xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กำแพงหมื่นลี้ (2)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 (ภาพเอพี)
คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 ก่อนจะเป็นกำแพงหมื่นลี้ 

ว่าที่จริงแล้วหลักฐานที่กล่าวถึงกำแพงของจีนพบว่า กำแพงได้ปรากฏขึ้นในยุคต้นประวัติศาสตร์จีน ดังนั้น ก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นที่เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนนั้น ในที่นี้ขอทำความเข้าใจประวัติศาสตร์จีนในเชิงพัฒนาการก่อน เพราะพัฒนาการนี้จะทำให้เห็นภาพพัฒนาการของกำแพงเมืองจีนไปด้วย

โดยทั่วไปแล้ว พัฒนาการทางประวัติศาสตร์จีนจะมีอยู่สี่ยุคคือ ยุคตำนาน ยุคต้นประวัติศาสตร์ ยุคประวัติศาสตร์ และยุคสมัยใหม่

ยุคตำนานหรือยุคดึกดำบรรพ์เป็นยุคที่หาหลักฐานมาจับต้องไม่ได้ ยิ่งกาลเวลาด้วยแล้วก็ยิ่งมิอาจสืบสาวราวเรื่องได้อย่างมั่นเหมาะ ซ้ำเรื่องราวส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเหนือจริง แต่ชาวจีนในอดีตเลือกที่จะเชื่อว่ายุคนี้มีอยู่จริง ส่วนในปัจจุบันที่จีนมิได้ห้ามความเชื่องมงายตรงๆ แล้วก็ยังมีชาวจีนที่เชื่อว่ายุคที่ว่านี้มีอยู่จริง บางที่มีการสร้างอนุสรณ์สถานหรือรูปเคารพของผู้นำในยุคตำนานขึ้นด้วย

ผู้นำหลายคนในยุคตำนานจึงได้รับการเคารพบูชาประดุจเทพไปด้วย แต่จะด้วยความเชื่อของชาวจีนหรือด้วยเหตุใดก็ตามที การที่ยุคตำนานกลายเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการประวัติศาสตร์จีนก็เพราะว่า เรื่องราวในยุคนี้มีความเชื่อมต่อกับยุคต้นประวัติศาสตร์

กล่าวคือ ผู้นำคนท้ายๆ ที่ได้รับอำนาจมาด้วยการสืบสันตติวงศ์ในปลายยุคตำนานนั้น ต่อมาคือผู้ที่สถาปนาราชวงศ์แรกของยุคต้นประวัติศาสตร์ นับจากนั้นมายุคต้นประวัติศาสตร์ก็ดำรงเรื่อยมารวมแล้วสามราชวงศ์ด้วยกัน นั่นคือ  ราชวงศ์เซี่ย ซัง และโจว  

ที่เรียกขานให้ยุคนี้เป็น  “ประวัติศาสตร์” ก็เพราะยุคนี้มีหลักฐานทางโบราณคดีที่สอดคล้องกับเรื่องราวที่มีการบันทึกกันมา ถึงแม้ราชวงศ์เซี่ยจะมีหลักฐานน้อยเต็มที แต่การปรากฏหลักฐานของสองราชวงศ์หลังคือซังและโจวในชั้นหลังต่อมา ก็ทำให้เชื่อกันว่าราชวงศ์แรกน่าจะมีอยู่จริงเช่นกัน

ส่วนยุคประวัติศาสตร์เป็นที่เห็นพ้องกันว่าให้นับจากที่จีนเข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปแล้ว ยุคนี้ดำรงอยู่ยาวนานกว่า 2,000 ปี แต่มิใช่ดำรงอยู่อย่างมีเสถียรภาพตลอด เพราะมีหลายช่วงเวลาที่ยุคนี้ได้เกิดสุญญากาศทางการเมืองอยู่ด้วย นั่นคือ มีช่วงที่ไม่มีราชวงศ์ใดมีอำนาจในการปกครองโดยเด็ดขาด แต่ที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ ความคิดเรื่องสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ได้ฝังรากลึกลงไปแล้ว ที่ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อสามารถเถลิงอำนาจขึ้นมาได้ต่างก็จะปกครองด้วยระบอบนี้เสมอ

ยุคประวัติศาสตร์ที่ว่านี้มีความเชื่อมต่อกับยุคสมัยใหม่ดังสองยุคก่อนหน้านี้ นั่นคือ พอถึงช่วงปลายยุคประวัติศาสตร์นี้เอง จีนได้อ่อนแอลงและถูกคุกคามจากโลกภายนอกราวกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งก็คือตะวันตก ตอนนี้เองที่จีนได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่

