xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เพื่ออะไร? เพื่อ “ชินวัตร” เพื่อ “เสี่ยเต้น”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยามนี้ดูท่า “เฮียโทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเลือกกดปุ่มให้ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย เทน้ำหนักให้กับเกมการเมืองนอกสภาฯ มากเสียกว่าเกมการเมืองในสภาฯ ทั้งที่มีศึกใหญ่อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแท้ๆ

ก็มีอย่างที่ไหนวันที่มี “อีเว้นท์ใหญ่” พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นัดหมาย ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เพื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล กลับถูก “ด้อยค่า” ด้วยน้ำมือตัวเอง

เพราะอีกด้านที่พรรคเพื่อไทยก็เลือกจัดอีเวนท์ชนกันจังเบอร์ เปิดฟลอร์ให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทำพิธีต้อนรับ “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือแกนนำคนสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดง กลับเข้าพรรคเพื่อไทย

ไม่เท่านั้น ในจังหวะที่ควรโหมโรงประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีต่อเนื่อง กระพือแรงไปจนถึงวันจริง กลับจัดอีเวนท์ครอบครัวเพื่อไทย ขนทัพใหญ่นำโดย “นางพญาอุ๊งอิ๊ง” ที่ควงแขน “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วของป๊าโทนี่ ไปลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ตามท้องเรื่อง “ไล่หนู ตีงูเห่า”

หรือก่อนหน้านั้นก็เป็นคิวของ “พี่โอ๊ค” ที่ลุยเดี่ยวลงพื้นที่ จ.สุรินทร์ แทน “น้องอิ๊ง” ที่เผอิญติดโควิดหลังบินไปหาพ่อที่ประเทศสิงคโปร์ จนไม่สามารถร่วมลงพื้นที่ได้ กระทั่งต้องเลื่อนกำหนดการ จ.ศรีสะเกษ เพื่อรอให้ “หัวหน้าอิ๊ง” หายป่วย จนมาชนกับช่วงยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างที่เห็น

ไม่ว่าจะเป็นเหตุจำเป็นที่ต้องเลื่อนกำหนดการลงพื้นที่อย่างไร แต่การให้น้ำหนักการเมืองในสภาฯ น้อยกว่า ก็ดูพิลึกชอบกล

อีกทั้งหากย้อนกลับไป ตั้งแต่เปิดตัว “ลูกอิ๊ง” เข้ามาในพรรค ตั้งแต่เมื่อปลายปีกลายทในการประชุมใหญ่ของพรรคที่ จ.ขอนแก่น ในฐานะประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ต่อเนื่องจนถึงการเข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แล้ว ก็ทบเป็นการแย่งซีน ส.ส.ของพรรค ที่มีจำนวนมาก

บทบาทหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ อย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่มีชั้นระนาบเดียวกับนายกรัฐมนตรี กลับถูกจัดวางเป็นเพียง “ไม้ประดับ” หรือแย่กว่านั้นกับภาพที่ “หมอชลน่าน” ก้มหัวโค้งคำนับให้กับ “หลานอิ๊ง” บนเวทีเปิดตัวหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย

จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นท่าทีของ “เจ้านาย-ลูกน้อง” หรือกระทั่ง “ทาสรับใช้” หวนนึกไปถึงวาทกรรมคุ้นหูที่ว่า ตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย ล้วนแล้วแต่เป็น “บริษัทจำกัด” ที่เป็นกิจการในครอบครัว “ชินวัตร” อย่างเบ็ดเสร็จ

ในทำนองเดียวกับ “เสื้อแดง นปช.” ที่เคยเป็นอีกขาทางการเมืองของ “ทักษิณ” ที่ไม่ว่าจะยึดมั่นการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์แค่ไหน ที่สุดแล้วบรรดา “หัวโจก” ก็ยอมศิโรราบให้กับ “ทักษิณและครอบครัว” ทั้งสิ้น

เห็นได้ชัดอย่างคิวล่าสุดที่ “เสี่ยเต้น-ณัฐวุฒิ” ที่เลือกกลับมาร่วมชายคาพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง หลังจากที่เคยมี “ใบสั่ง” ให้ไปร่วมทีม “ไทยรักษาชาติ” ที่สะดุด “อุบัติเหตุ” ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 ทำให้ทุกคนกลายเป็น “หมัน” ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งครั้งนั้น

