้ผลิตผลภาคเกษตรได้รับความเสียหายมาก
จนมาถึงโรคไวรัสร้ายแห่งศตวรรษคือ โควิด-19 ซึ่งเกิดการล็อกดาวน์ไปทั้งโลก และทำให้รายได้หลักจากการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นการซ้ำเติมการขาดรายได้จากการขายใบชา และซ้ำเติมจากการเปลี่ยนนโยบายการใช้ปุ๋ยอย่างเฉียบพลันที่ทำให้ผลผลิตลดลงมาก
ยิ่งกว่านั้น จากการรุกหนักของจีนที่มีแผนสร้างเส้นทางสายไหมในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) โดยจะสร้างท่าเรือพร้อม Commercial Complex ยักษ์ที่ศรีลังกา ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมสร้างกับรัฐบาลราชปักษา และจีน ในขณะที่รายรับของประเทศกำลังลดลงอย่างฮวบฮาบ และเป็นการลงทุนที่เกินตัว พร้อมกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากเหล่าพี่น้องลูกหลาน “ราชปักษา” ผู้ทรงอำนาจ
มูลค่าเงินของศรีลังกาเริ่มลดลง สะท้อนสภาพการเป็นลูกหนี้ของศรีลังกาที่มองไม่เห็นการฟื้นตัวของรายรับ
ผสมกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนา (หลังการล็อกดาวน์ครั้งใหญ่ ขณะโควิดระบาด) ทำให้ราคาพลังงาน และอาหารพุ่งขึ้นในช่วงปลายปีที่แล้ว (2021) ก่อนสงครามยูเครนด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ศรีลังกาประสบปัญหาไม่มีพลังงานและอาหารเพียงพอ เพราะขาดเงินตราต่างประเทศที่จะนำเข้าสินค้าจำเป็นเหล่านี้
ชาวศรีลังกา ต้องยอมทนต่อความยากลำบากกับราคาแก๊สหุงต้ม, ค่าน้ำมันสำหรับค่าโดยสารและการเดินทางขนส่ง รวมทั้งข้าวปลาอาหาร และยารักษาโรคที่แพงขึ้นอย่างสาหัส ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว รวมทั้งการท่องเที่ยงก็ยังไม่ฟื้นกลับคืนมา
พอมาต้นปีนี้ จากการคว่ำบาตรของประเทศตะวันตกต่อพลังงาน และสินค้าทางธัญพืชจากรัสเซีย ยิ่งทำให้ชาวศรีลังกาต้องเจอกับภาวะขาดอาหาร, ยา และพลังงานหนักยิ่งขึ้น หันมาเผชิญหน้ากดดันรัฐบาล จนมีการประท้วงประปราย ผู้คนเริ่มอดอยากยากแค้นยิ่งขึ้น
รัฐบาลพี่น้องทรราชได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน และสั่งให้ทหารยิงผู้ประท้วงทันทีด้วยกระสุนจริง ซึ่งทำให้ผู้ประท้วงต้องเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่งและบาดเจ็บจำนวนมาก
การเผชิญหน้าของผู้ชุมนุมจำนวนมาก กดดันให้นายกฯ มหินทรา และครม.ทั้งคณะต้องจำใจลาออก แต่ปธน.โกตาพญา ยังหวงอำนาจต่อไป-ไม่ยอมลาออก-และได้ตั้งนายกฯ ของตนขึ้นมาใหม่ คือ วิกรมสิงเห
ความอดอยากยากแค้นนำมาสู่วันแตกหักที่เปลี่ยนประชาชนจากผู้ถูกล่า-มาเป็นผู้ล่า ด้วยการชุมนุมใหญ่เป็นหลายแสนคนไม่กลัวกระสุน บุกทะลุทะลวงแหกด่านกีดขวางเพื่อบุกเข้าไปตามล่าหาปธน.โกตาพญาที่บ้านพักประจำตำแหน่งปธน.
ปธน.โกตาพญาหนีมหาฝูงชนที่เคียดแค้นรีบออกมาได้อย่างเฉียดฉิว ไปหลบอยู่ในเรือรบ ขณะที่ฝูงชนได้เข้าครอบครองบ้านพัก ทั้งบ้านประจำตำแหน่ง และบ้านพักส่วนตัวอย่างภาพที่ชาวโลกได้เห็น ขณะที่หน่วยควบคุมจลาจลต่างดูอยู่เฉยๆ เพราะจำนวนผู้ประท้วงมาจากทั่วสารทิศ และมีจำนวนมากเกินกว่ากำลังของฝ่ายงานตำรวจจะจัดการได้ และเป็นผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ เป็นการประท้วงอย่างสันติเท่านั้น
บีบีซีรายงานว่า-ปธน.โกตาพญาต้องการออกนอกประเทศ แต่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองไม่ยอมให้หนีจากฝูงชนไปได้...ได้ต่อรองกันอยู่เกือบ 24 ชม....ขณะที่นายกฯ วิกรมสิงเห ได้ออกแถลงการณ์ว่า ตนพร้อมลาออกและปธน.ก็เช่นกัน โดยจะลาออกในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้
ข่าวต่างประเทศรายงานว่า ปธน.โกตาพญาได้เดินทางโดยเครื่องบินไปยังเกาะมัลดีฟส์อย่างเร่งด่วน ขณะที่ฝูงชนเจ้าของประเทศยังปักหลักอยู่ในทำเนียบปธน.อย่างไม่ยอมถอย จนกว่าจะมีการลาออกอย่างจริงจังของทั้งปธน.และนายกฯ เพื่อให้สภาฯ เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เพื่อบริหารประเทศ (ชั่วคราว) ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่