xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา “บิ๊กตู่”พลิกเกม“หาร 500” สกัด “เพื่อไทย” แลนด์สไลด์ ส้มหล่นทับ “ค่ายก้าวไกล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียบร้อยโรงเรียน “ลุงตู่” ไปเป็นที่เรียบร้อย หลังที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้ลงมติใน “มาตรา 23” แห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. (ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ) ที่ว่าด้วย “วิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ” ในวาระที่ 2 ผ่านพ้นไปเป็นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และปรากฏออกมาว่า หลังจากใช้เวลาถกกันอย่างดุเดือดอยู่หลายชั่วโมง ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติโหวต “ไม่เห็นชอบ” กับการคงร่างเดิมซึ่งใช้สูตร “หาร 100” ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเแล้วเสร็จ

ก่อนที่จะลงมติ “เห็นชอบ” ร่างของ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะผู้ขอสงวนคำแปรญัตติ ที่เป็นสูตร “หาร 500” ไปด้วยคะแนน 354 ต่อ 162 งดออกเสียง 37 ไม่ลงคะแนน 4

แต่การพิจารณาร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ ก็ยังไม่เสร็จสิ้น ค้างเติ่งอยู่ในวาระที่ 2 และนัดหมายมาพิจารณาต่อในเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฏาคม 2565 นี้ พร้อมทั้งพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ที่อยู่ในวาระต่อไปด้วย

เป็นอันว่า 2 กฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งน่าจะจบในชั้นที่ประชุมรัฐสภาภายในเดือนกรกฎาคม 2565 นี้ เพื่อเตรียมรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่เกิดได้ทุกขณะในช่วงปลายเทอมของรัฐบาลชุดนี้ ที่จะครบวาระในเดือนมีนาคม 2566

อย่างไรก็ดี เส้นทางของ 2 กฎหมายลูกยังต้องผ่านกระบวนการตามมาตรา 132 (2) แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดว่า “ภายใน 15 วันนับแต่วันที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภาส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นไปยังศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความเห็น ในกรณีที่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ไม่มีข้อทักท้วงภายใน 10 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างดังกล่าว ให้รัฐสภาดำเนินการต่อไป”

หากนับถึงนาทีนี้หน้าตาของ “กติกาเลือกตั้ง” ที่จะใช้ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้า จะเป็นไปในรูปแบบใช้ “บัตร 2 ใบ” มี ส.ส.เขต 400 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มี 350 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ลดลงจากเดิมที่มี 150 คน

ผิวเผินคล้ายคลึงกับกติกาเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เคยใช้ในการเลือกตั้งปี 2544 และ 2548 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งในยุค “ไทยรักไทยฟีเวอร์” กล่าวคือในการเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้ที่นั่ง ส.ส. 248 จาก 500 ที่นั่ง และจัดตั้งรัฐบาลโดยมี “นายใหญ่ดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลทักษิณ 1

ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2548 จะประกาศศักดาได้ถึง 377 จาก 500 ที่นั่ง พร้อมจัดตั้งรัฐบาลทักษิณ 2 ที่สร้างประวัติศาสตร์จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงขั้นที่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดย “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ มีเสียงในสภาฯไม่เพียงพอที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ด้วยซ้ำ

ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของ “ระบอบทักษิณ” ภายใต้กติกาบัตร 2 ใบ ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ก็เป็นที่มาของการที่ “ค่ายเพื่อไทย” ใน พ.ศ.นี้ที่หาญกล้าประกาศแคมเปญ “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ล่วงหน้า หลังจากเริ่มมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และมีแนวโน้มจะกลับไปใช้กติกาที่คล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญ 2540

มั่นใจถึงขั้นแต่งตัว “ลูกอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดเลิฟเข้าสู่การเมือง เตรียมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยไว้เรียบร้อยแล้ว

เดิมทีฝ่ายรัฐบาลในซีกของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็เห็นดีเห็นงามกับกติกาบัตร 2 ใบ ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน มาโดยตลอด เพราะเห็นว่ามีโอกาสทำให้พรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคใหญ่เติบโตขึ้น