อิทธิพลตะวันตกได้กัดกร่อนระบอบเดิมของจีนจนยากที่จะตั้งตัวได้อีกต่อไป และทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ดำรงมากว่า 2,000 ปีต้องถึงกาลล่มสลาย จากนั้นยุคสมัยใหม่ก็ทอดเวลาผ่านเข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐ อันเป็นระบอบที่ไร้เสถียรภาพอย่างยิ่ง จนกระทั่งถูกแทนที่โดยระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ในกลางศตวรรษที่ 20 ยุคสมัยใหม่จึงสิ้นสุดหลักหมายของตนเองไปในที่สุด

ควรกล่าวด้วยว่า การแบ่งยุคประวัติศาสตร์ของจีนดังกล่าวข้างต้น บางที่ก็รวบเอายุคที่สามกับสี่เข้าด้วยกัน บางที่ก็แบ่งยุคที่สามออกเป็นช่วงที่มีราชวงศ์กับช่วงที่ไร้ราชวงศ์แล้วว่าไปตามลำดับของเหตุการณ์ บางที่ก็เลือกอธิบายยุคที่สามเฉพาะช่วงที่มีราชวงศ์ปกครองเป็นหลัก และอีกไม่น้อยที่เลือกยุคที่ไร้ราชวงศ์เฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งมาอธิบาย เป็นต้น

จากที่กล่าวมานี้ทำให้เห็นได้ว่า ในยุคแรกหรือยุคตำนานนั้นรัฐจีนยังมิได้ถือกำเนิด และยังมิได้เกิดขึ้นในทันทีทันใดเมื่อเข้าสู่ยุคที่สองหรือยุคต้นประวัติศาสตร์ เอาเข้าจริงแล้วรัฐจีนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในช่วงกลางของยุคนี้ และพอถึงปลายยุคนี้ความเป็นรัฐจึงมีความชัดเจนขึ้น การเติบโตเป็นรัฐกลายเป็นรากฐานให้กับยุคที่สามหรือยุคประวัติศาสตร์และยุคสมัยใหม่ในเวลาต่อมา

 (ภาพเอเอฟพี)
แต่ถ้าถามว่า ยุคต้นประวัติศาสตร์กับยุคประวัติศาสตร์ต่างกันอย่างไรแล้ว คำตอบก็คือ ยุคต้นประวัติศาสตร์นั้น แม้สังคมจีนได้วิวัฒน์ก้าวหน้าขึ้นโดยลำดับ และความเป็นรัฐได้เป็นรูปเป็นร่างและเป็นระบบมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับสังคมและรัฐในยุคประวัติศาสตร์ ความแตกต่างนี้ได้ถูกอธิบายให้เห็นโดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสำนักคิดว่าจะอธิบายไปในทางใด เช่น บางสำนักอธิบายว่ายุคต้นประวัติศาสตร์สังคมจีนยังเป็นสังคมทาส พอปลายๆ ยุคสภาพของสังคมทาสก็ค่อยๆ สลายไปเป็นสังคมศักดินา เป็นต้น

 จากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของจีนโดยสังเขปดังกล่าว ประเด็นที่เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนก็คือ ในยุคตำนานที่ไม่มีหลักฐานให้จับต้องได้นั้น ประเด็นเรื่องกำแพงเมืองจีนจึงตัดทิ้งไปได้ ส่วนในยุคต้นประวัติศาสตร์ก็มีหลักฐานจากบันทึกว่า กำแพงได้ปรากฏขึ้นแล้วในจีน แต่จะเป็นกำแพงแบบใดเป็นประเด็นที่จะได้กล่าวถึงต่อไป สุดท้ายคือ ยุคประวัติศาสตร์ ยุคนี้เองที่กำแพงเมืองจีนได้ถือกำเนิดขึ้น ที่สำคัญคือ หลังจากกำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นแล้ว กำแพงนี้ก็ถูกสร้างขยายออกไปอีกเป็นระยะในแต่ละยุคสมัย และสร้างขยายเรื่อยมาจนถึงสมัยราชวงศ์หมิง (1368-1644) ที่เป็นราชวงศ์ก่อนราชวงศ์สุดท้ายของจีน 


