xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศาสตราจารย์ ดร. ชัยอนันต์ สมุทวนิช (74): Enlightened Monarch: ราชาหรือราชินีผู้ทรงภูมิปัญญา อวสานกษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรมแห่งสวีเดน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 พระเจ้ากุสตาฟที่สามแห่งสวีเดน
คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า แม้ว่า  พระเจ้ากุสตาฟที่สามแห่งสวีเดน (๑๗๔๖-๑๗๙๒)  จะได้รับการยกย่องว่าเป็น  “กษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรม” (the Enlightened Despot)  แต่ความเป็นกษัตริย์ที่ก่อวีรกรรมทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐสภาเพื่อมุ่งหวังที่จะกอบกู้สวีเดนให้รุ่งเรืองและไม่ตกอยู่ภายใต้อภิชนนักการเมืองที่ฉ้อฉลขายตัวให้ต่างชาติ ก็มิได้ทำให้พระองค์หลุดออกจากวิธีคิดของการเป็นกษัตริย์ในแบบอำนาจนิยมได้เท่าไรนัก ดังที่  ฮาร์วี (A.D. Harvey)  ได้เขียนไว้ในบทความของเขาเรื่อง  Gustav III of Sweden: The Forgotten Despot of the Age of Enlightenment  เพราะแม้ว่าจะทรง  “ภูมิธรรม (Enlightened)”  แต่ก็ทรงเป็นผู้ที่ทำอะไรตามพระทัยของพระองค์ ดังที่ฮาร์วีใช้คำว่า  “despot” 

จากการที่พระองค์มุ่งมั่นที่จะกอบกู้สร้างชาติสวีเดนให้รุ่งเรือง อีกทั้งพระองค์ก็ทรงเชื่อในหลักการที่ว่า  “การเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศอย่างฉับพลันทั้งหลายทั้งปวงจะเกิดขึ้นได้ในช่วงที่ประเทศเข้าสู่การทำสงครามที่เข้มข้นรุนแรง”  พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะทำสงครามกับรัสเซียในขณะที่รัสเซียกำลังต้องสาละวนกับการผนวกดินแดนในไครเมีย ซึ่งทำให้พระเจ้ากุสตาฟเล็งเห็นว่า กำลังทหารทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซียจะเป็นจุดอ่อน และพระองค์เชื่อมั่นในการคาดสถานการณ์ของพระองค์อย่างยิ่ง แต่เหล่านายทหารสวีเดนที่พระองค์ระดมกำลังรวมตัวกันที่เฮลซิงกิ กลับไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามเชิงรุกโดยไม่ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาสวีเดนเสียก่อนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงร่างขึ้นมาเอง อีกทั้งเหล่าพลทหารก็ได้ก่อหวอดไม่พอใจจากปัญหาการกำลังสนับสนุน

และเมื่อกองทัพสวีเดนเคลื่อนพลข้ามพรมแดนรัสเซียมาได้ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๗๘๘ ทหารเหล่านั้นก็ก่อการกบฏไม่ยอมทำตามคำสั่ง ส่งผลให้พระเจ้ากุสตาฟตกอยู่ในสถานการณ์ที่อยู่ท่ามกลางทหารที่ไม่ยอมฟังคำสั่งของพระองค์ และพระองค์ก็อยู่ไกลจากสวีเดนอีกด้วย พระองค์อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถจะถอยทัพหรือเดินหน้าได้ แต่ที่สุดแล้ว การที่เดนมาร์กประกาศสงครามกับสวีเดนขึ้นมา ได้กลับกลายเป็นตัวช่วยในการคลี่คลายสถานการณ์วิกฤตของพระองค์ในพรมแดนรัสเซีย เพราะมันทำให้พระองค์มีเหตุผลข้ออ้างที่จะไม่เดินหน้าในการทำสงครามที่ผิดกฎหมายกับรัสเซีย โดยพระองค์ต้องรีบเดินทางกลับไปปกป้องสวีเดนจากเดนมาร์คโดยพลัน แต่ในที่สุด สวีเดนก็สามารถรอดปลอดภัยไปได้ เพราะเดนมาร์คถูกกดกันจากปรัสเซียและอังกฤษให้ถอนกำลังไป
 
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ตกลงแล้ว พระเจ้ากุสตาฟ “กษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรม” แห่งสวีเดนได้อะไรจากความเชื่อในหลักการการทำสงครามเพื่อเป็นเงื่อนไขในการสร้างชาติของพระองค์ครั้งนี้ ?