ดูไม่ยากว่า “เสี่ยเต้น” และพลพรรคคนเสื้อแดง รวมไปถึง “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ รู้สึกผิดหวัง และสิ้นศรัทธาต่อแนวทาง “นายใหญ่” ที่เล่น “เกมเสี่ยง” จนปิดอนาคตทางการเมืองของตัวเอง และพวกพ้อง

ก่อนตกผลึกก่อหวอดไปร่วมกันตั้ง “พรรคทางเลือกใหม่” ถึงขั้นสร้างตึกสำนักงานพรรคเส้นทางใหม่ ย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อขับเคลื่อนการเมืองในแนวทางประชาธิปไตยคนเสื้อแดงแบบเต็มตัว แต่ไม่ทันไรก็ต้องเก็บฉาก เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปลี่ยนกติกาเลือกตั้ง เป็นบัตร 2 ใบ ซึ่งรู้กันว่า “พรรคใหม่-พรรคเล็ก” อยู่ในสภาพเสียเปรียบ แล้วยังติดขัดในเรื่องการหาทุนรอน ก็เลยต้องแยกย้ายจากกันในเวลาไม่นาน

และเป็น “เสี่ยอ๋อย-จาตุรนต์” ผู้ได้ชื่อว่ามีจุดยืนประชาธิปไตยแน่วแน่ที่สุดในประเทศนี้ ที่เลือก “ซมซาน” กลับเข้าพรรคเพื่อไทยก่อนเพื่อน และทั้งๆที่ถูกคนในพรรคสาปส่งไล่ให้ต่อคิว ด้วยมองว่าระดับ “จาตุรนต์” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายกฯ รักษาการแทน “ทักษิณ” จะเข้ามา “ปาดหน้าเค้ก” กินลำดับบัญชีรายชื่อหัวแถว แถมลุ้นรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ หากได้เป็นรัฐบาลไม่ยาก

ก็น่าแปลกไม่น้อยที่ “เสี่ยอ๋อย” ผู้ยึดมั่นหลักการ กลับไม่สะทกสะท้าน คล้ายกับว่า การกลับเข้าพรรคเพื่อไทยเป็นหนทางเดียวในการมีที่ยืนทางการเมืองอีกครั้ง

การตัดสินใจของ “จาตุรนต์” ในวันนั้นก็ทำเอา “เสี่ยเต้นแอนด์เดอะแก๊ง” เซ็งไม่น้อย

ย้อนกลับมาที่ “เสี่ยเต้น” ผู้มีวาจาศิลป์เป็นเลิศ มีแสงในตัวเอง เป็นกระบี่มือหนึ่งของเวทีเสื้อแดงแท้ ยังเลือกกลับมากินตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ที่รู็เต็มอกว่าเป็นมือรองของหัวหน้าครอบครัวอย่าง “ลูกอิ๊ง”

แล้วย้อนไปไม่นาน “นายใหญ่” ยังตบหน้าบรรดา “โจกแดง” ด้วยการจัดอีเวนท์ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจดวงเดิม ที่ “เมืองปากน้ำ” ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง จ.สมุทรปราการ เมืองหลวงแห่งหนึ่งของคนเสื้อแดง ทำทีเหมือนจะดัน “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นเป็น “หัวหน้าเสื้อแดงคนใหม่”

"พี่น้องเสื้อแดง กลับบ้านเรากันค่ะ กลับมาครอบครัวของเรา ครอบครัวเพื่อไทย ร่วมกับพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนประเทศ ประเทศชาติจะกลับมาเจริญอีกครั้ง…ครอบครัวเพื่อไทยเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยออกแบบมา บันไดขั้นแรกคือแลนสไลด์ ซึ่งพรรคจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายไม่ได้ ถ้าพี่น้องเสื้อแดงไม่ร่วม และพี่น้องไม่อยู่เคียงข้างพรรคเพื่อไทย” คือคำประกาศของ “อุ๊งอิ๊ง” ในวันนั้น

ล้อกับแคมเปญที่คิกออฟออกมาล่วงหน้า “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” เปลี่ยนธีมพรรค-โลโก้เป็นสีแดงสด ตั้งท่าจะดึง “เสื้อแดง” มาเป็นเนื้อเดียวกับพรรคเพื่อไทย แต่กลับไม่เปิดพื้นที่ให้แกนนำคนเสื้อแดงมามีส่วนร่วมแต่อย่างใด