เนื่องจากกำแพงเริ่มปรากฏขึ้นในยุคต้นประวัติศาสตร์ ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเรื่องบางเรื่องในยุคนี้ที่นำไปสู่การปรากฏขึ้นของกำแพงยุคแรกๆ ในบันทึกของจีน ว่าอะไรคือประเด็นที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับยุคนี้ และในยุคนี้ได้เกิดเหตุการณ์ใดที่นำไปสู่เรื่องราวเกี่ยวกับกำแพง ก่อนที่จะกลายมาเป็นกำแพงเมืองจีนที่เรารู้จักกันในที่สุด

 ยุคต้นประวัติศาสตร์ของจีนมีอยู่ด้วยกันสามราชวงศ์คือ ราชวงศ์เซี่ย (ก.ค.ศ.2070-ก.ค.ศ.1600) ราชวงศ์ซัง (ก.ค.ศ.1600-ก.ค.ศ.1046) และราชวงศ์โจว (ก.ค.ศ.1046-ก.ค.ศ.771) เฉพาะราชวงศ์โจวในห้วงครึ่งหลังยังมีอีกสองยุคเกิดแทรกขึ้นมาด้วย สองยุคที่ว่านี้คือ ยุควสันตสารทกับยุครัฐศึก 


ในภาษาจีนจะเรียกยุควสันตสารทว่า ชุนชิว  (ประมาณ ก.ค.ศ.770-ก.ค.ศ.476) และเรียกยุครัฐศึกว่า จั้นกว๋อ  (ประมาณ ก.ค.ศ.475-221) คำถามจึงมีว่า ทำไมจึงมีสองยุคนี้แทรกเข้ามาในสมัยราชวงศ์โจวด้วย

ประเด็นคำถามนี้น่าสนใจมาก เพราะสองยุคนี้คือยุคแห่งความแตกแยกของจีนโดยแท้ ด้วยเป็นความแตกแยกที่กินระยะเวลายาวนานหลายร้อยปี เป็นยุคที่จีนไร้เอกภาพ และเป็นยุคที่รัฐต่างๆ ทำศึกรบพุ่งกันจนหาความสงบแทบไม่ได้ ยุคแห่งความแตกแยกนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายราชวงศ์โจวที่ในเวลานั้นอ่อนแออย่างยิ่ง อ่อนแอขนาดที่ว่าแม้จะมีกษัตริย์ของราชวงศ์ แต่การมีอยู่ของกษัตริย์กลับไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง จนเสนามาตย์ (ขุนศึกกับขุนนาง) ของรัฐต่างๆ มีอำนาจมากกว่ากษัตริย์เสียอีก เสนามาตย์เหล่านี้เองที่ก่อศึกระหว่างรัฐต่างๆ ขึ้นมาตลอดสองยุคดังกล่าว

คำถามต่อไปจึงมีว่า ในเมื่อทั้งสองยุคต่างเป็นยุคที่จีนแตกแยก แล้วเหตุใดจึงต้องแบ่งเป็นสองยุคด้วยก็ในเมื่อมันแตกแยกเหมือนๆ กัน

 คำตอบคือ เป็นเพราะความแตกแยกของสองยุคนี้ไม่เหมือนกัน โดยยุควสันตสารทรัฐต่างๆ ในจีนแตกออกเป็นนับร้อยรัฐ แต่ละรัฐต่างทำศึกระหว่างกันแล้วก็มีผู้แพ้ผู้ชนะ รัฐใดแพ้ก็จะถูกรัฐที่ชนะกลืนมาเป็นของตน ซึ่งจะเท่ากับว่ารัฐที่แพ้จะสลายตัวไป ส่วนรัฐที่ชนะก็จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นจนทำให้จำนวนรัฐที่มีอยู่นับร้อยรัฐก็จะลดลงมาจนเหลือหลักสิบ 

จนถึงตอนที่จำนวนรัฐลดลงจนเหลือหลักสิบกว่านี้เองยุควสันตสารทสิ้นสุดลง แต่รัฐที่เหลืออยู่สิบกว่ารัฐนี้ก็ยังคงทำศึกในระหว่างกันต่อไป ยุคนี้จึงถูกเรียกว่ารัฐศึกเพื่อสื่อว่าเป็นยุคที่รัฐต่างๆ ต่างทำศึกในระหว่างกัน ทำกันไปทำกันมาจนเหลือรัฐที่ทรงอิทธิพลอยู่เจ็ดรัฐในช่วงปลายของยุคนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น