ฮาร์วีประเมินว่า สิ่งเดียวที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผลในด้านบวกที่พระองค์ได้จากการก่อสงครามกับรัสเซียครั้งนี้ก็คือ กระแสชาตินิยม ! เพราะถึงแม้ว่า การตัดสินใจทำสงครามในแบบรุก (offensive war) กับรัสเซียจะเป็นการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญสวีเดนฉบับ ค.ศ. ๑๗๗๒ ที่พระองค์ร่างมากับมือพระองค์เองได้กำหนดไว้ว่า หากองค์พระมหากษัตริย์สวีเดนจะประกาศสงครามในเชิงรุก จำต้องขอมติความเห็นชอบจากรัฐสภาสวีเดนเสียก่อนจึงจะสามารถกระทำได้ แต่พระองค์ก็ทรงละเมิดรัฐธรรมนูญของพระองค์เสียเอง ตัดสินใจทำสงครามตามอำเภอใจของพระองค์เอง เข้าทำนองเป็น “เผด็จการ” (despot)  ที่ถึงแม้ว่าจะมีความประสงค์ดีต่อชาติบ้านเมืองก็ตาม ซึ่งเหล่านายทหารก็ไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามที่ละเมิดรัฐธรรมนูญเช่นนั้น แต่กระแสมวลประชามหาชนกลับตอบรับการกระทำของพระองค์ ! ประชาชนออกมาโห่ร้องต้อนรับสนับสนุนการทำสงครามของพระองค์ในที่สาธารณะ ส่งผลให้พระองค์มีแรงสนับสนุนในการเผชิญหน้ากับรัฐสภาในประเด็นการละเมิดรัฐธรรมนูญดังกล่าว แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นวาระสุดท้ายของพระองค์ที่จะยังทรงอำนาจเหนือรัฐสภา

 ฮิตเลอร์
เมื่อพระองค์เข้าประชุมสภา พระองค์ได้ทรงเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราดังกล่าวเสียดื้อๆ ส่งผลย้อนหลังทำให้การประกาศสงครามของพระองค์ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าอภิชนนักการเมืองในสภาจะส่งเสียงโห่ไม่พอใจก็ตาม โดยพระองค์ทรงบังคับให้ประธานรัฐสภาบันทึกลงไปว่า รัฐสภามีมติเห็นชอบกับการแก้ไขนั้น

 ฮาร์วีตั้งข้อสังเกตต่อพฤติกรรมดังกล่าวนี้ของพระเจ้ากุสตาฟว่า การกระทำที่ผิดหลักนิติรัฐอย่างโจ๋งครึ่มโดยใช้อำนาจฝ่ายบริหารที่พระองค์มีผสมกับกระแสสนับสนุนจากมวลชนบังคบข่มขู่ฝ่ายรัฐสภา ซึ่งวิธีการแบบนี้ ฮาร์วีเห็นว่าเป็นกลวิธีที่นำร่องหรือเป็นตัวอย่างให้ผู้นำเผด็จการในระบอบประชาธิปไตยในศตวรรษที่ยี่สิบใช้ในเวลาต่อมา ดังเช่น ในกรณีของฮิตเลอร์ที่ใช้อำนาจอิทธิพลที่ตนมีในฐานะนายกรัฐมนตรีแก้ไขรัฐธรรมนูญเยอรมนี !  