ว่ากันว่าความคิดฝังหัว “พล.อ.ประวิตร” ที่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะใหญ่ขึ้นภายใต้กติกาบัตร 2 ใบ-ปาร์ตี้ลิสต์หาร 100 นั้น ก็มาจาก “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขุนพลข้างกาย “นายป้อม” เมื่อครั้งเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถูกมองว่ามี “ดีลลับ” กับขั้วตรงข้าม

ต่างจากฝ่ายรัฐบาลในซีกของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ตั้งแต่แรกเริ่มไม่เห็นด้วยกับการแกกติกาเลือกตั้ง และเห็นว่ากติกาบัตรใบเดียวน่าจะเอื้อต่อเส้นทางในการต่อยอดอำนาจอีกอย่างน้อย 1 สมัยได้มากกว่า

แต่เป็น “พี่ป้อม” ที่ช่วงนั้น “เสียงดังกว่า” จึงต้องปล่อยเลยตามเลยมาถึงวันนี้

กระทั่งในช่วงหลังที่ประชุมร่วมรัฐสภารับหลักการร่างแก้ไข พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯที่หลักใหญ่อยู่ที่การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ “หาร 100” ไป ก็มีข่าวเนืองๆว่า “ฝ่ายบิ๊กตู่” พยายามหาช่องให้ย้อนกลับใช้บัตรใบเดียว หรืออย่างน้อยต้องหาทางพลิกการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อให้เป็นแบบ “หาร 500” โดยใช้ประโยชน์ของคำว่า “ส.ส.พึงมี” ที่ยังปรากฎอยู่ในรัฐธรรมนูญ

จนมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการบลงมติ “ฝ่ายลุงป้อม” ก็ยังยืนกรานว่าสนับสนุนสูตรหาร 100 เช่นเดิม ขณะที่ “ฝ่ายลุงตู่” ที่เห็นไปในทิศทางเดียวกับ “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลายก็พยายามกดดันให้ “พี่ใหญ่รัฐบาล” เปลี่ยนใจ

ทั้งความเคลื่อนไหวของกลุ่ม “พรรคไร้ ส.ส.” ในนามกลุ่มสามัคคีสร้างชาติ ที่เดินสายตีปิ๊บให้ใช้สูตรหาร 500 เพื่อประโยชน์ในแง่ประชาธิปไตยการมีส่วนร่วม มากกว่าสูตรหาร 100 ที่เอื้อต่อพรรคใหญ่ ตลอดจนตัวแทนกลุ่มพรรคเล็ก-พรรคปัดเศษในรัฐบาล ที่ได้รวมตัวเข้าพบ “ลุงป้อม” เพื่อนำเสนอแนวคิดการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ด้วยการหาร 500 ที่เป็นประโยชน์กับขั้วรัฐบาลในปัจจุบันมากกว่า

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 แพทองธาร ชินวัตร

 พิธา ลิ้มจรูญรัตน์
กระทั่งมีเสียงแปร่งๆ ออกจาก “ค่ายประชาธิปัตย์” โดย “เสี่ยมุ่ง” อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาระบุว่า “เสียงส่วนใหญ่” ในพรรคสนับสนุนการคิดสัดส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ใช้ 500 หาร เช่นเดียวกับ “เสี่ยตาล” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง ที่ต้องการให้ยึดหลัก ส.ส.พึงมี และใช้สูตร 500 หาร

เป็นความเห็นทางเดียวกับทั้ง “พรรคคภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา และแทบทุกพรรคในซีกรัฐบาล” ที่มองว่า หากใช้สูตรหาร 100 ก็เข้าทางพรรคเพื่อไทย ถึงขั้นมีการประเมินว่า ด้วยกระแสในตอนนี้ พรรคพลังประชารัฐอาจเป็นพรรคที่มี ส.ส.ไม่ถึง 50 ที่นั่งด้วยซ้ำ

