xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“จุรินทร์-กรณ์” เปิดศึกค่ากลั่นซัดกันนัว แต่งงไหม “ลุงตู่” สั่ง “สมช.” ดูพลังงาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  การเจรจาต้าอวยของรัฐบาลที่ขอให้โรงกลั่นเจียดกำไรส่งเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนมีเสียงตอบรับจาก 6 โรงกลั่นแล้วว่ายินดีให้ความร่วมมือคาดอีกไม่นานคงเคาะตัวเลข แต่สำหรับคู่มวยข้างเวทีดีกรีระดับหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่เก่าแก่ที่ยืนซดกับหัวหน้าพรรคเล็กเกิดใหม่ อดีตศิษย์สำนักประชาธิปัตย์ ยังอยู่โหมด “พร้อมปะทะ” และ “สาวหมัด” เข้าใส่กันอย่างไม่ยั้ง แถมยังมีเรื่องชวนให้ฉงนสงสัยเมื่ออยู่ๆ “เลขาฯ สมช.” ออกมาให้ให้ภาษณ์ว่า 1 ก.ค.นี้จะคลอดแผนเร่งด่วนรับมือวิกฤตพลังงาน-อาหาร พร้อมประกาศชัดเจนว่า เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแล 

ความคืบหน้าในการขอความร่วมมือจากโรงกลั่นหั่นกำไรช่วยชาติ ซึ่ง  นายกุลิศ สมบัติศิริ  ปลัดกระทรวงพลังงาน เดินหน้าหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เชิญกลุ่มโรงกลั่นทั้ง 6 โรงกลั่น ประกอบด้วย  บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP), บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP), บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) มาหารือนั้น

 พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม
 การพูดคุยกันในวันดังกล่าว ทั้ง 6 โรงกลั่น ยินดีให้ความร่วมมือภายใต้เงื่อนไขต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากกลุ่มโรงกลั่นเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้กระทรวงพลังงานตรวจสอบอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นที่จะกระทบต่อผู้ถือหุ้น ส่วนตัวเลขเม็ดเงินรวมต่อเดือนที่กลุ่มโรงกลั่นจะนำส่งเข้ากองทุนน้ำมัน จะอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท หรือไม่ อย่างไร คงต้องว่ากันในรายละเอียด เพราะโรงกลั่นแต่ละแห่งมีค่าการกลั่นไม่เท่ากัน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

ทว่า คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเพียงแค่มีข่าวว่ารัฐจะควบคุมราคาหรือกำหนดเพดานค่าการกลั่น หรือโรงกลั่นอาจต้องให้ความร่วมมือ “บริจาค” เงินก้อนให้รัฐไปพยุงราคาน้ำมัน บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ก็ต่างส่งสัญญาณ Sell ทำให้หุ้นของโรงกลั่นทั้งหกโรงในตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาตกยกแผง market cap ลดวูบ บรรดากองทุนรวมเพื่อสำรองเลี้ยงชีพบำเหน็จบำนาญ หรือประกันสังคมทั้งหลาย หรือกองทุนการออมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น RMF, LTF หรือ SSF ที่เคยถือหุ้นโรงกลั่นอันจัดเป็นหุ้นพื้นฐานดีบน SET100 ต่างกลายเป็นมีมูลค่าสุทธิลดลง เพราะนักลงทุนเทขายจากความหวั่นไหวไม่เชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจเสรี อาจกระทบต่อดัชนีจัดอันดับความชื่อถือ ratings ของบริษัทได้

ดังนั้น การตัดสินใจรีดกำไรจากโรงกลั่นน้ำมันมาโป๊ะกองทุนน้ำมันที่จ่อติดลบร่วมแสนล้านบาทจึงจำเป็นต้อง “รอบคอบ” เพราะผลกระทบที่ตามมาจากการมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอาจใหญ่หลวงเกินคาดคิด