ช่วงนั้นก็มีข่าวว่า แกนนำเสื้อแดงเองก็ตะขิดตะขวงใจไม่น้อย แล้วยิ่งตั้งแง่กับ “นายใหญ่” ด้วยซ้ำ ที่ส่งลูกสาวที่ไร้พรรษา ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มา “สวมตอ” เป็น “หัวหน้าคนเสื้อแดง”

ความเจ็บช้ำน้ำใจของคนเสื้อแดงที่มีต่อ “ทักษิณ” ในการทิ้งขว้างไม่ดูไม่ดูแล ปล่อยให้ตกระกำลำบากตามยถากรรม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้หลายคนหูตาสว่าง เลือกเดินไปจาก “นายใหญ่” ไป

ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ซึ่งที่ขาดคุณสมบัติทางการเมือง ก็ยังไปสร้างโลกใบใหม่ที่พรรคเพื่อชาติ แต่ก็เกิดปัญหาจนต้องแยกตัวมาสร้างอาณาจักรพีซทีวี ปรับแนวทางหลังออกจากเรือนจำมาประสานการทำงานกับคนต่างสีเสื้อมากขึ้น หรือรายของ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตกรรมการผู้ช่วยนายกฯ ที่ย้ายข้างมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐจนขึ้นหม้อ กระทั่งสร้างเรื่องด้วยตัวเองจนทำท่าจะหมดอนาคต ก็ให้ข่าวบ่อยครั้งว่ารู้เช่นเห็นชาติ “ทักษิณ” หมดแล้ว

ที่ “เสื้อแดง” แตกกระสายซ่ายเซ็นออกไปทั้งก่อนการเลือกตั้ง 2562 หรือหลังอุบัติเหตุไทยรักษาชาติ ก็ล้วนแล้วแต่ “จับไต๋” ได้ว่า ที่ผ่านมาถูกหลอกใช้ แม้แต่วันนี้ “ติ่งแดง” จำนวนมากก็ยังปันใจไปเป็น “ติ่งส้ม” อดีตพรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล ที่มีแนวทางการเมืองที่ชัดเจนแน่วแน่กว่าพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ

ก็ไม่รู้อิท่าไหน “เสี่ยเต้น” ที่ถือเป็นศูนย์กลางของแกนนำคนเสื้อแดงสายการเมือง ถึงยอมกลับเข้าพรรคเพื่อไทย และยอมมาเป็นมือรอง “น้องอิ๊ง”

จนพูดกันลั่นตึกย่านถนนเพชรบุรีว่า ดีล “นายใหญ่-เสี่ยเต้น” ใหญ่พอสมควร มีทั้งกล้วย มีทั้งคำมั่นให้โควต้าตำแหน่งแห่งที่กับ “โจกเสื้อแดง” ที่ติดสอยห้อยตาม “เพื่อนเต้น” เข้าพรรค เพราะวันนี้ “ณัฐวุฒิ” ตกร่องมีคุณสมบัติต้องห้ามเล่น ส.ส. เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ถึงฤดูกาลเลือกตั้งทำได้เต็มที่เพียงเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง”

อย่างไรก็ดีการมาของ “เสี่ยเต้น” ก็ทำให้บรรยากาศอีเวนท์ปั้น “ลูกอิ๊ง” ดูดีขึ้นถนัดตา ทั้งในวันเปิดตัวที่พรรคเพื่อไทย ก็ดูคึกคักด้วยลีลาปราศรัยยียวนของ “อดีตดาวสภาโจ๊ก” ต่อเนื่องถึงเวที “ไล่หนู ตีงูเห่า” ที่ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้เฮได้ฮาทุกดอกยามที่ “ณัฐวุฒิ” จับไมค์

ผนวกด้วยภาพมวลชนเรือนหมื่นที่พร้อมใจใส่เสื้อแดงมาต้อนรับ “นางพญาอุ๊งอิ๊ง” ตั้งแต่ที่สนามบินอุบลราชธานี ตลอดจนแฟนคลับที่มารอฟังการปราศรัยของ “ณัฐวุฒิ” ทั้ง 3 เวทีที่ อ.อุทุมพรพิสัย , อ.ราษีไศล และ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ผ่านบริหารจัดการของ “ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.” ที่งานนี้ทุ่มทุนสุดตัว ในฐานะที่ได้มาเสียบแทน 3 ส.ส.ศรีสะเกษ ที่เปิดตัวย้ายค่ายไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย

ต่างจากกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทยที่ จ.สุรินทร์ ก่อนหน้านั้น ที่บรรยากาศไร้พลัง หลักใหญ่ไม่ใช่ขาด “อุ๊งอิ๊ง” ที่ติดโควิดไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ไม่มีตัวแม่เหล็กอย่าง “เสี่ยเต้น” มากกว่า

หากค่อนขอดว่า นักเลือกตั้ง-พรรคร่วมรัฐบาล เป็น “นั่งร้าน” ให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชูคอเป็นนายกฯ กลับกันวันนี้ “เสี่ยเต้น” และเสื้อแดง ก็ปวารณาตัวมาเป็น “นั่งร้าน” ให้ “อุ๊งอิ๊ง” โดดเด่นในฐานะ “นายหญิงคนใหม่”

เป็นการย้อนกลับไปใช้ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง 2554 ที่ “ทักษิณ” อาศัยมวลชนคนเสื้อแดง ผ่าน “ตู่-เต้น” ที่วันนั้นเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในการปราศรัยดึงคน เรียกกระแส จนใช้เวลาเพียง 49 วัน ปั้น “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ โดยที่วันนั้น “โจกแดง” ต่างก็ได้บำเหน็จเป็น ส.ส.กันถ้วนหน้า ก่อนที่ “เสี่ยเต้น” จะได้ขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีในโควต้าคนเสื้อแดงในภายหลัง

แน่นอนว่าการที่ “ทักษิณ” เดินหมากคล้ายกับปี 2554 ที่ปั้น “น้องปู” เป็นนายกฯ ก็เพื่อปั้น “ลูกอิ๊ง” ให้เป็นนายกฯ เพื่อแย่งชิงอำนาจกลับคืนมา ถึงขั้น “ลงทุน” ไปดีล “เสี่ยเต้น” กลับมาช่วยในฐานะ “เซเลปฯเสื้อแดง”

แต่ดูท่าคงไม่ง่ายอย่างที่คิด ด้วยภูมิทัศน์การเมืองที่เปลี่ยนไป ผู้คนเข็ดขยาดกับ “การเมืองสีเสื้อ” แต่วันนี้พรรคเพื่อไทยกลับพยายามตอกย้ำขยายความเป็น “เสื้อแดง-สีแดง” ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งอาจเป็นการเลือกเดินเกมพลาดด้วยซ้ำ

ดูอย่างรายของ “ผู้ว่าฯทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.ป้ายแดง ที่วันนี้ปอปปูล่าร์ขึ้นหม้อ เรียกว่า “เล่นเป็น-อยู่เป็น” พยายามเอาตัวเข้าไปอยู่ในเรื่องความขัดแย้งการเมือง หรือสีเสื้อ ย้ำแมสเซสเป็น “ผู้ว่าฯ ของทุกคน” มาตั้งแต่สมัยที่หาเสียง จนเข้ามาทำงาน

อย่างครั้งที่ “แอดมินไลฟ์สด” ที่น่าจะไม่พ้น “ติ่งแดง-ติ่งส้ม” จัด “ชงขม” ให้เล่นปม “สลิ่ม” ในจังหวะที่ “ชัชชาติ” แวะไปกินน้ำแข็งไส เจ้าตัวยังพลิ้วได้ว่า ที่เลือกกิน “รวมมิตร” เพราะเป็นเพื่อนกับทุกคน พร้อมทั้งคาดโทษ “แอดมินปากไว” ออกอากาศ

เป็นการปรับตัวไปตามภูมิทัศน์การเมือง ที่ต้องก้าวข้ามสีเสื้อ-ความขัดแย้ง แม้จะถูกค่อนขอดว่า ไม่มีจุดยืนทางการเมือง แต่ก็พิสูจน์แล้วว่า 1.3 ล้านกว่าเสียงที่เทคะแนนให้ “ชัชชาติ”

