ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็นที่น่าจับตาสำหรับการ “ประกาศยกเลิกกิจกรรมโซตัส (Sotus)” และกิจกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบในเวลาไล่เรี่ยกันของมหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ ม.เกษตรศาสตร์, ม.ขอนแก่น ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้มีบางคณะบางมหาวิทยาลัยได้ประกาศยกเลิกระบบโซตัสไปแล้วเช่นเดียวกัน
เพราะต้องไม่ลืมว่า “ระบบโซตัส (Sotus)” อย่างกรณี “รับน้องโหด” สร้างความสูญเสียอันน่าเศร้าสลดใจต่อเนื่อง ในทุกๆ ปี จะมี “นักศึกษาใหม่” จบชีวิตลงก่อนวัยอันควร เพราะความคะนองของอำนาจนิยมในสถานศึกษา และถึงเป็นเช่นนั้นระบบโซตัสก็ยังดำเนินต่อมาเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมการกดขี่ลดทอนความเป็นมนุษย์ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนเสียด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาหลายแห่งทยอยประกาศยกเลิกระบบโซตัส กิจกรรมที่เกี่ยวข้องหรืออาจมีส่วนต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ล่าสุด องค์การบริหาร องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (อบ.ก.) บางเขน มีมติร่วมกันในการ “ยกเลิกระบบโซตัส” นับตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. 2565 โดยไม่อนุญาตให้ทุกองค์กรกิจกรรมภายใต้การดูแลของ อบ.ก. จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบโซตัสอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการบังคับเข้าร่วม การใช้ความรุนแรงทางคำพูดและทางร่างกาย หรือแม้แต่การกดดันที่ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกไม่ปลอดภัยก็ตาม โดยระบุข้อความว่า
“หากนิสิตคนใดพบเห็นกิจกรรมไม่ว่าจากองค์กรใดก็ตามที่มีการนำระบบโซตัสไปใช้ สามารถแจ้งปัญหาเข้ามาในช่องทางการติดต่อของ อบ.ก. ได้ทุกช่องทาง และสามารถร้องเรียนปัญหาที่พบให้กับทางสภาผู้แทนนิสิต องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ในที่สุด
“เพราะเราเชื่อว่าความเต็มใจคือพื้นฐานของการจัดกิจกรรมที่ดี ร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัยไปด้วยกัน”
องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และส่วนกลุ่มงานบริหารงานวิทยาเขตหนองคาย ประกาศ ยกเลิกระบบโซตัสทุกรูปแบบ ทุกกิจกรรม ที่จัดขึ้นในนามองค์การนักศึกษาและองค์กรที่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์การนักศึกษา ตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย. 2565 เป็นต้นไป ระบุตอนหนึ่งความว่า
“องค์การนักศึกษาไม่อนุญาตให้องค์กรที่อยู่ในการดูแลขององค์การนักศึกษาจัดกิจกรรมที่เป็นระบบโซตัส และองค์การนักศึกษาไม่สนับสนุนระบบโซตัสในทุกรูปแบบ ในทุกหน่วยงาน หรือองค์กรอื่น
“ในการจัดกิจกรรมจะไม่เป็นการบังคับในการเข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงการกระทำที่เป็นการกดขี่ กดดัน ด้วยคำพูด หรือการกระทำใดที่เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่อาจจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยให้กับเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน และเพื่อเป็นการเคารพสิทธิในการเป็นมนุษย์”
เช่นเดียวกับ องค์การนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) ออกมาแสดงจุดยืน และประกาศยกเลิกกิจกรรมโซตัส (Sotus) และกิจกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ รวมถึงกิจกรรมขององค์กรนิสิต สโมสรนิสิต หรืออื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง หรือมีกิจกรรมลักษณะดังกล่าว ตั้งแต่ 12 มิ.ย. 2565 เป็นต้นไป
ขณะที่ สโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ออกประกาศเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2565 ขอแสดงจุดยืนยกเลิกกิจกรรมโซตัสและกิจกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ความเสมอภาค และความเป็นมนุษย์ของนักศึกษา เพราะทุกคนเท่าเทียม
และในปี 2564 สภานิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) ประกาศและแสดงจุดยืน ยกเลิกกิจกรรมห้องเชียร์ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2564 เป็นต้นไป และไม่สนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบโซตัส ทั้งกิจกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของมวลนิสิตในรูปแบบต่างๆ