เอาเป็นว่า การเจรจาหารือของ “คู่เอก” มีทิศทางที่ดี แต่สำหรับ “มวยรอง” ข้างเวที คู่ของ นายกรณ์ จาติกวณิช  หัวหน้าพรรคกล้า อดีตศิษย์สำนักประชาธิปัตย์ ที่ออกมาเปิดประเด็นเรื่องกำไรค่ากลั่นที่เพิ่มขึ้นมาก ขอให้รัฐบาลไปเจรจาเจียดมาช่วยเหลือประชาชนบ้าง โดยเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่อย่างแข็งขันเพราะถือว่าน้ำมันเป็นสินค้าควบคุมราคาอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ จะปัดสวะว่าไม่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่ได้ หมัดฟาดของพรรคกล้า ทำเอา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดือดปุดๆ สวนหมัดกลับ “.... ไม่รู้จริง อย่าพูด.....” 

 นายกรณ์ จาติกวณิช

 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ล่าสุด นายกรณ์ โฟสต์เฟซบุ๊กว่าที่ผ่านมาเสียเวลาออกมาตอบโต้เรื่องค่ากลั่นว่าเท่าไหร่กันแน่ โรงกลั่นบอก 3 บาท (ค่าเฉลี่ย 5 เดือนแรกของปี 65) กระทรวงพลังงานบอก 5 บาท (ค่าเฉลี่ยเดือน พ.ค.65) คิดเลขได้หมด แล้วแต่จะย้อนหลังไปไกลแค่ไหน ยิ่งย้อนไกลอัดยิ่งต่ำและห่างกับราคาปัจจุบันที่เป็นปัญหาอยู่ แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่ค่ากลั่นสูงจริงและสูงขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นเหตุให้ราคาน้ำมันแพงกระทบสินค้าแพง ล่าสุดเฉลี่ยค่าการกลั่นเดือนปัจจุบันเพิ่มทะลุ 6.39 บาทไปแล้ว ยังจะมานั่งเถียงกันต่อไป หรือจะมาช่วยกันแก้ปัญหาครับ?

จากหมัดก่อนหน้า นายกรณ์ทิ่มไปที่นายจุรินทร์ ด้วยการแถลงข้อเสนอแนวทางที่จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มลดลงลิตรละ 4 บาท ว่า จากการตรวจสอบพบว่าทั้งก๊าซปิโตรเลียมเหลว และน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหนึ่งในสินค้าควบคุมตั้งแต่ 30 มิ.ย. 2564 แต่ไม่พบมาตรการที่จะออกมาควบคุมตามกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องค่ากลั่นน้ำมัน จึงเรียกร้องให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ ใช้อำนาจโดยตรงผ่านพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ควบคุมราคาน้ำมัน หากนายจุรินทร์ ใช้อำนาจดังกล่าว คนไทยจะสามารถใช้น้ำมันที่มีราคาลดลง 4 บาทต่อลิตรได้ทันที

เจออดีตศิษย์ร่วมสำนักรุ่นน้องสอนมวย นายจุรินทร์ก็โต้กลับทันควันว่า นายกรณ์ คงลืมไปว่าหาเสียงต้องมีความรับผิดชอบ ความกล้าเป็นเรื่องดีแต่ต้องกล้าในสิ่งที่ถูกที่ควร และก่อนพูดก็ต้องรู้จริงในสิ่งที่พูด พร้อมตอกกลับไปว่า นายกรณ์คงเข้าใจว่าถ้าน้ำมันเป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการของกระทรวงพาณิชย์แล้ว รมว.พาณิชย์จะสั่งให้จัดการยังไงเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันก็ได้ รวมทั้งสั่งให้ลดค่าการกลั่นหรือลดราคาน้ำมันด้วยก็ได้ ซึ่งนายกรณ์เข้าใจผิด เพราะน้ำมันมีทั้งกฎหมายเฉพาะและคำสั่งเฉพาะของนายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน ทั้งตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่กำหนดชัดให้การคํานวณราคาและกําหนดราคา ณ หน้าโรงกลั่น ราคาส่ง-ปลีก ค่าการตลาด ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการเก็บ รักษาน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งให้โรงกลั่นแจ้งราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นเป็นอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธาน

นายจุรินทร์ ยังว่าแม้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศให้น้ำมันเป็นสินค้าควบคุมก็จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเป็นการทั่วไป เฉพาะในส่วนที่ไม่ไปใช้อำนาจหน้าที่แทน กบง.หรือใช้อำนาจแทนผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะเท่านั้น เช่น มีอำนาจกำหนดให้ปั๊มน้ำมันต้องปิดป้ายประกาศราคาขายปลีกน้ำมันที่สถานีจำหน่ายน้ำมันหรือปั๊มน้ำมัน การตรวจหัวจ่ายที่เป็นมาตรวัดปริมาณน้ำมันให้มีความเที่ยงตรงตาม พ.ร.บ.ชั่ง ตวง วัด หรือดำเนินคดีกับปั๊มน้ำมันหากจำหน่ายน้ำมันเกินราคาที่ประกาศไว้ในข้อหาขายเกินราคาที่ปิดป้ายแสดงไว้หรือค้ากำไรเกินควร

 ความจริง ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเพียง “นายจุรินทร์” ไม่รีบ “ปัดสวะ” ให้พ้นจากความรับผิดชอบอย่างที่เห็น โดยบอกว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมจะให้ความร่วมมือในทุกเรื่องที่สามารถทำได้ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่นี่เหมือนกับกลัวว่าจะต้อง “แบกรับ” แทนอย่างไรอย่างนั้น สังคมก็เลยวิพากษ์วิจารณ์กันหนัก 


แต่จะว่าไป คนที่มีอำนาจเต็มๆ ก็คงหนีไม่พ้น  “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ที่นั่งเป็น   “ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)”  โดยตำแหน่ง ดังนั้น จึงสามารถสั่งการได้โดยตรง ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า “นายกฯ ลุง” ไม่อยากปะทะโดยตรง การแก้ปัญหาในหลายๆ เรื่องจึงมักทำในรูปของ “คณะกรรมการ” ซึ่งถามว่า สามารถทำได้ไหม ก็ต้องตอบว่าทำได้ เพียงแต่ถ้าลงไปคลุกกับปัญหาโดยตรง น่าจะ “สง่างาม” กว่า

แล้วที่ “งงกันไปใหญ่” ก็คือ อยู่ๆ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา  “พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ว่าได้รับมอบหมายจากพล.อ.ประยุทธ์ให้เตรียมการหารือเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานและอาหาร หลังสถานการณ์โควิด-19 และเหตุความรุนแรงระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศษฐกิจโลก โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศษฐกิจเข้ามาหารือแล้ว และจะนำข้อมูลทั้งหมดมารวมกันเพื่อประเมินสรุปเป็นแผนสำหรับอนาคตทั้งระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ทั้งนี้คาดว่าจะมีข้อสรุปออกมาวันที่ 1 กรกฎาคม หากไม่มีปัจจัยอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง

“สมช.มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร ผมทำงานภายใต้สมช. ผมเป็นเลขาฯสมช. และเป็นประธานคณะกรรมการเตรียมพร้อมแห่งชาติ ไม่ว่าจะเกิดประเด็นอะไรที่กระทบความมั่นคง คณะกรรมการชุดนี้สามารถหยิบยกขึ้นมาดำเนินการได้ อนาคตอาจมีการตั้งอนุกรรมการหรือคณะทำงานเพื่อติดตามและทำข้อเสนอให้รัฐบาล” พล.อ.สุพจน์ กล่าว

การให้สัมภาษณ์ของเลขาฯ สมช.ทำให้มีการตีความไปต่างๆ นานาว่า รัฐบาลอาจเจอทางตันอะไรบางอย่างในการแก้ปัญหาด้านพลังงาน จึงอาจจำอาศัย “กฎหมาย” อยู่ในอำนาจของ สมช.หรือไม่ อย่างไร เพราะ พล.อ.สุพจน์ก็รับอยู่ในทีว่า  “พ.ร.บ.ความมั่นคงจะใช้เมื่อมีความจำเป็น ซึ่งน่าจะอยู่ในแผน” 

แต่ “จะมีอะไรใหญ่กว่านั้น” หรือไม่ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด.


กำลังโหลดความคิดเห็น