จนเมื่อหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา “นายกฯ ตู่” ได้เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ไปถามเรียงตัวต่อหน้า “พี่ป้อม” ให้ทุกคนเลือกว่า จะเอาสูตรหาร 100 หรือ หาร 500 ปรากฎว่า “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ “เสี่ยท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทยพัฒนา ต่างสนับสนุนสูตรหาร 500

เช่นเดียวกับ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น และ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รวมไปถึง “กลุ่มสามมิตร” แกนนำพรรคพลังประชารัฐ

มีเพียง “พล.อ.ประวิตร” และ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เท่านั้นที่ยังยืนกรานสูตรหาร 100

ทว่า เมื่อเสียงส่วนใหญ่ของพรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องกับสูตรหาร 500 อีกทั้งเป็นเกมที่ “น้องตู่” ถึงกับออกหน้าด้วยตัวเอง ก็ทำให้ “พี่ป้อม” ต้องจำใจยอมถอย

เป็นที่มาของมติที่ประชุมร่วมรัฐสภาที่เห็นชอบสูตรหาร 500 ดังกล่าว

การกลับหลังหันใช้สูตรหาร 500 คราวนี้ คงไม่มีคำจำกัดความอะไรที่ให้ภาพได้ใกล้เคียงเท่ากับคำว่า “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา” กระมัง

แน่นอนว่าเป้าหมายของการออกแบบกติกาเลือกตั้งนั้น ก็เพื่อให้ “ฝ่ายผู้ถืออำนาจ” ได้เปรียบในการเลือกตั้ง ตั้งแต่การออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 และกำหนดกติกาเลือกตั้ง บัตรใบเดียว พ่วงกับคำสำคัญอย่าง “ส.ส.พึงมี” ที่ใช้หักลบกลบจำนวน ส.ส.เขต ก็พิสูจน์แล้วว่า สามารถสกัด “ระบอบทักษิณ” ได้ แม้จะกระท่อนกระแท่นต้องอาศัย “ปัจจัยอื่น” ช่วยด้วยก็ตาม

ด้วยคำว่า “ส.ส.พึงมี” พรรคเพื่อไทยขาดทุนในการเลือกตั้งปี 2562 ไปมากกว่า 20 ที่นั่งในเลยทีเดียว

มีการคำนวณล่วงหน้าถึงความแตกต่างของสูตรหาร 100 กับหาร 500 ไว้ว่า หากใช้สูตรหาร 100 พรรคการเมืองต้องมีคะแนนถึง 3.5 แสนคะแนน จึงได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ต่างจากสูตร ส.ส.พึงมี ที่ใช้จำนวน ส.ส.ทั้งสภาฯ หรือ 500 หาร พรรคการเมืองที่ได้คะแนนราว 7 หมื่นคะแนน จะได้ ส.ส.พึงมี 1 คน นำไปหักกลบจาก ส.ส.เขตที่พรรคนั้นได้ ก็จะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค นั้น

หากจำนวน ส.ส.พึงมี “มากกว่า” จำนวน ส.ส.เขต ก็จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม แต่หากจำนวน ส.ส.พึงมี “เท่ากับ” หรือ “น้อยกว่า” จำนวน ส.ส.เขต ก็จะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เพิ่ม

เรื่องนี้ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” สมาชิกพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะอดีตกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) และในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.ได้โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “หาร 500 ใครได้ประโยชน์” โดยระบุว่า ภายใต้สูตรการคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อในระบบจัดสรรปันส่วนผสม (MMP) พรรคที่ชนะในระบบเขตมาก จะได้บัญชีรายชื่อน้อยลง ส่วนพรรคที่แพ้เลือกตั้งในระบบเขต หากมีคะแนนนิยมในบัตรใบที่ 2 มาก จะได้รับการจัดสรร ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อมาก

“สมชัย” มองว่าตามสูตรนี้ “ค่ายเพื่อไทย” น่าจะมี ส.ส.บัญชีรายชื่อได้จำนวนหนึ่ง แต่ไม่มาก หากคราวนี้ส่ง ส.ส.เขตครบ 400 เขต ต่างจากคราวก่อนที่เป็นระบบบัตรใบเดียว และพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครเพียง 2 ใน 3 ของจำนวนเขตทั้งหมด