หรือก่อนหน้านี้ ปี 2563 องค์กรนักศึกษา มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ออกแถลงการณ์ยกเลิก “รับน้อง” ที่ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ประกาศจุดยืนขององค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ต่อประเด็นกิจกรรมทุกกิจกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งความเคลื่อนไหวของ สโมสรนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ประกาศแถลงการณ์ยกเลิกกิจกรรมอันเป็นการบ่มเพาะรากฐานอำนาจนิยม ยกเลิกระบบโซตัส (SOTUS) และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการกดขี่ลดทอนความเป็นมนุษย์อันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงหลักประชาธิปไตย รวมทั้งยกเลิกประชุมเชียร์
และแม้ทางสถานศึกษาหลายแห่งจะออกประกาศมหาวิทยาลัยออกประกาศเรื่องงดกิจกรรมรับน้อง แต่ยังมีการฝ่าฝืนสู่โศกนาฎกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดกับกรณีนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปีที่ 1 สาขาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยนวัตกรรมวิชาชีพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เสียชีวิตจากการถูกกลุ่มรุ่นพี่ทำร้ายร่างกาย
เป็นอีกครั้งที่ให้เกิดการเรียกร้องทบทวนระบบโซตัส มีการเคลื่อนไหวของ มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง กลุ่ม ANTI SOTUS และเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) เข้ายื่นหนังสือต่อ ศ.พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อเรียกร้องให้มีการรับเพื่อนใหม่ของสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ โดย ดร.ดนุช ตันเทิดทิตย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง อว. และ รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวง อว. เป็นผู้แทนมารับหนังสือ
นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน สะท้อนปัญหารับน้องรุนแรงซึ่งซุกอยู่ใต้พรมมานาน ทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่ก็ปากว่าตาขยิบ หลายสถาบันจัดทำโครงการนอกสถานที่ ใช้งบประมาณกิจกรรมนักศึกษามาบังหน้า แต่ก็แฝงไปด้วยการรับน้องที่รุนแรงมึนเมาขาดสติ หรือที่แอบจัดกิจกรรมกันเองโดยไม่ต้องใช้โครงการ นัดกันไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วก็ชวนรุ่นพี่มาจัดการกับรุ่นน้องด้วยความรุนแรงทั้งวาจาและทำร้ายร่างกาย กรอกเหล้า เสพยา ชกต่อยเตะ จับโยน สารพัดวิธีที่อ้างว่าทำไปเพื่อความรักสถาบันรักพี่น้อง ซึ่งทั้งหมดเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ความรุนแรงทุกรูปแบบมันควรจบสิ้นไปได้แล้ว การเคารพให้เกียรติกันทั้งเนื้อตัวร่างกาย เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่างหากคือสิ่งที่ต้องปลูกฝังกัน ไม่ใช่พฤติกรรมล้าหลังเช่นนั้น
นายอธิวัฒน์ เนียมมีศรี หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่าเหตุการณ์สลดกรณี รุ่นพี่ทำร้ายร่างกายในกิจกรรมรับน้องใหม่นั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากแทบทุกสถาบัน ทุกฤดูกาลที่มีการรับน้องก็จะพบข่าวการสูญเสีย หรือมีลักษณะการรับน้องด้วยความรุนแรงทั้งทางร่างกาย วาจา และพอเกิดเหตุครั้งหนึ่งก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาพูดถึงปัญหา แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน คำกล่าวที่อยากให้ความสูญเสียครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มันไม่เคยเป็นจริงได้เลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นั่นแสดงว่าระบบการกำกับดูแลยังมีช่องว่างอยู่มาก มาตรการวัวหายล้อมคอกที่ทำกัน หลังเกิดปัญหามันเอาไม่อยู่
ทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯ เรียกร้องให้ อว. ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความสูญเสียที่เกิดจากการกิจกรรมรับน้อง
1. ขอให้เร่งตรวจสอบสถานศึกษาแห่งนี้ ว่ามีการปล่อยปละละเลย จนเป็นเหตุให้เกิดความสูญเสีย รือไม่ (กรณีล่าสุด นักศึกษา ปวส. ปี 1 สาขาช่างกล มทร. อีสาน เสียชีวิตจากการถูกกลุ่มรุ่นพี่ทำร้ายร่างกาย) และการติดตามให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียเหมาะสมหรือไม่ ตลอดจนควรมีมาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ก่อเหตุทั้งในทางกฎหมายและวินัยนักศึกษา เพื่อมิให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก
2. ขอให้ทบทวนมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่และกิจกรรมอื่นๆในสถาบันการศึกษา ให้เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่มีเพียงประกาศที่เป็นเหมือนเสือกระดาษเพราะไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยควรปรับให้เป็นกิจกรรมรับเพื่อนใหม่ ที่ลดทอนการใช้อำนาจลง ส่งเสริมความเท่าเทียม ห้ามใช้ความรุนแรง การละเมิดสิทธิทุกรูปแบบ