ในปี ค.ศ. ๑๙๓๔ ก่อนการเสียชีวิตของประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์กในวันที่ ๒ สิงหาคม เพียงหนึ่งวัน ฮิตเลอร์ให้คณะรัฐมนตรีของเขาเสนอกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐไวมาร์ที่เดิมทีกำหนดไว้ว่า เมื่อประธานาธิบดีเสียชีวิต จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ แต่กฎหมายที่เสนอมานั้นกลับกำหนดให้ควบรวมสองตำแหน่งไว้เข้าด้วยกัน นั่นคือ ทั้งตำแหน่งประธานาธิบดี และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นคือ ยกเลิกตำแหน่งประธานาธิบดีไป และกำหนดให้มีตำแหน่งประมุขของรัฐ (head of state) ที่ดำรงตำแหน่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า “ผู้นำ (Fuhrer)”  โดยควบรวมนายกรัฐมนตรีที่มีอยู่เดิมด้วย ฮิตเลอร์ได้จัดให้มีการลงประชามติรับรองร่างกฎหมายควบรวมอำนาจสองตำแหน่ง และรับรองตัวเขาให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้ ซึ่งในขณะนั้น กระแสนิยมฮิตเลอร์และกระแสชาตินิยมของเยอรมนีได้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวและมีความเข้มข้นรุนแรงยิ่ง ส่งผลให้ลงคะแนนเสียงประชามติร้อยละ ๘๔.๖ เห็นด้วยกับร่างกฎหมายและรับรองให้ฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ควบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จ จากตำแหน่งดังกล่าวนี้ ฮิตเลอร์ก็ได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกด้วย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฮิตเลอร์ก็ขึ้นสู่การเป็นผู้นำที่มีอำนาจสมบูรณ์ ไม่มีใครและกลไกใดที่จะสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการของเขาได้เลย ยกเว้นการพยายามลอบสังหาร หรือการพ่ายแพ้สงครามและการฆ่าตัวตายของฮิตเลอร์เองเท่านั้น

ส่วนการกระทำของพระเจ้ากุสตาฟก็คือ การบังคับให้รัฐสภาเป็นตรายางรับรองพระราชอำนาจของพระองค์เพื่อให้ภาพออกมาว่า พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญต่อรัฐสภาอยู่ และการเมืองการปกครองของสวีเดนก็ยังมีรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนในสวีเดนที่คอยทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล ทั้งๆที่จริงแล้ว เนื้อแท้ในทางปฏิบัติ การใช้พระราชอำนาจของพระองค์ในเวลานั้นก็ไม่ต่างจากการนำพาการเมืองการปกครองสวีเดนถอยหลังไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลย เพียงแต่พระองค์มียุทธวิธีที่จะใช้รัฐสภาในแบบอำพราง ดังนั้น ในเหตุการณ์นั้น การเมืองการปกครองสวีเดนก็ถือได้ว่าเป็น ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบจำแลงอำพรางเท่านั้น

 สงครามรัสเซีย–สวีเดน ค.ศ. ๑๗๘๘–๑๗๙o ภาพโดยจิตรกรสวีเดน Johan Tietrich Schoultz
และเช่นกัน ในประเทศที่อ้างว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หากใช้รัฐสภาเป็นเพียงเวทีลงตรายางประทับความชอบธรรม โดยไม่คำนึงหรือฟังเสียงข้างน้อยในสภา แต่ใช้เสียงข้างมากที่ตนมีอยู่หักดิบผ่านกฎหมายตามอำเภอใจโดยอ้างเสียงข้างมาก และเปิดให้มีการอภิปรายพอเป็นกระษัยเพื่อเป็นข้ออ้างว่าได้ใช้วิธีทางทางรัฐสภาแล้ว ทางที่ดี ก็เปลี่ยนกติกากันไปเลยเสียดีกว่า นั่นคือ หลังจากมีการเลือกตั้ง เมื่อใครได้เสียงข้างมากแล้ว ก็ให้บริหารและออกกฎหมายกันตามอำเภอใจไปเลย ไม่ต้องเสียเวลา เสียงบประมาณต่างๆ ในการประชุมและถ่ายทอดออกอากาศ ให้รู้ๆกันไปว่า การเมืองเป็นเรื่องของทีใครทีมันตามเนื้อแท้ความเป็นจริงของสังคมการเมือง แต่กระนั้น ก็อยากจะถามเหมือนกันว่า หากให้การเมืองเป็นเรื่องของทีใครทีมันจริงๆ คนที่ได้เปรียบอยู่ในวันนี้จะไม่คิดบ้างเสียเลยหรือว่า ในวันข้างหน้า พวกเขาอาจจะเป็นเสียงข้างน้อยบ้าง ?