ขณะที่ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล อาจเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้มากที่สุด โดยอาจมี ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ถึง 30 คน

ที่น่าเป็นห่วงคือบรรดา “พรรคเล็ก-พรรคปัดเศษ” ที่อาจหลงดีใจกับคะแนนเฉลี่ย ส.ส.พึงมีที่ยังคงอยู่ที่ราว 7 หมื่นคะแนน แต่ต้องไม่ลืมว่าจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อนั้นลดลงจาก 150 เหลือเพียง 100 ที่นั่งเท่านั้น รวมทั้งคาดว่าการคำนวณ ส.ส.พึงมีในรอบแรกจะ “โอเวอร์แฮงก์” หรือเกินจำนวนที่มี 500 ที่นั่ง เพื่อให้ ส.ส.พึงมีไม่เกิน 100 ที่นั่ง ก็จำต้องปรับคะแนนที่จะได้ ส.ส.พึงมีเพิ่มขึ้น

อาจต้องมีถึง 1 แสนเสียง จึงจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน

หลังจากนี้ต้องจับตาว่าแต่ละฝักฝ่ายการเมืองจะปรับกลยุทธ์อย่างไร โดยเฉพาะ “ฝ่ายทักษิณ” ที่ว่ากันว่าจะเสียประโยชน์จากกติกานี้มากที่สุด แม้ตัว “นายห้างดูไบ” จะเพิ่งออกมายักไหล่ไม่ยี่หระกับสูตรหาร 100 หรือหาร 500 โดยมั่นใจว่า ไม่ว่าสูตรไหนฝ่ายประชาธิปไตย อันหมายรวมถึงพรรคเพื่อไทย-ก้าวไกล-เสรีรวมไทย เป็นอาทิ จะได้ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 300 ที่นั่ง เหลือ 200 ที่นั่งเป็นของฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน

แต่ในพรรคเพื่อไทยก็ดูจะปั่นป่วนไม่น้อย เพราะเดิมตั้งใจไว้ว่า หากเป็นกติกาเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ก็จะใช้พรรคเพื่อไทยลุยส่ง ส.ส.เขต-บัญชีรายชื่อ แบบเต็มสูบ ไม่ต้องกลัวขาดทุน จึงมีการเรียกไพร่พลกลับมารวมกันที่ “สาขาหลัก”

โดย “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็เปรยๆ ออกมาแล้วว่า อาจต้องหวนกลับไปใช้กลยุทธ์ “แตกแบงก์พัน” อีกครั้ง โดยให้พรรคเพื่อไทยส่งเฉพาะ ส.ส.เขตทั่วประเทศ และตั้ง “พรรคสาขา” มีการพูดถึงชื่อ “พรรคครอบครัวเพื่อไทย” ขึ้นมา ที่จะส่งแต่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

สอดคล้องกับ “ทีมงานห้องแอร์” อย่าง “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ประสานงานกลุ่มแคร์ ที่ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคเพื่อไทยจะส่งสู้ในระบบเขต แล้วอาจจะมีพรรคแตกแบงก์พัน โดยส่งสมาชิกไปอีกพรรคหนึ่ง เพื่อเดินหน้าระบบบัญชีรายชื่อ เมื่อได้คะแนนมาก็จะได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อตามจริง เพราะพรรคดังกล่าวไม่ได้คาดหวังกับ ส.ส.เขต อยู่แล้ว เมื่อ 2 พรรคนำ ส.ส. มารวมกันก็จะได้ ส.ส.จำนวนมาก

โดยมีการพูดไปถึง “พรรคเส้นทางใหม่” ที่เดิม “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง และ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยไปร่วมตั้งไข่ทิ้งไว้ ก่อนที่ “จาตุรนต์” จะแพนิกกับกติกาบัตร 2 ใมบ จนโผกลับมาเข้าพรรคเพื่อไทย ทำเอา “ณัฐวุฒิ” เสียเส้นไม่น้อย ก่อนเจอ “ข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ” และกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทยในภายหลัง

เข้าใจได้ว่า “ค่ายเพื่อไทย” ที่ช่ำชองการแกะสูตรเลือกตั้ง เตรียมทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว

ก็น่าคิดไม่น้อยว่า แกนนำพรรคที่ตอนนี้จับจองที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เบอร์ต้นๆ ไว้เสร็จสรรพแล้ว จะมีใครยอมโยกไปอยู่ “พรรคสาขา” หรือไม่ เพราะหลายคนยังหลอนไม่หายกับอุบัติเหตุแหกโค้งของ “ค่ายไทยรักษาชาติ” เมื่อการเลือกตั้งหนก่อนอยู่


ยิ่งหาก “พรรคหลัก-พรรคสาขา” แยกกันไม่ขาด โดยจับได้ไล่ทันว่า “ครอบงำทางการเมือง” ก็เข้าร่อง “ยุบพรรค” ได้อีก

ทำให้ “ค่ายดูไบ” คงเดินไม่สะดวกอย่างที่คิด

หันมาที่ “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล แม้จะยืนกรานไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขกติกาเลือกตั้งของฝ่ายรัฐบาล และยืนยันในเรื่องสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบ จัดสรรปันส่วนผสม หรือระบบ MMP พร้อมออกมาซัดแหลกว่า “อัปยศ” ต่อการที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภารับ “ใบสั่ง” ฝ่ายบริหาร คว่ำสูตรหาร 100 ไปใช้สูตรหาร 500 เพื่อสนอง “พล.อ.ประยุทธ์” สืบทอดอำนาจ

แต่เชื่อว่า “หลังฉาก” แล้ว “คนก้าวไกล” คงแอบ “ยิ้มกริ่ม” กับสูตรหาร 500 ที่ไม่ต่างจาก “ส้มหล่น” ใส่เท้า เพราะถือเป็นกติกาที่พรรคขนาดกลาง-เล็ก ได้ผลประโยชน์จากการคิดคะแนนด้วย ส.ส.ถึงมี แบบเต็มๆ และมีโอกาสได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่าสูตรหาร 100 ที่ไม่ได้ล้อไปกับจำนวน ส.ส.พึงมี

ด้วยความที่เป็นพรรคที่แจ้งเกิดด้วย “กระแส” ไม่ถนัดกับการเจาะพื้นที่เขตเท่าที่ควร โดยในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ขณะนั้นได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไปถึง 50 จาก 150 ที่นั่ง จากคะแนน 6.3 ล้านเสียง ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ไปพรรคละ 19 คน พรรคภูมิใจไทย 12 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 4 คน ฯลฯ

ส่วน ส.ส.เขตนั้นพรรคอนาคตใหม่ได้ 31 เขต และอีกหลายเขตเข้าป้ายที่ 2 แพ้ให้กับที่ 1 ไม่มาก เรียกว่าได้ลุ้นในหลายๆ เขต ถ้า “ค่ายก้าวไกล” ยังคงได้รับความนิยมเช่นนั้นอยู่ ก็เชื่อว่า แม้แพ้ “บัตรคน” ในส่วนของ ส.ส.เขต ที่ตัวผู้สมัครโดดเด่นและเชี่ยวสนามไม่เท่า “นักเลือกตั้ง” คะแนนก็จะมาลงกับ “บัตรพรรค”

เข้าทางกลยุทธ์ปั่นกระแสเน้นหาเสียงให้คนเลือก “บัตรพรรค” เป็นหลัก ส่วนพื้นที่เขตก็เจาะเฉพาะในเขตเมืองที่ถนัดพอ

ที่ยังดูน่าเป็นห่วงก็คงเป็น “คนคุมเกม” อย่าง “บิ๊กตู่” และพรรคพลังประชารัฐ ที่วันนี้คะแนนนิยมตกต่ำขั้นสุด คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าต้องกู้คะแนนนิยมกลับมาให้ได้มากที่สุด แม้ตามกติกานี้ก็ยังมี “พรรคร่วมรัฐบาล-พรรคเครือข่าย” คอยเป็นตัวช่วยอยู่ แต่หากตัวชูโรงอย่าง “ลุงตู่” เข็นไม่ขึ้น จะตีลังกาใช้เล่ห์กลแก้กติกาอย่างไร อำนาจก็อาจหลุดมือได้ เมื่อถึงการเลือกตั้ง