3. ขอให้มีรูปธรรมในการปลูกฝังเรื่องการเคารพสิทธิ เนื้อตัวร่างกาย ความเท่าเทียม ให้เกียรติกัน และส่งเสริมให้จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ปลอดภัยปลอดอบายมุข
และ 4. ขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชน ผู้ปกครอง ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวังเหตุการณ์หรือกิจกรรมที่ส่อไปในทางความรุนแรง ละเมิดสิทธิ ด้วยการแจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถาบันการศึกษา ฝ่ายปกครอง เพื่อเข้าระงับเหตุก่อนที่จะเกิดความสูญเสีย
สำหรับจุดเริ่มต้น “ระบบโซตัส (SOTUS)” ก่อนกลายมาเป็นวัฒนกรรมการรับน้อง (โหด) ที่มีกระแสต่อต้านจากหลายฝ่ายนั้น มีความเป็นมาจากระบบอาวุโสในโรงเรียนประจำของอังกฤษ เรียกว่า Fagging system โดยรูปแบบนั้นอาจารย์จะแต่งตั้งนักเรียนโต ชั้นปีสูงๆ ที่มีพฤติกรรมเหมาะสมขึ้นมาเป็นผู้ช่วยอาจารย์ (Fag, Prefect) เพื่อทำหน้าที่อบรมสั่งสอนรุ่นน้อง สามารถตักเตือน หักลบคะแนนพฤติกรรมรุ่นน้อง ให้อำนาจและสิทธิพิเศษ เช่น มีห้องนั่งเล่น ห้องอาบน้ำส่วนตัว เป็นต้น
บทความเรื่อง “ระบบโซตัส (SOTUS) อำนาจนิยมและความรุนแรงในวงการศึกษาไทย” โดย ดร. ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซค์ tcijthai อธิบายเกี่ยวกับระบบโซตัส ความว่า ระบบโซตัสคือระบบการรับน้องแบบเข้มข้นโดยยึดเนื้อหาสำคัญ 5 ประการที่ประกอบเป็นระบบโซตัส (SOTUS) คือ การเคารพผู้อาวุโส (Seniority : S) การปฏิบัติตามระเบียบวินัย (Order : O) การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี (Tradition : T) การมีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว (Unity : U) และการมีน้ำใจ (Spirit : S)
ระบบโซตัสมีจุดกำเนิดมาจากระบบอาวุโสในโรงเรียนกินนอนของประเทศอังกฤษ ที่เรียกว่า Fagging system ต่อมาระบบนี้ก็ถูกนำไปใช้ในสถาบันการศึกษาในประเทศอเมริกาทั้งสถาบันการศึกษาสายสังคม สายทหาร และสายเกษตรศาสตร์ โดยระบบในสหรัฐฯ รุ่งเรืองบนฐานความคิดที่ต้องการควบคุมนักศึกษาจากประเทศโลกที่สามที่ถูกจัดให้เป็นประเทศด้อยพัฒนาที่เข้ามาเรียนในอเมริกา ต่อมาเมื่อเรียนจบบรรดานักศึกษาเหล่านั้นก็นำระบบนี้ไปใช้ในประเทศของตน เช่น ระบบโซตัสในฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ดร. ไชยณรงค์ ขยายภาพระบบโซตัสในประเทศไทย ความว่าได้มีการนำระบบนี้มาใช้สองระลอกก็คือ ระลอกแรก ระบบโซตัสได้ถูกนำมาใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในยุคที่มีการจัดตั้งโรงเรียนระดับมัธยมตามหัวเมืองใหญ่ๆ โรงเรียนมหาดเล็กหลวงและโรงเรียนราชวิทยาลัย และโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน ปัจจุบันโรงเรียนและสถาบันเหล่านี้ก็ยังสืบทอดระบบนี้อย่างเข้มเข้น
ระลอกที่สอง เป็นระลอกที่ไทยก้าวเข้าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและมีการส่งนักศึกษาไทยไปเรียนที่อเมริกาและฟิลิปปินส์ เมื่อเรียนจบก็มาเป็นอาจารย์สอนและได้นำเอาระบบมาใช้ สถาบันการศึกษาในกลุ่มนี้ก็คือ กลุ่มที่สอนทางด้านเกษตรศาสตร์ ซึ่งการรับน้องจะเข้มข้นมาก
ดังจะเห็นว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บางสถาบันการศึกษา รุ่นพี่มีการฝึกกำลังราวกับฝึกทหาร และใช้วิธีการนี้ในการรับน้องแบบทหาร ซึ่งวิธีการนี้นำไปสู่บ่อเกิดของ “อำนาจนิยม” และอำนาจนิยมนี้ก็จะปฏิบัติการในสมองของรุ่นน้อง และเมื่อพวกเขาขยับไปเป็นรุ่นพี่ พวกเขาก็จะกลับมาผลิตซ้ำอุดมการณ์นี้ แม้ว่าการกระทำเหล่านี้ล้วนแต่ผิดกฎหมาย เป็นการคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคล และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับบทลงโทษทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรับน้อง อาทิ มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท, มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 297 ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จนเป็นเหตุให้ ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี, มาตรา 298 ผู้ใดกระทำความผิดตาม มาตรา 297 ถ้าความผิดนั้น มีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-10 ปี, มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 309 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, มาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจ โดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตายหรือรับอันตราย สาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 290 มาตรา 297 หรือ มาตรา 298 เป็นต้น
ท้ายที่สุด ยังคงต้องติดตามกันว่าอำนาจนิยมในสถานศึกษาที่เรียกว่า “ระบบโซตัส” จะจบลงที่รุ่นไหน?