อุปสรรคของ “อุ๊งอิ๊ง” ไม่เพียงแต่การเอาสีแดงมาฉาบตัวเท่านั้น ยังมีปัญหาภายในพรรคสารพัด เห็นชัดๆ ก็คือการไม่ให้ความสำคัญการเมืองในสภาฯ ที่พรรคตัวเองมี ส.ส.มากที่สุด แล้วยังการดึง “โจกแดง” เข้ามาเบียดบังบทบาท ส.ส.มากยิ่งขึ้น

หรือปัญหาเรื้อรัง “สงครามตัวแทน” เดิมๆ มีรายการขบเหลี่ยมกันของ “เด็กนายใหญ่-เด็กนายหญิง-เด็กนายปู-เด็กเจ๊แดง” ที่มีให้เห็นตลอด และนับวันยิ่งหนักข้อมากขึ้น แล้วยังมี “เด็กคุณอิ๊ง” เข้ามาผสมโรงอีก






หลายเรื่องที่ “เด็กคุณอิ๊ง” ที่ล้วนแล้วแต่ “ละอ่อนการเมือง” เข้ามาบริหารจัดการภายในพรรคจนชุลมุนวุ่นวาย แต่เป็นเรื่องที่พูดภายในพรรคไม่ได้ อย่างเวทีที่ จ.สุรินทร์ มี “คนสนิทคุณอิ๊ง” สั่งเบรกไม่ให้ “สมบัติ ศรีสุรินทร์” ส.ส.ในพื้นที่ ที่เป็นผู้แทนฯ มาแล้ว 8 สมัย ดีกรีอดีตอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีต รมช.ต่างประเทศ ขึ้นปราศรัยบนเวที โดยให้เหตุผลว่า “แก่” ขัดกับภาพที่พยายามสร้างให้เป็นเวทีของคนรุ่นใหม่

ไม่เพียงทำให้ “สมบัติ” เสียความรู้สึก แต่ ส.ส.ที่รู้เรื่องก็เสียความรู้สึกไม่น้อยกับการด้อยค่าผู้แทนฯ ทั้งที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์การเมืองแต่อย่างใด

ยิ่งตอกย้ำว่า นักการเมือง-นักเลือกตั้ง-ผู้แทนฯมีชื่อ หัวแก่หัวหงอกระดับไหน ก็เป็นได้แค่ “ลูกจ้าง” ที่ต้องซูฮกให้กับ “นาย” โดยเฉพาะคนในตระกูล “ชินวัตร” ไม่ว่าจะเดียงสาทางการเมืองแค่ไหนก็ตาม

หนักไปกว่านั้น ยอมก้มหัวให้ “คนตระกูลชินวัตร” ไม่พอ ยังต้องมาก้มหัวให้กับ “ลิ่วล้อ-เด็กในบ้าน” อีก

สะท้อนผ่านคำพูดของ ปวีณ แซ่จึง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ที่ชวน ผ่องศรี แซ่จึง ส.ส.ศรีสะเกษ ชุดปัจจุบัน หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่พรรคภูมิใจไทย โดยเปิดใจทิ้งบอมบ์ไว้ว่า “20 ปีอยู่กับนายกฯทักษิณ อยู่ตั้งแต่สมัยเป็นไทยรักไทย เป็นพลังประชาชน จนเป็นพรรคเพื่อไทย ยังไม่เคยได้อะไร นายกฯทักษิณบอกว่าเป็นเสี่ยวกัน คุยกันแค่เรื่องงาน ลูบหลังกัน แต่ไม่เกิดความรู้สึก มันไม่ได้รับการตอบแทนเท่าที่ควร ที่ให้นางผ่องศรีลง ส.ส.เพราะผมจะเลิกเล่นการเมืองเพื่อไม่ให้เขา (นายทักษิณ) ใช้ผมเป็นเบ๊”

และแม้ว่าตัว “อุ๊งอิ๊ง” ที่วันนี้ขึ้นชั้นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย-นางพญาเสื้อแดง ไปแล้ว อาจจะดู “ฟอร์มดี” มีคำพูดจา-วิสัยทัศน์ที่ดูดีมีกึ๋นกว่าสมัย “อาปู” แต่เอาเข้าจริง “พื้นเพ” ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ

ถึงจะมีการปูโปรไฟล์หรูหรา เป็นผู้บริหารธุรกิจจนประสบความสำเร็จ เช่น นั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบริหารกลุ่มธุรกิจโรงแรม บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และกรรมการบริษัทธุรกิจในเครือ เช่น โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ สนามกอล์ฟอัลไพน์ โรงแรมเอสซี ปาร์ค ฯลฯ มีทรัพย์สินอู้ฟู่ระดับหมื่นล้าน จากธุรกิจที่คุณเธอถือหุ้น 21 บริษัท แต่ “อุ๊งอิ๊ง” ก็ยังสลัดภาพความเป็น “ลูกคุณหนู” ที่อาศัยใบบุญ “พ่อ” ที่เป็นอภิมหาเศรษฐีไม่ได้

หรือการที่ควง “พี่โอ๊ค” ไปลงพื้นที่ด้วย ก็มีคำถามไปถึงตัว “คุณโอ๊ค” ที่คนในพรรคต้องซูฮกกันมานานในฐานะ “นายน้อย” แต่ก็ไม่พ้นคำถามอีกว่า ลูกชายคนโตของอดีตนายกฯผู้นี้เคยประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกเหนือจากออกมา “แซะการเมือง” ตามกระแส แล้ววันๆ ก็เห็นแต่โชว์ไลฟ์สไตล์ “ลูกคนรวย” จิบกาแฟ-ไถสเก็ต-กินโอมากาเสะ

ยังไม่รวมที่ “น้องอิ๊ง-พี่โอ๊ค” ก็ต่างมี “ตำหนิ” สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในช่วงที่พ่อเรืองอำนาจเหมือนกันอีก

การที่ “ทักษิณ” ตีธงให้คนนามสกุลชินวัตร ที่ไร้ประวัติการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ประสบการณ์ทางการเมืองเท่ากับ “ศูนย์” มาเดินนำหน้า ส.ส. หรือแกนนำมวลชน ที่มีประสบการณ์มากกว่าเช่นนี้

ก็ไม่ผิดที่ “ลูกพรรค” จะตั้งคำถามในใจ เป็นคำถามที่ถามออกมาไม่ได้ แต่แสดงออกได้อย่าง ส.ส.ที่ย้ายพรรคไปแล้ว และทำท่าจะย้ายพรรคออกไปอีกไม่น้อย

ทั้งความอึดอัดภายในพรรค ความกังวลที่ส่งลูกลงมาเล่นเต็มตัว ทำให้พรรคดูเป็นสมบัติของตระกูลชินวัตร จนอาจถูกกล่าวหาว่า “คนแดนไกล” ครอบงำพรรค นำไปซึ่งการที่พรรคถูกยุบอีกคำรบ ก็ไม่ผิดที่ ส.ส.เพื่อไทยจำนวนมากคิดที่จะย้ายพรรค แม้จะถูกตราหน้าว่า “งูเห่า” ก็ตาม

มีการพูดกันว่า การที่ “ทักษิณ” ส่ง “ลูกอิ๊ง” ขึ้นมาสวมยอดพรรคเพื่อไทย หรือปล่อยคิว “ลูกโอ๊ค” ออกมาเดินหาเสียง เพราะหวังปั้นลูกให้เป็นเหมือน “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้า ที่สถานะเป็น “ลูกคนรวย” เหมือนกัน

แต่อาจลืมนึกไปว่า “หนูอิ๊ง-เสี่ยโอ๊ค” ต่างกับ “เสี่ยเอก” หลายโยชน์ ด้วยความที่ “เจ้าพ่อติ่งส้ม” ยังพอมีประวัติการทำงานมวลชน และการต่อสู้ทางการเมือง ตลอดจนพิสูจน์ตัวในสนามเลือกตั้งมาแล้ว

จนต้องถามดังๆว่า ที่ให้ “หนูอิ๊ง-เสี่ยโอ๊ค” มาเดินนำหน้าพรรค พ่วงด้วยการดึงคนเสื้อแดงกลับพรรค เพื่ออะไร? เพื่อ “พรรค” เพื่อ “อุ๊งอิ๊ง” หรือเพื่อ “ตระกูลชินวัตร” เพราะทำไปทำมางานนี้คนที่ได้ไปเต็มๆ ก็คือ “เสี่ยเต้น” จนกลายเป็นที่โจษจันว่า เป็นอีเวนท์ “เพื่อเต้น” ไปเสียฉิบ




กำลังโหลดความคิดเห็น