 เห็นได้ว่า การเมืองการปกครองของประเทศที่เป็นเพียงระบอบรัฐสภาจำแลงก็ไม่แตกต่างไปจากกรณีของพระเจ้ากุสตาฟและฮิตเลอร์ นั่นคือ เป็นการเมืองประเภทเดียวกัน แต่ต่างกันเพียงในระดับความชัดเจนเข้มข้นเท่านั้น และในกรณีของพระเจ้ากุสตาฟ พระองค์อาจจะทรงไม่รู้ตัวเลยว่า การที่พระองค์ได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนสวีเดนมหาศาลในการหักดิบรัฐสภาครั้งนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่นำพาพระองค์ไปสู่เส้นทางแห่งการอวสานแห่ง “กษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรม” แห่งสวีเดนในที่สุด นั่นคือ การถูกลอบปลงพระชนม์ !! 


 สงครามเรียกร้องอิสรภาพ (the War of Independence) ของสหรัฐอเมริกา
สิบเอ็ดสัปดาห์หลังจากที่พระเจ้ากุสตาฟทรงใช้อำนาจเผด็จการบีบคออภิชนนักการเมืองรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพระองค์ สถานการณ์ทางการเมืองในฝรั่งเศสกำลังสับสนวุ่นวาย  บรรดาตัวแทนฐานันดรต่างๆ (the Estates General)  ได้มาประชุมกันที่แวร์ซายน์ และในช่วงเดียวกันนี้ที่ฝรั่งเศสเจรจาตกลงสันติภาพกับรัสเซีย ระบอบการปกครอง

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศสก็กำลังจะถูกบิดเบือนให้เป็น  “ระบอบโบราณล้าสมัย” (ancient regime)  นั่นคือ มันกำลังจะถึงกาลอวสาน !

แต่สำหรับพระเจ้ากุสตาฟ  “กษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรม”  แห่งสวีเดน ราชสำนักฝรั่งเศสถือเป็นตัวแบบที่พระองค์ชื่นชมยกย่องอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน พระองค์ก็เชื่อว่า ควรจะต้องมีการประชุมรัฐสภาอยู่ด้วย ซึ่งผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ในตอนปลายรัชสมัย พระองค์อาจจะให้มีรัฐสภาก็เพียงเพื่อเอาไว้สร้างความชอบธรรมให้ตัวพระองค์ โดยพระองค์จะได้ใช้อ้างว่า พระองค์เป็นผู้ปกครองที่เปิดเสรี ให้รัฐสภาได้ทำหน้าที่ตรวจสอบถกเถียง แต่จริงๆ พระองค์อาจจะไม่ได้มีความจริงใจกับรัฐสภาเท่าไรนัก ?!
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นั่นคือ ค.ศ. ๑๗๘๘ ฝรั่งเศสได้แสดงจุดยืนต่อชาวอาณานิคมอเมริกันใน  สงครามเรียกร้องอิสรภาพ (the War of Independence) ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๗๖ โดยให้การสนับสนุนการปฏิวัติของชาวอเมริกันต่อการปกครองของอังกฤษ พระเจ้ากุสตาฟทรงรู้สึกเสียพระทัยอย่างยิ่งกับจุดยืนดังกล่าวของฝรั่งเศส

 พระองค์ทรงบันทึกความในใจของพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถยอมรับว่า มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการสนับสนุนพวกที่กบฏต่อกษัตริย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย การกบฏในอเมริกาจะกลายเป็นแบบอย่างที่ผู้คนในที่ต่างๆ จะลอกเลียนแบบกัน อันจะทำให้เกิดยุคสมัยที่การโค่นล้มปราการแห่งอำนาจอันชอบธรรมได้กลายเป็นกระแสนิยมทั่วไป”  


แน่นอนว่า ความเห็นดังกล่าวของพระองค์ย่อมถูกต้องชอบธรรม หากพิจารณาภายใต้หลักการปกครองและหลักความยุติธรรมในระบอบพระมหากษัตริย์หรือพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าพิจารณาภายใต้หลักการปกครองและความยุติธรรมของอีกระบอบหนึ่ง นั่นคือ ระบอบเสรีประชาธิปไตย คามเห็นดังกล่าวก็ย่อมจะไม่ถูกต้องชอบธรรมทันที ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้เกิดแนวคิดที่เรียกว่า  “ความยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่าน” ที่จะช่วยให้เราเข้าใจและสามารถสร้างกรอบความยุติธรรมที่เหมาะสมกับทุกฝ่ายในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านของระบอบการปกครอง


กำลังโหลดความคิดเห็น