เหมือนเมื่อครั้งการเลือกตั้งปี 2554 ที่พรรคประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาล พยายามแก้กติกาก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ แต่เมื่อตีกระแสไม่ขึ้นก็ต้องพ่านแพ้ให้กับ พรรคเพื่อไทย ที่มี “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำทัพ

ดังนั้นการตีธงพลิกเกมกลับมาใช้สูตรหาร 500 นั้น ก็เป็นเพียง “ยกแรก” เท่านั้น ในการวางเส้นทางต่อท่ออำนาจต่อไป ตามภารกิจแรกคือต้องสกัดแผน “แลนด์สไลด์” ของพรรคเพื่อไทย ที่กระแสกำลังมาให้ได้เสียก่อน ส่วนต้องไปแก้ไขปะผุตรงไหนก็ว่ากันอีกที

ต่อจากนี้ “ผู้คุมเกม” ก็ต้องประเมินกันแบบ “ยกต่อยก”

ต้องไม่ลืมว่า 2 ร่างกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งยังไม่คลอดออกมา ต้องมีการพิจารณาต่อในช่วงปลายเดือนนี้ ภายหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล โดยเฉพาะยังมีการลงมติในวาระที่ 3 รับหรือตีตกทั้งร่างก็เป็นไปได้

เพราะยังมีการพูดกันหนาหูว่า “คนคุมเกม” ยังมีความคิดลึกๆ จะกลับไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนับหนึ่งใหม่ กลับไปเป็น “บัตรใบเดียว” อีกครั้ง

หรือหาก 2 ร่างกฎหมายลูกผ่านรัฐสภา ต่อจากนั้นยังมีกระบวนการตามมาตรา 132 (2) แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ตามที่ระบุข้างต้น ที่กำหนดว่าต้องส่งให้ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องให้ความเห็น

หากศาลหรือองค์กรอิสระใด มีข้อทักท้วงขึ้นมา หรือหนักไปกว่านั้นมีการตีความว่า “ขัดรัฐธรรมนูญ” ตามที่ฝ่ายค้านพยายามโจมตีแนวทางการแก้ไขของฝ่ายรัฐบาลหลายประเด็น ก็อาจทำให้ 2 ร่างกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ต้องตกไป

เท่ากับว่า กฎหมายเลือกตั้ง “เป็นหมัน” ไม่มีกติกาเพื่อให้ กกต.จัดการเลือกตั้งครั้งหน้า

เพราะจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ในส่วนของมาตรา 83 และมาตรา 91 ที่มีผลทำให้กติกาการเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนไม่สามารถใช้ “กฎหมายลูกเดิม” ในการจัดการเลือกตั้งได้แล้ว

ถ้าไม่สามารถผลักดันให้ 2 ร่างกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในขณะที่รัฐบาลจะครบเทอมในอีกราว 8 เดือนข้างหน้า ก็อาจเข้าสู่ “สุญญากาศทางการเมือง” หรือหากเกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่การ “ยุบสภา” ก่อนครบวาระ ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

แม้ในทางปฏิบัติ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีอำนาจในการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อนำมาบังคับใช้ได้ แต่ก็มีผู้ท้วงติงว่า พ.ร.ก.ออกมาเพื่อบังคับใช้แทน “พระราชบัญญัติ” เท่านั้น ไม่สามารถบังคับใช้แทน “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ” ได้ ซึ่งผู้ปฏิบัติอย่าง กกต.ที่ต้องออกประกาศต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ก็สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย

เมื่อไม่มีการเลือกตั้งก็เข้าเงื่อน “เดดล็อก” รัฐบาลที่ทำหน้าที่อยู่ก็ต้อง “รักษาการ” ไปเรื่อยๆ

การเมืองไทยจะไปทางไหนต่อ ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ “คมคุมเกม”.


กำลังโหลดความคิดเห็น